Perfect Superstar – ตอนที่ 46 เช่าห้อง

อ่านนิยายจีนเรื่อง Perfect Superstar ตอนที่ 46 เช่าห้อง อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

รุ่งสาง เสียงกริ่งปลุกดัง ก็ลุกขึ้นจากเตียง สวมใส่เสื้อผ้า ล้างหน้าแปรงฟัน…

 

ตอนรุ่งเช้าวันอาทิตย์ที่หลายคนกำลังจมอยู่ในความฝันนั้น ลู่เฉินก็ลุกขึ้นมาแต่เช้าตามปกติ ต้อนรับแสงอรุณรุ่งอันเลือนรางเริ่มทำงานในเช้าวันใหม่

 

หลังจากออกกำลังกายร่วมสองชั่วโมงตรงสวนสาธารณะข้างคลองขุดจนเหงื่อไหลโทรมกาย ก็รับทานอาหารเช้าจนเต็มคาบเพื่อเพิ่มพูดเรี่ยวแรงและบำรุงร่างกาย พอดีจะได้แวะไปทำธุรกรรมที่ธนาคารใกล้ๆต่อด้วย

 

ลู่เฉินเช็คยอดเงินในบัญชีก็เห็นยอดสามแสนแล้ว จึงจัดการโอนเงินให้บัญชีที่ไม่อาจคุ้นเคยไปมากกว่านั้นในทันที

 

แต่พอเขาเพิ่งก้าวออกมาจากประตูใหญ่ธนาคาร โทรศัพท์ที่ยัดใส่ไว้อกเสื้อก็ดังขึ้น

 

ลู่เฉินรับสายในทันที “แม่ ผมว่าจะโทรบอกพอดี!”

 

ปลายสายนั้นได้ยินเสียงอันคุ้นหูถ่ายทอดมา “เสี่ยวเฉิน เป็นลูกโอนมาให้แม่หรือ? แล้วลูกเอาเงินมากขนาดนี้มาจากไหน?”

 

น้ำเสียงแฝงเค้าความไม่สบายใจที่ไม่อาจควบคุมได้เอาไว้ และยังมีความเป็นห่วงกังวลสนใจที่มาจากใจจริง

 

ลู่เฉินหัวเราะกล่าว “เป็นเงินที่ผมทำงานหามาได้แน่ครับ!”

 

คนที่โทรมาหาลู่เฉินก็คือแม่ของเขา ฟางอวิ่น

 

ฟางอวิ่นเป็นนักบัญชีธรรมดาของกรมสรรพากรเทศบาลเมืองปินไห่[1]เขตเจ้อเจียงตะวันออก หลังจากพ่อของลู่เฉินจากโลกไป ก็เป็นเธอที่ยืนหยัดเป็นเสาหลักของบ้านแทนอย่างเข้มแข็ง

 

ลู่เฉินปรี่มาทำงานที่เมืองหลวง แต่ละเดือนจะโอนเงินเข้าบัญชีของฟางอวิ่น เพื่อให้ฟางอวิ่นเตรียมไว้ชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้พวกนั้น แม้ไม่มากนัก แต่อย่างน้อยก็ไม่ทำให้คนหมดหวัง

 

เจ้าหนี้พวกนี้ต่างเป็นญาติสนิทมิตรสหายและลูกค้าก่อนที่ลู่ฉิงเจิงจะเสียชีวิต หลายคนมากที่หยิบเอาเงินสะสมชั่วชีวิตของตนเองออกมาให้ด้วยความสนิทสนม ด้วยความเชื่อใจ ด้วยมิตรสภาพ ถ้าหากไม่หวังจะได้คืนมาบ้าง อย่างนั้นสกุลลู่คงต้องแบกหนี้กรรมอันหนักหน่วงไปตลอดกาลแล้ว

*(ก็ว่าทำไมไม่หนีหนี้…)

 

