Perfect Superstar – ตอนที่ 227 หมดหวังแล้วแน่ๆ!
ตอนที่ 227 หมดหวังแล้วแน่ๆ!
เฉินเฟยเอ๋อร์เข้าวงการมาสิบกว่าปีแล้ว เธอจึงไม่ใช่สาววัยรุ่นไร้เดียงสาอีกต่อไป
ในฐานะนักร้องซูเปอร์สตาร์คนหนึ่ง พรสวรรค์ของเธอนั้นเยี่ยมยอด เสียงร้องกังวานดั่งเสียงสวรรค์ไม่รู้ว่าพิชิตใจแฟนคลับไปตั้งเท่าไร
นอกจากเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ที่นักร้องหลายคนใฝ่ฝันแล้ว หน้าตาของเฉินเฟยเอ๋อร์ยังโดดเด่นเป็นที่หนึ่ง เธอสวยตั้งแต่เกิดไม่เคยทำศัลยกรรมมาก่อน เรียกได้ว่าเป็นดรุณีหยกของวงการเพลงป็อป
แต่ในฐานะศิลปินคนหนึ่ง เธอก็โชคดีมาก
ตั้งแต่อายุสิบห้าปีจนถึงตอนนี้ เส้นทางสู่ดวงดาวของเธอถูกเอื้ออำนวยมาตลอด ชีวิตเจอคนใจดีอุปถัมภ์ แม้มีความยุ่งยากบ้างแต่ก็ไม่เป็นอันตราย จวบจนวันนี้จึงมีไม่กี่คนที่จะสามารถสั่นคลอนตำแหน่งในวงการเพลงของเธอได้
สาวสวยที่เป็นที่โปรดปรานของสวรรค์คนนี้ หากคิดจะทำให้เธอสนใจนั้นยากมากอย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างแรกเลยเฉินเฟยเอ๋อร์ไม่ขาดเงิน แต่ก่อนมีข่าวลือหนาหูว่าเธอมีเศรษฐีบางคนเลี้ยงดูให้เงินใช้มากมาย แต่ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นข่าวลือใส่ร้ายป้ายสีโดยสิ้นเชิง เพราะเธอได้เงินจากการเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาเกือบร้อยล้านหยวนต่อปีตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน และยังเปิดสตูดิโอเป็นของตัวเองไม่ต้องแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้บริษัทเอเจนซี่ เธอจึงไม่ขาดเงินใช้สอยเลยสักนิด
นอกจากนี้เฉินเฟยเอ๋อร์ยังมีกลุ่มลงทุนส่วนตัว ได้รับผลตอบแทนค่อนข้างมากทีเดียว ถือว่าเป็นเศรษฐีนีอย่างแท้จริง
การนำเงินมาทุ่มใส่เฉินเฟยเอ๋อร์ จึงเป็นเรื่องที่ตลกมาก!
ด้านชื่อเสียงยิ่งไม่ต้องพูดถึง คนในวงการที่มีตำแหน่งสูงกว่าเธอมีน้อยมากจนสามารถนับนิ้วได้
บางทีอาจจะกลัวความหนาวเหน็บในที่สูง จึงไม่เคยมีผู้ชายคนไหนสามารถทำให้เฉินเฟยเอ๋อร์เปิดหัวใจยอมรับได้จริงๆ และข่าวลือพวกนั้น ก็เป็นแค่การสร้างกระแสของพวกสื่อหรือคนอื่นเท่านั้น
แต่เพลงนี้ของลู่เฉิน สามารถเปิดประตูใจที่ปิดสนิทของเธอได้ ทำให้เธอย้อนนึกถึงช่วงเวลาที่แสนบริสุทธิ์ในตอนแรก
“ฉันจะพาเธอโบยบินไปทุกที่ เดินเที่ยวชมไปรอบโลก ไร้ความกังวลไร้ความเศร้าโศก อิสระร่าเริงทั้งกายและใจ ลืมความเศร้าลืมที่นั่น พวกเราเริ่มออกดินทางร่อนเร่…”
เนื้อเพลงที่แสนจะเรียบง่ายและจริงใจ ภายใต้การร้องและเล่นดนตรีของลู่เฉิน ทำให้จิตวิญญาณของเธอเกิดการขานรับ
และยังรู้สึกอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย
หลังจากลู่เฉินร้องจบแล้ว เฉินเฟยเอ๋อร์เอียงศีรษะซบไปที่ไหล่ของเขา แล้วหลับตาลง
ผ่านไปนานพักหนึ่ง เธอจึงเอ่ยว่า “เพลงนี้นายร้องให้ฉันฟัง งั้นต่อไปจะต้องร้องให้ฉันฟังคนเดียว ได้หรือเปล่า”
ลู่เฉินยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “พี่ชอบก็พอ”
เฉินเฟยเอ๋อร์ยิ้มพราย หันหน้ามาแล้วหอมแก้มลู่เฉินหนึ่งที “ขอบคุณนะ”
ลู่เฉินกล่าวว่า “ดึกมากแล้ว ผมจะไปส่งพี่กลับบ้านนะครับ”
เขากลัวว่าถ้าหากปล่อยให้ราชินีคนนี้หยอกเย้าต่อไป เกรงว่าตัวเองจะอดกลั้นความคลุ้มคลั่งของตัวเองไม่อยู่
ถึงตอนนั้นจะเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือว่าโหดร้ายยิ่งกว่าสัตว์ป่า ก็ยากที่จะพูด!
เฉินเฟยเอ๋อร์แสร้งทำเป็นดุ “ทำไม นายอยากไล่ฉันกลับมากเหรอ”
ลู่เฉินโกรธทันที อ้าแขนสองข้างโอบเธอไว้ “งั้นคืนนี้ก็พักที่นี่กับผมก็แล้วกัน!”
ใครกลัวใครเล่า!
เฉินเฟยเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก ถอยหลังแล้วเอ่ยว่า “พี่จางและคนอื่นๆ รอฉันอยู่ข้างล่าง นายก็กลับบ้านเถอะ”
หลังจากความสนุกผ่านไป ลู่เฉินลงไปส่งเธอข้างล่าง
เฉินเฟยเอ๋อร์ขึ้นรถออกไปแล้ว เขาก็กลับมายังที่พักของตัวเอง
คืนนี้เป็นคืนที่ยอดเยี่ยมสำหรับลู่เฉินอย่างไม่ต้องสงสัย ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเฉินเฟยเอ๋อร์ก้าวหน้าขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ประสิทธิภาพในการทำงานของเฉินเฟยเอ๋อร์สูงมาก ไม่ช้าก็แนะนำบริษัทผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์แห่งหนึ่งให้กับลู่เฉิน
บริษัทผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์ที่ว่านี้ มีชื่อว่าเป่าหลงฟิล์ม มีชื่อเสียงมากในประเทศจีน เคยถ่ายทำผลงานละครและภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมอย่าง ‘ช่วงเวลาในปักกิ่ง’ ‘ฟ้ากระจ่างไกลหมื่นลี้’ ‘ต้าซาง’ เป็นต้น ผลักดันให้ศิลปินมีชื่อเสียงมาแล้วไม่น้อย
คนที่ลู่เฉินต้องเจรจาด้วยคือ จู้หมิงเหอรองผู้จัดการฝ่ายผลิตของเป่าหลงฟิล์ม
สถานที่ที่ทั้งสองคนนัดพบกัน อยู่ภายในร้านกาแฟด้านหน้าศูนย์ศิลปะยุคใหม่ในเมือง
ศูนย์ศิลปะยุคใหม่นี้เป็นศูนย์รวมหน่วยงานในประเทศที่มีชื่อเสียงด้านภาพยนตร์โทรทัศน์ ดนตรี วรรณกรรม และศิลปะ มีบริษัทน้อยใหญ่และสตูดิโอมากมายหลายพันแห่ง กระทั่งได้ชื่อว่าเป็นสถานที่รวมตัวของคนเก่งมีพรสวรรค์และมรดกทางวัฒนธรรมมากมาย
สำนักงานใหญ่ของบริษัทเฟยสือเรคคอร์ดก็อยู่ในศูนย์ศิลปะยุคใหม่ เป่าหลงฟิล์มก็เช่นกัน
และร้านกาแฟที่อยู่ด้านหน้าก็เป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมของเหล่าศิลปินที่อยู่ในศูนย์ศิลปะแห่งนี้ ที่นี่มีกาแฟและขนมราคาถูกแต่รสชาตินั้นสุดยอด แถมยังมีไวไฟให้เล่นฟรี นอกจากนี้พอสั่งกาแฟแล้วก็สามารถนั่งได้ทั้งวัน โดยไม่ถูกพนักงานของร้านมาไล่เด็ดขาด
เนื่องจากมีบรรยากาศที่ดีมาก ดังนั้นหลายคนที่อยู่ในศูนย์แห่งนี้จึงชอบนัดลูกค้ามาคุยหรือเจรจาที่นี่
จู้หมิงเหอเป็นชายวัยกลางคนที่เป็นชนชั้นนายทุนน้อยคนหนึ่ง ในเป่าหลงฟิล์มเขามีหน้าที่รับผิดชอบด้านบทละคร ถึงแม้ตำแหน่งจะไม่สูงมาก แต่อำนาจกลับมีไม่น้อยเลยทีเดียว
โดยปกติทั่วไป ถึงแม้ลู่เฉินจะพอมีชื่อเสียงเล็กๆ อยู่ในวงการ ถ้าอยากจะเอาบทละครมายื่นใส่มือของเขาโดยตรงก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะว่าวงการเพลงกับวงการภาพยนตร์โทรทัศน์ค่อนข้างตั้งตัวเป็นอิสระต่อกัน
จู้หมิงเหอจึงไม่จำเป็นต้องเกรงใจลู่เฉิน
โดยปกติแล้ว นักเขียนทั่วไปเอาบทละครมาส่ง จะต้องให้บรรณาธิการลูกน้องของเขาตรวจสอบก่อน
มีเพียงต้นฉบับที่ผ่านการตรวจรอบแรก ถึงจะมาอยู่ในมือของเขาได้
ที่สามารถเชิญจู้หมิงเหอออกมาได้ เป็นเพราะการช่วยเหลือจากเพื่อนคนหนึ่งของเฉินเฟยเอ๋อร์
เฉินเฟยเอ๋อร์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเป่าหลงฟิล์ม เธอแค่สนใจความสามารถที่ฝ่ายหลังมีก็เท่านั้น
จู้หมิงเหอมีอายุประมาณสี่สิบปี ใส่แว่นตาดูสง่าผ่าเผย ตอนที่เขาเดินเข้ามายังพาเลขานุการสาวมาด้วยอีกหนึ่งคน
“สวัสดีครับ!” “สวัสดีครับ!”
ทั้งสองฝ่ายจับมือทักทายกันตามมารยาท พูดจาเคารพนบนอบซึ่งกันและกันพอประมาณ
สำหรับลู่เฉิน ท่าทางมีมารยาทของจู้หมิงเหอดูเหมือนจะมีความเหินห่างเล็กน้อย
จู้หมิงเหอที่นั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ ได้เจอดาราดังและคนเก่งมากมายเป็นปกติ ลู่เฉินเป็นแค่นักร้องดาวดวงใหม่เท่านั้น จึงไม่ถึงขั้นที่เขาจะต้องให้ความสำคัญมาก
เมื่อเทียบกันแล้ว เลขานุการสาวของเขากลับให้ความสนใจลู่เฉินมากกว่า
หลังจากนั่งลง รองผู้จัดการของเป่าหลงฟิล์มคนนี้ก็พูดตรงประเด็น “คุณลู่เฉิน คุณมีบทละครอยากจะร่วมผลิตละครกับบริษัทของพวกเราใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ!”
ลู่เฉินพยักหน้า นำโครงเรื่องที่ตัวเองเตรียมไว้ก่อนแล้วยื่นออกไป “ผู้จัดการจู้ นี่คือบทละครที่ผมเขียนครับ รบกวนคุณช่วยชี้แนะด้วย”
นอกจากโครงเรื่องแล้ว ตอนนี้เขาได้เขียนบทละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ สี่ตอนแรกเสร็จแล้ว วันนี้ก็เอามาด้วย แต่บทละครฉบับทางการยังไม่ต้องรีบร้อนส่งออกไป
อย่างแรกต้องให้จู้หมิงเหอถูกใจเนื้อเรื่องก่อน จากนั้นถึงค่อยคุยรายละเอียดต่อไป
ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่การไหว้วานให้ผลิต แต่ทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องร่วมงานกันเชิงลึก และต้องลงทุนร่วมกันอีกด้วย
อาศัยลู่เฉินเพียงคนเดียวไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้
ดังนั้นต่อหน้าจู้หมิงเหอ ลู่เฉินจึงวางท่าทางของตัวเองให้เหมาะสม ไม่ทำตัวเย่อหยิ่งหรือถ่อมตัวจนเกินไป
เพราะในวงการนี้ เขายังเป็นคนใหม่
น้ำในวงการภาพยนตร์โทรทัศน์ลึกมาก ลึกมากกว่าวงการเพลงป็อป
จู้หมิงเหอรับโครงเรื่องมา แล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า “โอเค ผมขอดูก่อน”
สำหรับท่าทางของลู่เฉิน เขาพอใจเป็นอย่างมาก ฝ่ายแรกแสดงตัวด้วยความเคารพ ไม่มีข้อเสียที่ไม่เห็นหัวใครเหมือนเด็กใหม่ที่เพิ่งมีชื่อเสียงหลายๆ คน รู้จักวางตัวเป็นอย่างดี
จู้หมิงเหอจึงรู้สึกสนใจโครงเรื่องฉบับนี้ขึ้นมาเล็กน้อย
ตอนนี้เป่าหลงฟิล์มก็กำลังมองหาบทละครดีๆ อยู่ ก่อนหน้านั้นได้เสียเงินซื้อลิขสิทธิ์นิยายออนไลน์ชื่อดังสองเรื่องมาในราคาที่สูงมาก เตรียมจะปล่อยหมัดออกไปในอีกสองปีข้างหน้า เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งและกำไรในตลาดภาพยนตร์โทรทัศน์ที่ร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ในฐานะรองผู้จัดการฝ่ายผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์ จู้หมิงเหอมีหน้าที่รับผิดชอบตรวจสอบบทละครจึงมีความกดดันมาก
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้ตัดสินคนสุดท้าย แต่ถ้าพลาดบทละครน้ำดี หรือให้บทละครแย่ๆ ผ่านเข้ามา เช่นนั้นก็ต้องร่วมรับผิดชอบด้วย
จู้หมิงเหอเริ่มอ่านโครงเรื่องของลู่เฉิน
ไม่ว่าจะเป็นนิยาย หรือบทภาพยนตร์โทรทัศน์ โครงเรื่องเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
คนที่มีประสบการณ์เยอะสามารถตัดสินได้ถึงความสามารถของผู้เขียน สามารถดูออกว่าเรื่องนี้มีศักยภาพในการขายหรือไม่ กระทั่งคำนวณงบประมาณในการถ่ายทำได้ว่าต้องใช้เท่าไร
เขาอ่านอย่างจริงจังมาก
แต่พออ่านไปเรื่อยๆ จู้หมิงเหอก็ขมวดคิ้ว และยิ่งขมวดคิ้วหนักมากขึ้น ขดรวมกันเป็นตัวอักษรภาษาจีนคำว่า‘แม่น้ำ’ (川)
ในใจของเขาสับสนอย่างเห็นได้ชัด
อารมณ์ของลู่เฉินจึงตื่นเต้นตามเขาไปด้วย รู้สึกว่ากาแฟที่ดื่มอยู่มีรสขาติขมมากขึ้น
สีหน้าของอีกฝ่าย ไม่ใช่สีหน้าที่ดีนัก!
จู้หมิงเหอใช้เวลาประมาณสิบนาทีอ่านโครงเรื่องจบ เขาวางกระดาษในมือลง แล้วถามเสียงหนักว่า “คุณลู่เฉิน ละครโทรทัศน์เรื่องนี้ คุณอยากจะร่วมงานกับบริษัทของพวกเราใช่ไหมครับ”
ลู่เฉินคิดไว้นานแล้ว จึงตอบทันทีว่า “ผู้จัดการจู้ ผมอยากให้พวกเราลงทุนร่วมกันครับ ถ้าหากสามารถหาฝ่ายที่สามมาลงทุนได้ก็ไม่มีปัญหา เงื่อนไขของการลงทุนค่อยคุยรายละเอียดกันอีกทีครับ”
“ด้านการผลิต ผมจะแสดงเป็นพระเอก และนางเอกกับผู้กำกับก็หาคนที่เหมาะสมได้แล้ว ตัวประกอบอื่นๆ ทางบริษัทของคุณสามารถแนะนำหรือเปิดแคสติ้งได้เลยครับ!”
สิ่งที่ลู่เฉินพูดในตอนแรกๆ จู้หมิงเหอฟังแล้วยังคงทำสีหน้านิ่งเหมือนเดิม แต่พอฟังถึงตอนหลังกลับเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย
การร่วมทุนสร้างต้องรับผิดชอบความเสี่ยงและแบ่งปันผลกำไรร่วมกันเป็นเรื่องปกติ ถึงอย่างไรลู่เฉินก็ไม่ใช่นักเขียนบทละครธรรมดา บวกกับความสัมพันธ์กับคนที่ไหว้วาน ถ้าอยากจะให้เขาร่วมหุ้นด้วยก็ไม่เป็นไร
แต่ลู่เฉินไม่ได้แค่แสดงบทพระเอกเท่านั้น แม้แต่นางเอกกับผู้กำกับก็กำหนดไว้แล้ว…
แบบนี้มองเป่าหลงฟิล์มเป็นตัวอะไร
เป็นคณะละครกากๆ ใช่ไหม
จู้หมิงเหอแอบโกรธไม่พอใจมาก ความรู้สึกดีที่มีต่อลู่เฉินก่อนหน้านี้พลันมลายหายไป
ไม่รู้สึกจักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียแล้ว!
แน่นอนว่าจู้หมิงเหอเป็นคนน้ำนิ่งไหลลึกมาก ต่อให้ไม่พอใจ ก็จะไม่พลิกหน้าโดยตรง
เขาครุ่นคิดพักหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยด้วยถ้อยคำสุภาพ “คุณลู่เฉิน พี่หลีเป็นคนแนะนำคุณมา ทุกคนล้วนเป็นเพื่อนกันอย่างนั้นผมขอพูดอย่างจริงใจและเปิดเผย หวังว่าคุณจะไม่ถือสานะครับ”
ลู่เฉินยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “เชิญครับ ไม่ว่าความคิดเห็นอะไรผมก็รับได้หมดครับ”
“งั้นก็ดีครับ!”
จู้หมิงเหอยิ้มเอ่ยว่า “ความจริงเนื้อหาของเรื่องที่คุณเขียนพอใช้ได้ครับ แต่โครงเรื่องโดยเฉพาะตอนจบไม่เหมาะสมกับกระแสนิยม คนดูไม่ชอบ จำเป็นต้องปรับแก้มากกว่านี้”
“นอกจากนี้เรื่องผู้กำกับและพระเอกนางเอก พวกเราก็มีการประเมินของพวกเรา จะตัดสินใจฝ่ายเดียวไม่ได้”
“และด้านการลงทุน บริษัทของพวกเราจะไม่ออกทุนสูงมาก หวังว่าคุณจะหาฝ่ายที่สามได้นะครับ”
“แล้วก็อีกอย่าง…”
ลู่เฉินฟังด้วยใบหน้าที่ยิ้มตลอดเวลา แต่ในใจกลับแอบถอนหายใจ
เป่าหลงฟิล์ม เขาหมดหวังแล้วแน่ๆ!
…………………………………………………………………………
คอมเม้นต์