ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี – ตอนที่ 485 ตราประทับตะวัน อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ฟ้าดินยากจะทานทน

อ่านนิยายจีนเรื่อง ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี ตอนที่ 485 ตราประทับตะวัน อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ฟ้าดินยากจะทานทน อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

เยี่ยนจ้าวเกอก้มหน้ามองฟางจุ่นที่หน้าซีดราวกระดาษ อีกฝ่ายเหมือนกับกำลังหลับลึก จากนั้นเขาก็มองหลุมดำอีกครั้ง

แสงของกระจกยังสูงส่งเกือบจะหยุดหลุมดำไม่ไหวแล้ว

เมื่อสูญเสียความตั้งใจจากหยวนเจิ้งเฟิงและฟางจุ่นไป ทางเข้าหลุมดำก็ค่อยๆ ปิดตัวลง

กระแสปั่นป่วนของมิติอันไร้สิ้นสุดมีสภาพโกลาหล ร่างของหยวนเจิ้งเฟิงค่อยๆ เคลื่อนห่างออกไป และหายไปด้านในนั้น

ร่างเงาที่ไม่สูงและออกจะผอมบางไปบ้างของชายชรา แต่ไหนแต่ไรล้วนสง่างามและดูองอาจ บัดนี้ยิ่งเหมือนกับจุดศูนย์กลางของโลก

เยี่ยนจ้าวเกอยืนอยู่กลางอากาศ ใช้ญาณจริงแท้ยกร่างของฟางจุ่นไว้ ในขณะที่ตนคำนับหยวนเจิ้งเฟิงซึ่งหายไปในหลุมดำ

ชายหนุ่มรักษาท่วงท่าคำนับอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะกล่าวขึ้นเสียงเบา “อาจารย์ปู่ โปรดรักษาตัวด้วย พวกเราจะต้องได้เจอกันอีกแน่”

เขาสั่นไหวญาณจริงแท้ ครอบคลุมละอองเลือดจางๆ ที่อยู่บนร่างของฟางจุ่น จากนั้นก็เก็บไว้

หลังจากสูดหายใจลึกครั้งหนึ่งแล้ว เขาก็มองดูอาจารย์ลุงสองของตนอีกครั้ง

จากการตรวจสอบโดยญาณจริงแท้และปราณจิตรา เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกได้ว่าสถานการณ์ของฟางจุ่นย่ำแย่ยิ่ง

การหลอมเลือดของตัวเองเป็นกระบี่ ทำให้ฟางจุ่นได้รับบาดเจ็บสาหัส เกือบจะเสียชีวิตเลยทีเดียว

หยวนเจิ้งเฟิงกล่าวได้ใกล้เคียงแล้ว แม้ว่าจะไม่ถูกหลุมดำกลืนกิน ฟางจุ่นในตอนนี้ก็อาจจะตายได้ตลอดเวลา

เหตุผลที่หยวนเจิ้งเฟิงใช้พลังทั้งหมดส่งฟางจุ่นออกมา ความจริงเพราะยังคงกอดความหวังอันน้อยนิดไว้ หวังว่าพวกเยี่ยนจ้าวเกอจะมีวิธีช่วยฟางจุ่นได้

และหวังเป็นพิเศษว่าเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ที่นี่จะช่วยได้ทันเวลา

เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้ทำให้หยวนเจิ้งเฟิงผิดหวัง เขาล้วงเข็มสีทองเล็กยาวหกเล่มออกมาจากในถุงย่อส่วนของตัวเอง จากนั้นก็ฝังลงบนจุดลมปราณสำคัญทั้งหกบนร่างของฟางจุ่นอย่างรวดเร็วเหมือนพายุ

จากนั้นชายหนุ่มก็เติมญาณจริงแท้ของตนใส่ร่างของฟางจุ่น

เขาในตอนนี้มีญาณจริงแท้ทั่วร่างเต็มเปี่ยมยิ่ง เพียงแต่ต้องรอหลอมรวมเท่านั้น การใช้ญาณรักษาอาการบาดเจ็บของฟางจุ่นในตอนนี้ย่อมไม่เป็นอะไร

ในขณะเดียวกัน เข็มสีทองอีกเก้าเล่มก็อยู่ในมือเยี่ยนจ้าวเกออีกครั้ง เขาฝังเข็มบนร่างของฟางจุ่นอีกหนหนึ่ง ทิ้งเข็มสีทองไว้บนร่างของฟางจุ่น ไม่ได้ถอนกลับ

สุดท้าย เยี่ยนจ้าวเกอก็ประสานฝ่ามือ เสื้อคลุมนภาครอบคลุมร่างของฟางจุ่นเอาไว้ใหม่

บนเข็มสีทองสิบห้าเล่มมีเส้นสีทองสายหนึ่งยืดออกมา เชื่อมต่อกับเสื้อคลุมนภา เหนี่ยวนำปราณพิสุทธิ์มากมายบนเสื้อคลุมให้เสริมร่างกายของฟางจุ่น