ลู่ฉิงเจิงจากโลกนี้ไปแล้ว เขาทิ้งหนี้สินที่ไม่อาจไม่ใช้คืนให้กับคนที่บ้าน

 

ลู่เฉินเคยโมโห เคยทนทุกข์ เคยสิ้นหวัง เคยซึมเศร้าเพราะเรื่องนี้ แต่สุดท้ายำก็กลับมาแข็งแกร่งได้ จึงมองเห็นแสงอรุณ

 

คล้ายกับแสงแดดอันอบอุ่นที่เล็ดลอดใบต้นหวู่ถงสาดต้องใบหน้าและร่างของเขาในตอนนี้

 

ฟางอวิ่นรีบพูดว่า “นี่ลูกพูดจริงหรือ!”

 

ลูกอยู่ไกลพันลี้แม่เป็นกังวล ลู่เฉินออกจากมหา’ลัยมุ่งหน้ามาทำงานที่เมืองหลวงได้เกือบปีแล้ว ตอนใกล้ขึ้นปีใหม่เพราะไม่มีเงินเลยไม่ได้กลับบ้าน ในใจฟางอวิ่นไหนเลยจะไม่คิดเป็นห่วง

 

ตอนนี้ลู่เฉินจู่ๆก็โอนเงินสามแสนมาให้ ปฎิกริยาแรกเมื่อหล่อนเห็นข้อความจึงไม่ใช่ดีอกดีใจ แต่กลับแตกตื่นและหวาดกลัว เรื่องที่หวาดกลัวคือลู่เฉินอาจจะไปทำเรื่องไม่ดีก็ได้

 

ไม่อย่างนั้นเงินจำนวนสามแสนหยวนนี่มันมาได้ยังไง?

 

ลู่เฉินพูดว่า “โธ่แม่ แม่เปิดเฟยซิ่นของแม่ดูก็รู้แล้ว”

 

เมื่อวานเขาก็คาดการณ์ถึงสถานการณ์ในตอนนี้เอาไว้แล้ว ดังนั้นจึงใช้มือถือถ่ายภาพสัญญากับไลท์เรนมีเดียรวมทั้งสัญญากับเฉินเจี้ยนฮ่าว เพิ่งจะส่งไปให้ฟางอวิ่นเมื่อกี้นี้เอง

 

ใช้เวลาไปถึงห้านาที ในที่สุดฟางอวิ่นก็ยืนยันได้ว่าลูกชายของตัวเองไม่ได้ทำเรื่องผิดกฎหมายอยู่ในเมืองหลวง

 

ลู่เฉินอาศัยการร้องเพลงแต่งเพลงหาเงินได้มากขนาดนี้ แถมยังได้หุ้น 5% ของร้านเหล้าแห่งหนึ่งอีกด้วยแน่ะ!

 

หล่อนทั้งแตกตื่นยินดีทั้งภาคภูมิใจ แต่ความรู้สึกต่างๆนาๆกลับจบลงด้วยคำพูดประโยคเดียว “เมื่อไหร่ลูกจะกลับบ้าน?”

*(พอกลับบ้านไป แม่ก็จะถามว่า เมื่อไหร่จะกลับไปทำงาน…)

 

ลู่เฉินครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ต้นเดือนมิถุนาผมจะกลับ ยังต้องไปงานเลี้ยงฉลองจบการศึกษาอีก ใช่แม่..”

 

“แม่บอกพี่สาวนะ ว่าไม่ต้องไปทำงานแล้ว ให้พี่อยู่บ้านเตรียมตัวเข้าสอบเดือนธันวาเหอะ!”

 

ผลการเรียนของลู่ซวีพี่สาวลู่เฉินนั้นยอดเยี่ยมมาโดยตลอด แต่กลับต้องดรอปเรียนไปโดยไม่ได้สอบจบ นั่นก็เพราะเกิดอุบัติเหตุของที่บ้านแทรกเข้ามาเสียก่อน  หล่อนเลยต้องทิ้งการเรียนเพื่อไปทำงานหาเงินแทน

 

ลู่เฉินรู้ว่าความฝันตั้งแต่เด็กของลู่ซวีคือการได้เรียนจบจนปริญญาเอก และหล่อนเองก็มีความสามารถที่จะทำได้ด้วย ดังนั้นตอนนี้จึงยังทันอยู่ “หนี้ที่บ้านบอกให้พี่ไม่ต้องห่วงแล้ว อย่างมากภายในสามปีผมใช้หนี้หมดได้แน่!”

 

ลู่เฉินตั้งปณิธานอย่างฮึกเหิม และเขาก็เชื่อมั่นด้วย!

 

ฟางอวิ่นกลับไม่ได้มองโลกในแง่ดีนัก “แม่จะลองดูนะ ลูกก็รู้นิสัยของพี่ดี ดื้อด้านเหมือนกับพ่อไม่มีผิด!”

 

ลู่เฉินรีบพูดว่า “งั้นให้พี่มาที่เมืองหลวงด้วยกันเหอะ!”

 

ลู่เฉินเตรียมพัฒนาลู่ทางระยะยาวในเมืองหลวงไว้แล้ว ถ้าหากข้างกายมีญาติมิตรอยู่สักคน อย่างนั้นก็ย่อมยอดเยี่ยมที่สุดแน่

 

เมื่อวางสายตาแม่แล้ว ลู่เฉินจึงย้อนกลับไปที่ห้องรูหนู

 

ด้านหลี่เฟยอวี่เองก็ตื่นนอนแล้วเช่นกัน เขายืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงหน้าประตูห้อง เมื่อเห็นลู่เฉินกลับมาถึงก็คล้ายนักโทษได้รับการนิรโทษกรรมในทันที “ว่าจะโทรหานายพอดี พวกเสี่ยวเหม่ยไปอยู่รอที่ตึกกวงหยวนแล้วนะ!”

 

“งั้นฉันขอเปลี่ยนเสื้อแปป!”

 

ลู่เฉินรีบวิ่งเข้าไปในห้องตัวเองเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า แน่นอนว่าย่อมเป็นเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบ จากนั้นจึงรีบวิ่งไปตึกกวงหยวนพร้อมกับหลี่เฟยอวี่

 

ตึกกวงหยวนห่างจากชั้นใต้ดินที่พวกลู่เฉินทั้งสองเช่าเอาไว้ไม่ถึงห้านาที ตรงปากทางตึกนั้น ในที่สุดลู่เฉินก็ได้พบพี่สาวเสี่ยวเหม่ยที่เล่าลือกันคนนั้น

 

ความจริงเขาเคยเห็นรูปถ่ายของเสี่ยวเหม่ยมาก่อนแล้ว จึงนับว่ายังคงเป็นการพบหน้าตัวเป็นๆครั้งแรก

 

เสี่ยวเหม่ยทั้งอ่อนเยาว์ทั้งน่ารัก เป็นคนที่น่าถนุถนอมมากเลยทีเดียว ถึงจะแต่งหน้าหนาไปนิดก็เหอะ

 

ส่วนพี่สาวคนนั้นที่มาด้วยกันกับหล่อนเหมือนจะเป็นเวิร์คกิ้งวูแมนยิ่งกว่า กระโปรงสั้นสีขาวผมยาวปะบ่า ท่าทางหิ้วกระเป๋าถือโทรศัพท์ดูเฉลียวฉลาดอยู่หลายส่วน

 

“โทษที โทษที!”

 

หลี่เฟยอวี่รีบขอโทษไม่หยุด “ปล่อยให้สาวสวยต้องคอยนาน ช่างน่าละอายจริงๆ!”

 

เสี่ยวเหม่ยค้อนควับทันทีแล้วส่งเสียง“เฮอะ”ออกมาคำหนึ่ง แฝงความหมาย “ฉันเหล่าเหนียงอารมณ์เสียนะยะ”ผ่านดวงตาคู่นั้น

 

ตรงกันข้ามกับหล่อน พี่สาวคนนั้นดูจะเป็นคนเข้าใจหัวอกคนอื่น จึงยิ้มพลางไกล่เกลี่ยว่า “ไม่เป็นไรหรอก พวกฉันก็เพิ่งมาถึงเอง คงจะเป็นหนุ่มหล่อคนนี้ที่อยากเช่าห้องสินะ?”

 

เธอหันสายตามามองลู่เฉิน ภายในดวงตาเผยให้เห็นความระแวงสงสัยอยู่หลายส่วน

 

“ใช่ใช่!”

 

หลี่เฟยอวี่รีบพยักหน้า แล้วกล่าวแนะนำว่า “คนนี้คือลู่เฉินเพื่อนสนิทผม ต้าเฉิน ฉันขอแนะนำให้นายสักหน่อย คนนี้คือเฉินเสี่ยวเหม่ย ส่วนคนนี้เป็นเจี่ยเม่ยของเธอชื่อจางอิง”

 

ลู่เฉินยิ้มพลางพูดว่า “ชื่อเสียงของพี่สาวเสี่ยวเหม่ย ผมได้ยินมาได้แล้ว วันนี้ได้พบตัวจริงนับว่าสมคำร่ำลือ!”

 

หนุ่มหล่อก็คือหนุ่มหล่อ โอยเฉพาะหนุ่มหล่อสูงใหญ่เช่นลู่เฉิน ยิ่งหนุ่มหล่อที่มีอารมณ์ขันย่อมดึงดูดให้ผู้คนรักชอบ ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่เขายิ้มคล้ายดวงอาทิตย์ที่สาดแสงเจิดจ้า ทำให้คนบังเกิดความรู้สึกดีโดยไม่รู้สึกตัว

*(หล่อทะลุแป้ง)

 

พี่สาวเสี่ยวเหม่ยรู้สึกดีตามคาด เม้มปากหัวเราะ “ฉันรู้จักนาย หลี่เฟยอวี่เคยพูดถึงหลายครั้งแล้ว”

 

ลู่เฉินจึงพูดว่า “พี่หลี่เป็นคนอบอุ่นน่ะครับ ว่าแต่พวกเราไปดูห้องกันเลยไหมครับ?”

 

ห้องตั้งอยู่ในจิ้นเซิ่งหยวนที่ห่างจากตึกกวงหยวนไม่กี่ร้อยเมตร

 

ขนาดของจิ้นเซิ่งหยวน*นั้นไม่ใหญ่มากนัก มีอาคารสูงๆต่ำๆแยกกันเป็นเอกเทศทั้งหมดเก้าตึก เพียงแต่แต่ละตึกมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบถ้วนยิ่ง พื้นที่สีเขียวอย่างน้อยนั้นก็มีมากถึง50%เลยทีเดียว สำหรับการดูแลความปลอดภัยก็เข้มงวดเป็นอย่างมาก ลูกค้าจะเข้าจะออกต้องลงทะเบียนชื่อไว้

*(น่าจะคล้ายๆเคหะบ้านเรา)

 

สิ่งแวดล้อมโดยรอบก็ยิ่งไม่เลว พอจะเชื่อมต่อเข้ากับย่านธุรกิจ เดินไปไม่กี่นาทีก็ถึงทางเข้ารถไฟใต้ดินที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้ว

 

ห้องของจางอิงเป็นห้องหมายเลข 1502 ตรงตึก 7 เป็นห้องชุดเดี่ยวที่ประกอบด้วยหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่น พร้อมทั้งห้องครัว พื้นที่ด้านในมีขนาด 35 ตารางเมตร เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าครบถ้วน ดูเหมือนแทบจะเป็นห้องใหม่เลย ด้านในยังคงสะอาดสะอ้าน

 

อย่างน้อยลู่เฉินก็ไม่เห็นข้อตำหนิอะไรเลย

 

ห้องชุดเดี่ยวห้องนี้เป็นห้องที่จางอิงเช่าไว้เมื่อสองปีก่อน เธอทำสัญญาเช่าระยะยาวห้าปี และจ่ายเงินรีโนเวทใหม่หมด แถมยังเลือกเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าไว้ครบถ้วนแล้วด้วย

 

เสี่ยวเจี่ยของพี่สาวเสี่ยวเหม่ยคนนี้ทำงานเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องสำอาง เวลานี้การแข่งขันในเมืองหลวงดุเดือดมาก ดังนั้นหล่อนจึงเตรียมกลับบ้านเกิดไปเปิดร้านแบรนด์เนม ห้องชุดห้องนี้จึงกลายเป็นปัญหาขึ้นมา

 

ค่าปรับผิดสัญญาโคตรแพง ดังนั้นหากปล่อยเช่าช่วงจึงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าแน่ เพียงแต่สื่อโฆษณาตอนนี้ต่างไม่น่าไว้ใจ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหายุ่งยาก จางอิงจึงกระจายข่าวในหมู่เพื่อนๆ สุดท้ายก็ได้ลู่เฉินมา

 

สำหรับค่าเช่า จางอิงพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ในเมื่อนายเป็นเพื่อนของพี่หลี่ อย่างนั้นฉันจะพูดตามตรงก็แล้วกัน ค่าเช่าเดือนละห้าพันเหรียญจ่ายมัดจำก่อนหนึ่งในสาม เฟอร์นิเจอร์เครื่องใช้ไฟฟ้าให้นายไปฟรีๆ น้ำไฟอินเตอร์เน็ตไปจัดการเอาเอง!”

 

เมืองหลวงอาศัยอยู่ยาก ราคาห้องในเมืองหลวงเป็นราคาที่สูงที่สุดในประเทศ ห้องเดี่ยวห้องหนึ่งอย่าได้เห็นพื้นที่น้อย หากไม่มีเงินถึงสองล้านย่อมไม่มีทางเอามาได้ เฟอร์นิเจอร์ครบชุดพร้อมเครื่องใช้ไฟฟ้าค่าเช่า แค่5,000 เหรียญก็นับเป็นราคาปกติ

 

ลู่เฉินครุ่นคิดแล้วจึงพูดว่า “สี่พัน ผมจะทำสัญญากับพี่สามปี และจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าครึ่งปีได้ไหมครับ?”

 

เขาคิดจะตกลงเช่าจากระยะเวลาที่จางอิงเหลืออยู่ทั้งหมด ราคาเช่นนี้ย่อมต้องเจรจาให้ดีๆ

 

จางอิงย่อมยินดีที่จะยกเวลาที่เหลือทั้งหมดให้ เพียงแต่หล่อนเป็นคนฉลาดในการทำธุรกิจ จึงเป็นไปไม่ได้ที่ลู่เฉินบอกเท่านั้นก็ให้เช่าแค่นั้น

 

ทั้งสองฝ่ายต่อรองราคากันเธอทีฉันที สุดท้ายจึงตกลงราคากันที่ 4,500 หยวน หลังจากนั้นจางอิงก็ยกคอมมือสองสภาพ 90% ที่ไม่ได้เอาไปด้วยในห้องนั่งเล่นให้กับลู่เฉินในฐานะของแถม

 

สำหรับการค้าขายนี้ ไม่ว่าจะเป็นลู่เฉินหรือจางอิงต่างก็พอใจ หลังจากทั้งสองเจรจากันเรียบร้อยก็ปริ้นท์สัญญาในร้านถ่ายเอกสารใกล้ๆ แล้วลงนามจ่ายเงินกันทันที

 

ไม่ได้สิ้นเปลืองเวลามากนัก ลู่เฉินก็เช่าห้องใหม่แล้ว ขณะเดียวกันกระเป๋าก็สะอาดเอี่ยมด้วย

 

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด