จักรพรรดิเทพสายฟ้า – ตอนที่33 ลอบสังหาร
ตอนที่33 ลอบสังหาร
รัตติกาลราตรีเวียนถึงกลางดึก ท้องฟ้าไร้ซึ่งดวงดารา ปราศจากแสงจันทร์นวลประกาย นับเป็นค่ำคืนอันเงียบสงัด
เปลวไฟบนคบเพลิงทอแสงส่องสว่างเล็กน้อย วูบวาบบิดพลิ้วไปตามสายลม แต่ทันใดนั้นเองเปลวไฟบนคบเพลิงเหล่านั้นพลันดับลงทันใด เป็นฝีมือของทหารนักฆ่าทั้งสี่ที่กำลังเคลื่อนไหวพร้อมกันในเงามืด คบเพลิงโดยรอบกองคาราวานรถม้าของกลุ่มอวิ๋นชิงเหยาที่ใช้สำหรับขับไล่สัตว์อสูรในป่าดับลงโดยพร้อมเพรียง
ในชั่วขณะหนึ่ง รัตติกาลนี่นี้เข้าสู่ความมืดมิดโดยสมบูรณ์
บรรยากาศโดยรอบแปรเปลี่ยนดูพิศวงน่าสยองอยู่หลายส่วน เนื่องด้วยจิตสังหารที่แผ่ซ่านเป็นคลื่นอ่อนกระจายออกไป
เงาดำทั้งสี่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงท่ามกลางความมืดมิด จนกล่าวได้ว่ามิสามารถมองตามได้ทันด้วยตาเปล่า แม้แต่เสียงฝีเท้ากระทบพื้นดินยังไม่มีเล็ดลอด
ทว่าทันทีทันใด กลุ่มก้อนเมฆาค้างฟ้า รอยนอกของพวกมันกลับเผยรัศมีแสงนวลแผ่ออก เพียงเสี้ยวพริบตาต่อมา ทั่วทั้งผืนบริเวณพลันสว่างไสวจ้าในชั่วอึดใจ หาใช่ว่ารัตติกาลนี้ปราศจากจันทรา แต่เพียงว่ามันถูกกลุ่มเมฆาสีดำบดบังไว้เสียเท่านั้น
เสี้ยวขณะที่จันทราเผยปรากฏออกมา อเงาดำทั้งสี่ที่วนเวียนอยู่บริเวณรอบรถม้ากองคาราวานถึงกับรีบเร่งฝีเท้า เข้าลอบซ่อนตัวในมุมมืดที่ยังเหลือ ทั้งสี่จับจ้องไปยังทิศทางเดียวกัน จิตสังหารไอเย็นที่แผ่ซ่านออกมาล้วนถูกบดบังโดยความมืด
พวกเขาล้วนมีพลังอยู่ในอาณาจักรนภาม่วงทั้งสิ้น แม้ความมืดดังกล่าวจะมืดจนทำให้มองไม่เห็นแม้กระทั่งนิ้วทั้งห้าตรงหน้า แต่อาศัยความสามารถในการมองเห็นที่มืดระดับชั้นนี้ ขอเพียงมีแสงสลัวหลงเหลือสักเล็กน้อย พวกเขาย่อมสัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิตรอบตัวได้ทันที
เห็นได้ชัดว่า ภายใต้ช่วงเวลาที่จันทราโผล่ปรากฏออกมาแบบนี้ มันยิ่งอำนวยความสะดวกของพวกเขาในการลอบสังหารได้ง่ายขึ้น
ดังนั้นทั้งสี่จึงชักดาบออกมาอย่างเงียบงัน ลัดเลาะตามมุมมืดเคลื่อนเข้าหาเป้าหมาย หากผู้ใดหวาดกลัวความมืดต้องกล่าวเลยว่า ชาตินี้ก็ไม่มีวันค้นพบตัวของพวกเขาได้
คล้อยหลังเข้าประชิดใกล้ประมาณห้าสิบก้าว ทั้งสี่พลันชะงักหยุดฝีเท้าโดยพร้อมเพรียง กระชับอาวุธยกขึ้นมาโดยมิได้นัดหมาย เบื้องหน้าของพวกเขาพลันได้ยินเสียงกรนดังต่อเนื่องสม่ำเสมอ แค่ฟังก็รู้ว่ากำลังหลับสนิท ไม่แน่ว่าอาจจะฝันหวานอยู่ก็เป็นได้
แต่น่าเสียดายยิ่งนัก เขาที่กำลังฝันหวานอยู่อาจถถูกปลุกขึ้นมาด้วยความตาย นี่มันมิได้โหดร้ายเกินไปหน่อยรึ?
อย่างไรเสีย ทั้งสี่หาได้ลังเลไม่ กระชับด้ามดาบแน่นพร้อมเคลื่อนเข้าประชิดยกขึ้นเหนือหัว แสงคมดาบสาดสะท้อนกับแสงจันทร์กลายเป็นสีเย็นวาบหนึ่ง คมดาบทั้งสี่เข้าประหารใส่ร่างของเย่เจวี๋ยโดยพร้อมเพรียง!
แต่จู่ๆ …ทหารนักฆ่าทั้งสี่กลับต้องตื่นตะลึงงัน หากพวกเขามิได้อยู่ท่ามกลางความมืดมิดลงเผยให้เห็นสีหน้าประหลาดใจสุดขีด เพราะเสี้ยวอึดใจก่อนหน้า พวกเขายังได้ยินเสียงกรนฝันหวานของอีกฝ่ายอยู่เลยมิใช่รึ? แต่ไฉนตอนนี้เขากลับหายตัวไปแล้ว? หรืออีกฝ่ายเป็นผีหรืออย่างไร?
ภารกิจลอบสังหารเช่นนี้ ทั้งสี่ย่อมเคยทำมาก่อน ดังนั้นหาใช่เรื่องยากเสมือนบดบี้มดปลวกริมทาง
ประสบการณ์ความช่ำชองของพวกเขาช่างมีมากมาย ดังนั้นเพียงตะลึงงันไปชั่วครู่แต่ละคนก็รีบเร่งตั้งสติกลับมาทันที กระชับดาบเตรียมตอบสนองทุกการเปลี่ยนแปลง ทั้งสี่หันหลังชนกันก่อขึ้นเป็นรูปแบบค่ายกลที่ไร้ซึ่งจุดบอดสี่ทิศ
พวกเขาค่อยๆ วาดสายตาเหลียวซ้ายแลขวาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะสัมผัสได้ว่า ‘มีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง’
ตอนนี้ทัศนวิสัยของพวกเขาอยู่ต่ำเกินไป ไม่สามารถมองเห็นยทุกอย่างที่อยู่รอบข้างได้ ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับสัมผัสทางอื่นแล้ว
ในตอนนี้ทั้งสี่เริ่มกลับมทาครุ่นคิด มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นที่ทำให้เย่เจวี๋ยหายตัวไปได้แบบนี้คือ เขาสังเกตเห็นทั้งสี่แล้วเท่านั้น
และในปัจจุบัน….เขากำลังซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งในเงามืด พร้อมเฝ้ามองทั้งสี่อย่างเงียบงัน
ขณะเดียวกัน ทหารนักฆ่าที่ชื่อหลัวซื่อพลันปั้นหน้าประหลาดใจอย่างยิ่ง เขาไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่า เย่เจวี๋ยจะสามารถเลี่ยงหลบการโจมตีระยะใกล้ขนาดนั้นของทั้งสี่ได้จริงๆ ทั้งๆ ที่เสี้ยวอึดใจก่อนหน้า ทั้งสี่ยังได้ยินเสียงนอนกรนของอีกฝ่ายชัดเจน
ยิ่งคิดเท่าไหร่หลัวซื่อยิ่งวิตกจริตหนัก แท้จริงแล้วเย่เจวี๋ยผู้นี้อาจเป็นยอดฝีมือก็เป็นได้ และการกระทำแรกของบรรดายอดฝีมือทั้งหลายหลังรู้ตัวว่าตนเองโดนลอบสังหารคืออะไรล่ะ? ใช่แล้ว! มันคือการตอบโต้!
พร๊วดด!
เสียงเลือดสาดกระเซ็นดังขึ้น ทำลายบรรยากาศอันแสนเงียบสงบในยามรัตติกดาลงทันใด สี่พี่น้องตระกูลหลัวยืนประจัญบานอยู่สี่ทิศพร้อม ตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงเหนือ เหนือและใต้ ทว่ายามนี้น้องเล็กสุดของพวกเขาที่ยืนอยู่ทิศเหนือพลันล้มลงทั้งแบบนั้นในอึดใจ เหลือกลายเป็นร่างเปล่าไร้ซึ่งวิญญาณ!
บัดซบ! กลับเป็นพวกเขาเองที่โดนลอบสังหาร!
พอคิดแบบนั้นแววตื่นตระหนกพลันสาดสะท้อนออกมาจากนัยน์ตาของทั้งสามทันทีโดยมิตั้งใจ ในตอนที่เย่เจวี๋ยลงมือสังหาร พวกเขากลับไม่รู้สึกหรือสัมผัสได้ถึงอะไรเลยสักนิด บางที…ตาต่อไปอาจเป็นหนึ่งในพวกเขา!
พร๊วดด!
เสียงเลือดสาดกระเซ็นดังขึ้นอีกครา น้องกลางของพวกเขาล้มลงตายคาที่
ในทำนองเดียวกัน ภายใต้สถานการณ์อันน่าสยดสยองปานนี้ แม้แต่เสียงลมกระทบใบหญ้ายังฟังดูน่าสะพรึงประดุจมัจจุราชถือเคียวประกบเคียงกาย บางทีเคียวนั่นอาจกำลังเล็งหัวของพวกเขาคนใดคนหนี่งอยู่ก็เป็นได้
ภายใต้สถานการณ์คับขันแบบนี้ หลัวซื่อตัดสินใจวิ่งแยกออกจากน้องรองอีกคนในทันที ทั้งสองราวกับรู้กันจึงแยกวิ่งหนีออกไปคนละทิศทางตรงข้ามกัน เพื่อสร้างระยะห่างที่กว้างพอจะหนีรอดไปได้ อย่างน้อยที่สุดก็ยังมีสักคนที่หนีรอดออกไปได้ ยังดีกว่าต้องมาตายคู่แบบนี้
ทว่าเสียงเลือดสาดกระเซ็นก็ดังขึ้นเป็นรอบที่สามท่ามกลางความมืดมิด ภาพฉากในขณะนี้มันน่าสยดสยองเกินรับไหวแล้ว เมื่อสุ้มเสียงนี้ดังขึ้น หลิวซื่อก็วิตกสุดขีดเร่งความเร็ววิ่งเตลิดหนีตายสุดชีวิต ทว่าสุดท้ายกลับไร้ประโยชน์ ไม่ว่าเขาจะพยายามวิ่งแค่ไหน ก็ยังรู้สึกได้ถึงจิตสังหารที่ค่อยๆ คลืบคลานเข้ามาใกล้อย่างต่อเนื่อง
ร้อยก้าว… ห้าสิบก้าว… สิบก้าว… หนึ่งก้าว!
เมื่อรู้ตัวอีกทีก็หนีไม่พ้นไปเสียแล้ว หลินซื่อกัดฟันหันเข้าโจมตีสวนโดยใช้ดาบภายในมือ เสียงโลหะปะทะชนดังเกร๊ง ประหนึ่งกับว่าดาบของหลินซื่อฟันโดนก้อนเหล็กกล้าแข็ง คมดาบแตกละเอียดเป็นเสี่ยงเล็กเสี่ยงน้อยในพริบตาคามือของเขา ทว่าบางสิ่งที่พุ่งเข้ามายังไม่หยุดแค่นั้น เพียงรู้สึกได้ถึงสายลมเย็นพัดโฉบวูบหนึ่ง ร่างของหลินซื่อถูกตัดขาดผ่าครึ่งซีกในพริบตา ตายอย่างน่าสยดสยองท่ามกลางความมืดมิด
เย่เจวี๋ยค่อยๆ ริมจิบหยดเลือดบนคมดาบสะบั้นมังกรเล็กน้อยก่อนจะเก็บเข้าฟักอย่างเลือดเย็น ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปนอนต่อในรถม้าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หากมิใช่เพราะตัวเขาตื่นตัวตลอดเวลา ปานนี้ชีวิตของเย่เจวี๋ยคงตกอยู่ในมือทั้งสี่คนนี้ไปแล้ว
ไม่มีใครสักคนที่รู้ว่าทั้งสี่ตายลงในค่ำคืนรัตติกาลนี้เลย…
เช้าวันรุ่งขึ้น
เป็นกลุ่มของอวิ๋นชิงเหยาที่ตื่นก่อนตั้งแต่เช้าตรู่ ทันใดนั้นพวกนางก็พบซากศพทั้งสี่ที่ชิ้นส่วนแขนขากระจัดกระจายอยู่รอบบริเวณกองคาราวานรถม้า หนึ่งในนั้นโดนผ่าครึ่งทั้งที่คงใบหน้าอันน่าสยดสยองไว้อยู่ เห็นดังนั้นนางรีบเรียกคนใช้ให้หยิบแขนขาที่กระจัดกระจายโดยทั่ว นำมาประกอบกันให้รู้ว่าใครเป็นใคร
“นี่มัน…”
“เมื่อคืน ข้าสัมผัสถึงนักฆ่าพวกนี้ได้ จึงสังหารทิ้งในคราเดียว”
ในขณะที่ทุกคนกำลังสงสัย เย่เจวี๋ยที่เพิ่งตื่นนอนเดินบิดขี้เกียจออกมาก็พลางกล่าวขึ้นอย่างเฉยเมย
“อันใด? นักฆ่า? นายน้อยไม่เป็นอะไรใช่ไหมขอรับ?!”
เจ้ากุ้งแห้งรีบเอ่ยถามทันทีด้วยความเป็นห่วง
“แล้วเห็นข้าเป็นอะไรหรือไม่ล่ะ?”
เย่เจวี๋ยเหลือบมองเจ้ากุ้งแห้งราวกับต้องการจะบอกอีกฝ่ายว่า ถามอะไรโง่ๆ
เมื่ออวิ๋นชิงเหยามุ่งสัมผัสพินิจเศษเสี้ยวกลิ่นอายบนซากศพของพวกเขาก็ถึงกับประหลาดใจยิ่ง ทั้งสี่คนนี้ล้วนมีพลังสูงถึงอาณาจักรนภาม่วงทั้งสิ้น นั้นหมายความว่า เย่เจวี๋ยสามารถสังหารสี่นักฆ่าอาณาจักรนภาม่วงได้ด้วยตัวเพียงลำพัง แถมยังไม่ส่งเสียงจนทุกคนแตกตื่นได้อีก! ดั่งเช่นนั้น นางจึงหันไปมองเย่เจวี๋ยด้วยความตะลึงกล่าวขึ้นว่า
“ทั้งสี่คนนี้ เจ้าเป็นคนสังหาร?”
“แล้วคิดว่าใครฆ่าล่ะ? หากข้าไม่ชิงฆ่าพวกมันก่อน มีหรือที่พวกมันจะปล่อยเรา?”
เย่เจวี๋ยกล่าวสวนตอบกลับไปพร้อมสีหน้าอันไร้อารมณ์ นี่ยิ่งทำให้เขาดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นไปอีก
“แล้วไฉนคนพวกนี้ถึงต้องลอบสังหารเรา… เดี๋ยวก่อน…คนพวกนี้ช่างคุ้นหน้านัก นี่…ทหารข้างกายขององค์รัชทายาทฉู่มิใช่รึ?”
อวิ๋นชิงเหยาชะงักไปเล็กน้อยก่อนสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ทันทีทันใดนางขมวดคื้วแน่น พลันหันไปมองทิศทางรถม้าที่ฉู่เทียนค้างแรม ทันทีทันใดแววตาของนางเปี่ยมล้นไปด้วยความเยือกเย็น
“นายน้อย คนพวกนี้ต้องเป็นคนที่องค์รัชทายาทฉู่สั่งให้มาลอบสังหารท่านแน่นอน!”
เจ้ากุ้งแห้งอุทาน
“ข้าจะไปจัดการมันเอง!”
อวิ๋นชิงเหยารีบกล่าวตัดบท รีบเร่งสาวเท้าก้าวย่างออกไปทันที พร้อมด้วยสาวรับใช้ข้างกายสองนาง ทั้งยังมีสามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานค่อยไปเป็นกำลังเสริมให้
“คุณชายอวิ๋น ข้าก่อน”
ทว่าทันใดนั้นเย่เจวี๋ยพลันกล่าวหยุดพวกเขาไว้
“ข้ามีความคิดดีๆ แล้ว”
ในเวลาเดียวกัน ฉู่เทียนที่ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกประหลาดใจไม่ต่างที่ได้รู้ข่าวว่า ทหารนักฆ่าทั้งสี่ที่ตนส่งไปล้วนถูกฆ่าตายหมดแล้ว ทั้งๆ ที่ทั้งสี่เป็นนักฆ่าที่เขาไว้วางใจที่สุด มีภารกิจลอบสังหารมากมายนับไม่ถ้วนที่เขาสั่งการออกไปและประสบความสำเร็จกลับมา ดังนั้นแล้วเรื่องความแข็งแกร่งของแต่ละคนล้วนปราศจากข้อสงสัย และเพราะพวกมันทั้งสี่จึงทำให้ฉู่เทียนสามารถขึ้นนั่งตำแหน่งองค์รัชทายาทแห่งแคว้นฉู่ได้ ทว่าตอนนี้ภารกิจง่ายๆ อย่างการไปฆ่าสวะอาณาจักรก่อกายายังล้มเหลว ด้วยเหตุนี้…
“ขยะ! กับเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ กลับทำไม่ได้!”
ฉู่เทียนหาได้รู้สึกโศกเศร้าเสียใจแม้สักนิดที่ลูกน้องคนสนิทของตนตายไปเลย ในทางตรงข้ามกลับกระทืบเท้าด้วยความโมโหแถมยังกรนด่าสาปแช่งไม่หยุดหย่อน
คล้อยหลังไม่นานเขาก็สงบลงสติอารมณ์ลง มุมปากของเขาพลันกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มอันแสนชั่วช้า
‘ใช่แล้ว…ข้าออกไปจัดการเองก็สิ้นเรื่อง!’
ฉู่เทียนคิดได้ดังนั้นจึงระดมคนที่เหลือทั้งหมดบุกไปหน้ากระโจมของฝ่ายอวิ๋นชิงเหยา ส่วนทางด้านคนของอวิ๋นชิงเหยาก็กำลังเก็บกระโจมผ้าใบ เตรียมพร้อมที่จะเดินทางต่อ
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
อวิ๋นชิงเหลาปริปากเอ่ยเสียงเย็น ตั้งแต่นางทราบถึงใบหน้าที่แท้จริงอันแสนโฉดชั่วของฉู่เทียน นางก็ไม่จำเป็นต้องสุภาพกับเขาอีกต่อไป
ทางด้านฉู่เทียนเองย่อมสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวของนางได้ ทว่าก็หาได้สนใจอะไรและเอ่ยถามขึ้นห้วนว่า
“ผลึกมณีจิตม่วง เจ้ายังมีอีกหรือไม่?”
พอฉู่เทียนกล่าวประโยคนี้จบ แววตาของเขาพลันฉาบแววละโมบออกมาทันทีโดยไม่มีปกปิดใดๆ เมื่อวานหลังจากเขาดูดซับผลึกมณีจิตม่วงแล้ว ระดับพลังการบ่มเพาะพลังของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นมาก และในเมื่อตัวตนของเขาถูกเปิดเผยแล้ว เช่นนั้นเขาก็ไม่จำต้องเสแสร้งเล่นละครอีกต่อไปเช่นกัน
“มี”
อวิ๋งชิงเหยาหัวเราะคิกคักดูสนุกสนาน จากนั้นก็หยิบผลึกมณีจิตม่วงทั้งหมดหกก้อนออกมาจากในกระเป๋าของนาง ก่อนโยนทิ้งลงบนพื้นราวกับทิ้งขยะมูลไร้ค่า จากนั้นเงยหน้าขึ้นกล่าวกับฉู่เทียนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า
“ข้ายังมีอีกเยอะ”
ทันทีที่ฉู่เทียนเห็นผลึกมณีจิตม่วงทั้งหกก้อน ดวงตาคู่นั้นของเขาพลันเปล่งประกายเจิดจ้าเปี่ยมล้นไปด้วยความโลภ ทว่ากิริยาการกระทำของอวิ๋งชิงเหยากลับกระตุ้นจิตใจเขามากเกินไป การทำแบบนี้มันไม่ต่างอะไรกับการบอกเป็นนัยว่า อวิ๋งชิงเหยากำลังให้ทานคนจนอยู่อย่างใดอย่างนั้น
คำว่าศักดิ์ศรีสำหรับฉู่เทียนยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดเสมอ เขาไม่มีทางเก็บมันขึ้นมาแน่นอน พอเห็นกลุ่มทหารและคนรับใช้ที่ฉู่เทียนนำมา อวิ๋งชิงเหยาก็ทราบทันทีว่าอีกฝ่ายมีเจตนาอย่างไร
ทั้งสองฝ่ายริเริ่มกระชับอาวุธแผดรัศมีแรงกดดันใส่กันอย่างไม่ลดละ แต่อย่างไร จำนวนคนของฉู่เทียนได้เปรียบกว่าอวิ๋งชิงเหยาเห็นๆ มากกว่าเกือบสามเท่าเป็นอย่างน้อย
ฉู่เทียนกวาดสายตามองอยู่รอบหนึ่งพลันหัวเราะเย้ยเยาะขึ้นลั่น หาได้เกรงกลัวไม่เลย ทั้งสองฝ่ายกระชับอาวุธดาบกันพร้อมหน้า
ตราบเท่าที่แกนนำของทั้งสองฝ่ายประกาศโจมตี พวกเขาก็พร้อมวิ่งเข้าปะทะกันได้ทุกเมื่อ
“แล้วเจ้าหลินไคล่ะ?”
คล้อยหลังเผชิญหน้ากันสักครู่ ฉู่เทียนก็เอ่ยกล่าวน้ำเสียงเย็นถามขึ้นมา
“ยังมาพล่ามไร้สาระอยู่อีก ยังไม่เห็นอีกเหรอไง?”
อวิ๋นชิงเหยาตอบติดตลกเย้าหยอกกลับไป
ขณะที่ฉู่เทียนกำลังจะคำรามสวน จู่ๆ เสีนงคำรามลั่นสนั่นกึกก้องพลันดังลั่นจากทางด้านหลัง ปรากฏเป็นยักษ์สีหน้าดุร้ายหลายสิบตัวพุ่งเข้ามา
ทันใดนั้นเองกลุ่มทหารและคนรับใช้ของฝ่ายฉู่เทียนก็วิ่งหนีกันกระเจิง มีหลายคนที่โดนยักษ์เหล่านั้นเหยียบจนตาย และส่วนใหญ่ถูกเตะกระเด็นปลิวออกไป
กลิ่นอายความน่าสะพรึงพวยพุ่งออกมาจากร่างของพวกมันสิ่งมีชีวิตยักษ์ใหญ่เหล่านั้น กล่าวได้ว่าใครที่ได้สัมผัสล้วนต้องสั่นสะท้านกันทุกคน!
คอมเม้นต์