เยี่ยนจ้าวเกอมองดูอย่างละเอียด จนในที่สุดก็เห็นใบหน้าอันซีดขาวของอาจารย์ลุงสองมีสีเลือดเพิ่มขึ้นหลายส่วน เขาจึงระบายลมหายใจอย่างโล่งอก

‘บัดนี้อาการทรงตัวแล้ว น่าจะไม่แย่ไปกว่านี้ แต่จำเป็นต้องใช้เวลาจัดการสักพัก ถึงจะคืนชีพขึ้นมาได้ จะอาจารย์ลุงสองให้ออกห่างจากการคุ้มครองของเสื้อคลุมนภาไม่ได้ จำเป็นต้องให้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้ดูแลอย่างยิ่ง’

ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาว แสงวิญญาณหลังศีรษะหายไปแล้ว

จากนั้นเขาก็มองดูสภาพแวดล้อมในเหวลึกของปฐพีพิภพรอบๆ ถึงแม้ว่าจะยังมีหมอกดำวนเวียน แต่ก็กลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว

มาตรว่าจะยังคงเป็นดินแดนแห่งความตาย แต่วิญญาณร้ายจากนพยมโลกและกลิ่นอายมารอันน่ากลัวก็เบาบางลงมาก

เขาก้มหน้าลงไปมอง หลังจากอาคมสีทองขนาดยักษ์ผนึกประตูของยมโลกไว้อีกครั้ง มันก็ค่อยๆ หายไป ซ่อนอยู่ในหมอกสีดำอีกครั้ง

การเสียสละของตนและพวกอาจารย์ปู่นับว่าไม่สูญเปล่า

ถ้าหากว่าไม่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย ผนึกนี้น่าจะคงอยู่ได้อีกนาน

ครั้นคิดถึงตรงนี้ เยี่ยนจ้าวเกอก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย หันไปมองตราประทับสีทองกลางอากาศ

ยังไม่ต้องพูดว่าในอดีตเคยใช้ตราประทับนี้ผนึกประตูนพยมโลกนานหลายปีได้โดยไม่ผุพัง พูดถึงแค่ตอนนี้ ร่างจุติของท่าหมัดที่เจ้าของร่างเดิมของตราประทับนี้ทิ้งไว้ คิดไม่ถึงว่าจะผนึกประตูนพยมโลกได้อีกครั้ง

ถึงแม้จะไม่สามารถต่อต้านนพยมโลก รวมถึงมารร้ายมากมายที่อยู่ในนั้นได้ทั้งหมด แต่ว่าประตูยมโลกของที่นี่ก็เป็นประตูทางเชื่อมเขตแดนที่เปิดออกอย่างแท้จริง

ร่างจุติของท่าหมัดที่ทิ้งไว้มาหลายปีปิดทางเชื่อมระหว่างโลกสองใบได้ พลังฝึกปรือของเจ้าของตราประทับสีทองนี้จะอยู่ในระดับใดกัน

ปกติพลังเช่นนี้น่าจะไม่ใช่สิ่งที่โลกแปดพิภพจะทานทนได้

มารจริงแท้สองตัวจากนพยมโลกเมื่อครู่ ถึงแม้จะค่อยๆ ทำลายผนึกเข้ามายังโลกแปดพิภพ แต่หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอเห็นพวกมันแล้วก็รับรู้ได้ว่า ต่อให้พวกมันเข้ามาในโลกแปดพิภพได้ พลังของพวกมันก็ยังคงไม่สมบูรณ์อยู่ดี

ถึงแม้จะยังคงแข็งแกร่งถึงขีดสุด แต่กลับถูกสะกดให้อยู่ในสภาวะสูงสุด ที่เทียบเท่าระดับของจอมยุทธ์ขั้นที่สาม

พลังที่แท้จริงของมารจริงแท้สองตัวนั้น เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกว่าน่าจะแข็งแกร่งกว่านี้มาก

เมื่อเชื่อมโยงกับข้อความที่มารดาของตน เสวี่ยชูฉิงทิ้งเอาไว้ เยี่ยนจ้าวเกอก็เดาว่าถ้าระดับพลังฝึกปรือเหนือกว่าจอมยุทธ์ขั้นที่สาม ก็อาจจะอยู่ที่โลกแปดพิภพไม่ได้อีก

หลังมหาภัยพิบัติ โลกแปดพิภพยังไม่เคยปรากฏยอดฝีมือที่ถูกยืนยันว่าเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่สี่มาก่อน

ตอนที่ผู้สะเทือนสวรรค์จ่านตงเก๋อ บุคคลที่มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งที่สุดเสียชีวิตลง ก็ยังเป็นจอมยุทธ์ขั้นที่สองอยู่

จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์อาทิตย์ม่วงจางเชาที่มีพลังฝึกปรือสูงที่สุดในปัจจุบันหายตัวไป ถึงแม้จะอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ขั้นสาม แต่พลังที่เขาแสดงออกมาในขณะที่เขาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนเป็นครั้งสุดท้ายนั้น ตามการคาดการของยอดฝีมือคนอื่น รวมถึงบุรุษเทียมสวรรค์จ่านซีโหลว จางเชาน่าจะยังไม่ได้อยู่ในสภาวะสูงสุดของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่สาม

พูดอีกอย่างก็คือ เขายังไม่ถึงเวลาที่จะเลื่อนเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่สี่

เพียงแต่นี่เป็นการคาดการณ์ของคนอื่น เกิดอะไรขึ้นกับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์อาทิตย์ม่วงจางเชากันแน่ ก็ยังคงเป็นปริศนามาโดยตลอด

ถึงแม้ว่าจะมีคนลือกันว่าจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์อาทิตย์ม่วงกลายเป็นเซียนไปแล้ว แต่ว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็เก็บเป็นความลับ ไม่ได้อธิบายให้ใครฟัง

ส่วนคำถามที่ว่าจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่อยู่ที่โลกแปดพิภพได้หรือไม่นั้น ตอนนี้ยังไม่มีการพิสูจน์ใด

แต่ว่าหลังจากเยี่ยนจ้าวเกอได้เห็นมารจริงแท้สองตัวนั้น ในใจของเขาก็เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นความจริง

‘ท่าหมัดที่ทิ้งไว้มาหลายปีสาามารถผนึกประตูนพยมโลกที่เปิดขึ้นอย่างแท้จริงได้ พลังเช่นนี้ไม่ธรรมดาทีเดียว ตอนนั้นเขาอยู่ในโลกแปดพิภพได้อย่างไรกัน’

เยี่ยนจ้าวเกอมองตราประทับสีทองนั้น ‘ของๆ ท่านไม่ธรรมดาเลย’

การระเบิดพลังของตราประทับสีทองเมื่อครู่สั่นสะเทือนโลกแปดพิภพ ภาพนั้นคล้ายกับมันถูกฟ้าดินปฏิเสธ เยี่ยนจ้าวเกอไม่อาจมองข้ามไปได้

พลังงานที่ระเบิดออกมายังไม่ใช่ขีดจำกัดของของวิเศษชิ้นนี้!

ที่มันอยู่ในโลกแปดพิภพได้ เป็นเพราะว่ามันอยู่ในสภาวะหลับลึก ไม่เคยได้แสดงความสามารถที่แท้จริง

เขาเคยของเช่นนี้เห็นในโลกแปดพิภพมาก่อน และมีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น

มงกุฎจันทรา!

อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ความน่าเกรงขาม หากให้สตรีแห่งหยินที่อยู่ในระดับปรมาจารย์ใช้งาน มันจะมีพลังมหาศาล แต่ความจริงแล้วมงกุฎจันทรายังอยู่ในสภาวะหลับไหล ครั้นพวกเมิ่งหวานกระตุ้นเขา มันก็เหมือนได้ลืมตาขึ้นมาบ้าง ยังไม่นับเป็นการบิดขี้เกียจด้วยซ้ำ

ถึงอย่างไรพวกเมิ่งหวานในตอนนี้ยังมีระดับพลังฝึกปรือต่ำอยู่

“มงกุฎจันทรา…” เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตา “…ตราประทับตะวัน”

เมื่อครู่นี้ ในวินาทีที่เยี่ยนจ้าวเกอใช้วิชาอันล้ำลึกกระตุ้นคัมภีร์เทพดวงอาทิตย์ที่ตนเองไม่คุ้นเคย เพื่อมเชื่อมต่อกับร่างจุติของท่าหมัดนั้น ทำให้ตราประทับสีทองแสดงพลัง ในหัวของเขาพลันปรากฏภาพอันแปลกประหลาด

ภาพมายาที่กระจัดกระจายรวมตัวกันกลายเป็นความคิดในตอนสุดท้าย

อาวุธศักดิ์สิทธิ์ ตราประทับตะวัน

สิ่งที่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอสนใจก็คือ ภาพในเงาแสงหนาหนักนั้น มีเงาร่างของสตรีนางหนึ่งปรากฏขึ้นมา

ทั่วทั้งร่างของนางปกคลุมไปด้วยแสงบริสุทธิ์ และสวมมงกุฎจันทรา

สตรีที่เยี่ยนจ้าวเกอเคยเห็นใน ‘ความทรงจำ’ ขณะหลอมเสาระเบียงวังเทพ ปรากฏตัวขึ้นที่นี่อีกครั้ง

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด