จักรพรรดิเทพสายฟ้า – ตอนที่35 หนี
ตอนที่35 หนี
แต่ไม่ทันเสียแล้ว สัตว์อสูรเถื่อนยักษ์สามตัววิ่งไล่ตามมาติดๆ เย่เจวี๋ยรีบเร่งกล่าวขึ้นทันทีว่า
“รีบหนีเร็ว! เร็วเข้า!”
แต่ไม่ทันสิ้นเสียงดี พวกมันเหล่านั้นก็พุ่งตรงไปหาบรรดาคนของอวิ๋งชิงเหยา พวกเขาส่วนใหญ่ถูกซัดกระแทกปลิวกระเด็นออกไป ร่างของแต่ละคนอัดกระแทกต้นไม้ใหญ่จนกระอักเลือดสดออกมา
บางคนยังไม่ทันมีโอกาสได้หนีก็ถูกเหยียบเละ โดนบดขยี้กลายเป็นก้อนเนื้อบด พวกมันหาใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาได้เลย
ผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรนภาม่วงไม่ต่างอะไรจากมดปลวกเมื่ออยู่ต่อหน้าสัตว์อสูรเถื่อนยักษ์ทั้งสี่ตน พวกเขาตบซ้ายตายหนึ่งตบขวาตายอีกหนึ่งซบ เพียงกระทืบเท้าแค่ครั้งเดียวถึงกับปลิดชีวิตได้สามสี่ศพ บรรดาผู้คนของอวิ๋งชิงเหยาล้วนตายห่ากันสิ้นในพริบตา
“คุณชายอวิ๋งรีบหนีเร็ว! เร็วเข้า!”
เจ้ากุ้งแห้งรีบแหกปากตะโกนไปหาทิศทางที่อวิ๋งชิงเหยาอยู่ ทั้งยังต้องวิ่งหลบสัตว์อสูรบ้าพวกนั้นอีกต่างหาก สับฝีเท้ารีบเร่งไปยังฝั่งของเย่เจวี๋ยโดยไม่มีหันกลับไปมองใดๆอีก
ขณะที่เย่เจวี๋ยและฉู่เทียนสัประยุทธ์กันอย่างดุเดือด เจ้ากุ้งแห้งก็วิ่งมาถึงพอดีและคิดไปว่าตนเองไม่น่าจะโดนโจมตีใดๆอีกต่อไปแล้ว
อวิ๋นชิงเหยากวาดสายตามอบไปโดยรอบ ทั้งทหารและม้าของนางล้วนบาดเจ็บสาหัสและล้มตายไปจำนวนมากภายในระยะเวลาอันสั้น กล่าวได้ว่ากองคาราวานที่นางามาแทบล้มตายกันไม่เหลือ เหลือบมองไปยังฝั่งของเย่เจวี๋ย เขาเองก็กำลังถูกสัตว์อสูรเถื่อนตนหนึ่งไล่ล่าตามเข้ามาเช่นกันขณะสัประยุทธ์ เรียกได้ว่าตกที่นั่งลำบากยิ่ง
ในช่วงเวลาที่นางยืนอึ้งอยู่นั้นเอง ทันใดนั้นก็มีมือขนาดยักษ์พวยพุ่งเข้าใส่อวิ๋งชิงเหยา ก่อเกิดเป็นเงาขนาดมหึมาถาโถม
“องค์หญิงระวัง!”
เผชิญหน้ากับสถานการณ์วิกฤตปานนี้ ได้มีคนรับใช้ผู้หนึ่งรีบพุ่งเข้าไปผลักร่างของนางออกจากจุดนั้น อึดใจต่อมาบริเวณที่นางเคยยืนอยู่กลายมาเป็นหลุมบ่อขนาดใหญ่ เศษดินเศษฝุ่นฟุ้งกระจาย ภายในหลุมใหญ่ดังนั้นคนรับใช้ที่เข้ามาช่วยถูกบดเละเป็นก้อนเนื้อก้อนหนึ่ง
ในที่สุดอวิ๋งชิงเหยาก็เริ่มตอบสนองได้สติขึ้นมา รีบตะโกนขึ้นว่า
“รีบหนีไปเร็ว พวกเจ้าสองคนรีบตามข้ามา พวกเราจำต้องหนีให้พ้นมือพวกสัตว์อสูรเถื่อนเหล่านี้ให้ได้ก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง!”
อวิ๋งชิงหยุนและสาวรับใช้ทั้งสองรีบเร่งฝีเท้าวิ่งหนีหายไปเป็นสายหนึ่ง พอพวกนางปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งก็ห่างจากจุดเดิมถึงหลายพันก้าวแล้ว
บังเอิญเสียจริงที่ว่า สัตว์อสูรเถื่อนตนหนึ่งที่ไล่ล่าตามเย่เจวี๋ยอยู่ดันตรงมาทางนี้พอดี เมื่อเห็นพวกนางปรากฏตัวต่อหน้า เย่เจวี๋ยก็ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง รีบชะงักหยุดฝีเท้าหมุนตัวตวัดดาบสะบั้นมังกรเข้าฟาดฟันใส่สัตว์อสูรตนนั้นอย่างเกรี้ยวกราด อย่างไรเสีย ทุกอย่างเป็นดั่งสถานการณ์ก่อนหน้านี้ไม่มีผิด ดาบสะบั้นมังกรในมือเย่เจวี๋ยไม่เพียงแต่ไม่สามารถสัมผัสตัวสัตว?อสูรได้เท่านั้น แต่กลับถูกมันซัดกระเด็นปลิวออกมาอีก ซึ่งครั้งนี้ เย่เจวี๋ยถึงกับลกระอักพ่นเลือดสดออกมาคำโต ลอยลิ่วกลางอากาศ
ถูกจู่โจมหนักถึงสองคราติด อาศัยระดับชั้นพลังบ่มเพาะเพียงแค่นี้ การที่เย่เจวี๋ยยังไม่ตายนับว่าดีมากแล้ว
บูมมม!
ต้นไม้หลายร้อยต้นถูกโค่นหักลงมาเป็นทางยาว ร่างของเย่เจวี๋ยกระเด็นอัดไปหลายร้อยต้นกว่าจะหยุดลง ภาพฉากเช่นนี้ใครเห็นก็ว่าไม่รอด เล่นถางป่าเป็นทางยาวนับครึ่งลี้
“นายน้อย! ข้าขอสู้ตายเพื่อท่าน!”
พอเห็นภาพฉากนี้แล้ว ดวงตาเจ้ากุ้งแห้งเหอร้อนกลายเป็นสีแดงกล่ำ รีบชักดาบที่คาดเอวออกมา คู่กระตุบวูบปราดพุ่งเข้าใส่สัตว์อสูรประดุจศรธนู รัศมีกลิ่นอายแห่งอาณาจักรนภาม่วงทั่วกายาของเจ้ากุ้งแห้งแผ่ซ่านออกมา ประดุจราชสีห์คลั่งคำรามหมายฉีกกระชากสัตว์อสูรเดหล่านี้ให้สิ้น
“แก้แค้นให้นายน้อย!”
สามพี่น้องกระชับดาบยักษ์ขึ้นในมือพร้อมเพรียง รีบเข้าเสริมช่วยเหลือเจ้ากุ้งแห้งอีกแรงหนึ่ง ราวกับพวกเขาได้รับแรงกระตุ้นปลุกใจจากเจ้ากุ้งแห้ง ใช่แล้ว เจ้าสัตว์โง่นี่กล้าทำกับนายน้อยของพวกเขาเฉกเช่นนี้ มีหรือที่จะยอมถอยหนีเสียง่าย?
ทว่าพวกเขากลับหารู้ไม่เลยว่า อวิ๋งชิงเหยาอยู่ไม่ใกล่ไม่ไกลนัก นางถึกับเผยสีหน้าตื่นตกใจออกมาโดยพลัน เมื่อครู่รัศมีกลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างเจ้ากุ้งแห้งไม่ผิดแน่ มันช่างแกร่งกล้าเสียยิ่งกว่ายอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงขั้นสุดทั่วไปหลายทว่า! เพียงคนรับใช้อาณาจักรนภาม่วงธรรมดาทั่วไป แต่ไฉนถึงมีพลังฝีมือที่ลึกล้ำปานนี้ได้!
ชวิ้ง!
ทันใดนั้นร่างของเจ้ากุ้งแห้งถึบกับหยุกชะงักลงฉับพลัน ประกายคมดาบวาบหนึ่งดุจดาวหาง พวยพุ่งเฉียดปลายจมูกของเขาไป คมดาบดังกล่าวพุ่งทะลุเสียบแขนของสัตว์อสูนเถื่อนตนนั้นทะลุไปปักต้นไม้ใหญ่ด้านหลัง
เจ้ากุ้งแห้งไม่กล้าจินตนาการเลยว่า หากคมดาบดังกล่าวโดนเขาขึ้นมาจริงๆ สภาพคงจะ…
แต่พอเจ้ากุ้งแห้งเพ็งสายตามองไปยังดาบเล่มนั้นดูดีๆ ปรากฏว่ามันคือดาบสะบั้นมังกร
“ข้า…ไม่เป็นไร เจ้ากุ้งแห้ง… วิ่ง… วิ่งเข้ามาในป่าเร็ว…”
ท่ามกลางควันฝุ่น ปรากฏสุ้มเสียงดังออกมาจากเบื้องลึกในป่าสใหญ่
เย่เจวี๋ยกล่าวขึ้นขณะเดินตรงเข้ามา สภาพดูย่ำแย่มือข้างหนึ่งกำลังกุมแขนอีกข้างหนึ่งเอาไว้ ดูท่าจะได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเลย
เจ้ากุ้งแห้งยืนอึ้งไปชั่วขณะ เหลือบมองดาบสะบั้นมังกรที่ปักคาอยู่บนต้นไม้ แต่นายน้อยบอกให้เขารีบวิ่งเข้าป่า แล้วดาบสะบั้นมังกรล่ะ? ไม่เอาแล้วงั้นรึ? นั้นเป็นถึงดาบล้ำค่าที่อาจจะหาไม่ได้อีกแล้วในชีวิตนี้?
“ยังจะยืนอึ้งอยู่อันใด? รีบวิ่งเร็ว!”
เสียงตะโกนของอวิ๋งชิงเหยาได้เรียกสติของเจ้ากุ้งแห้งกลับมาได้ทันเวลาพอดี เจ้ากุ้งแห้งพยักหน้าตอบรับโดยไว คู่เท้ากระตุบวูบเคลื่อนผ่านประดุจสายลมเข้าผืนป่าใหญ่ในทันใด ตามมาด้วยสามพี่น้องที่วิ่งไล่มาติดๆ
ในเวลาเดียวกัน สัตว์อสูรเถื่อนยักษ์อีกสามตนได้สังหารผู้คนของอวิ๋นชิงเหยาจนหมดสิ้นแล้ว พื้นที่บริเวณโดยรอบล้วนถูกทำลายไม่เหลือซ่าก พอทั่วบริเวณนั้นยังเห็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งอยู่ ร่างใหญ่ของพวกมันแต่ละตนก็กระพือทุบอกตัวเองอย่างเกรี้ยวกราดและรีบเร่งไล่ตามเจ้ากุ้งแห้งกับสามพี่น้องอย่างบ้าคลั่ง
โชคยังดีที่แม้ความแข็งแกร่งของพวกมันจะอยู่ที่อาสณาจักรนภาม่วงขั้นสุด แต่ในด้านความเร็วกลับด้อยกว่ามาก มิฉะนั้นคงไล่ล่าตามพวกกุ้งแห้งทันได้ในพริบตา
ในตอนนี้สัตว์อสูรเถื่อนยักษ์ทั้งสี่ตนกำลังไล่ล่าติดตามเย่เจวี๋ยและพรรคพวกคนอื่นๆประดุจสุนัขบ้าล่าเนื้อ ตลอดทางวิ่งของพวกมันผืนดินแตกร้าวเป็นเสี่ยงๆ ต้มไม้ใหญ่ล้มกันระเนระนาด
ป่าใหญ่อันแสนเงียบสงัดแปรเปลี่ยนเป็นความวุ่นวายในพริบตา
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะก้อนหินก้อนเล็กๆโดยแท้ ในสายตาของเหล่าสัตว์อสูรเถื่อนยักษ์พวกนี้ เข้ากุ้งแห้งกับพวกสามพี่น้องไร้ซึ่งเรี่ยวแรงไม่ต่างจากมดปลวก เกินกว่าจะเสียเวลามาสนใจ
แต่ถ้าหากถูกมดปลวกตัวเล็กตัวน้อยขนาดนี้ยั่วยุแล้วยังนิ่งเฉยอยู่จริงๆ บรรดาสรรพสัตว์อสูรในป่านี้คงต้องหัวเราะเยาะพวกมันทั้งสี่ตนเป็นแน่!
ดังนั้นยามนี้เวลาไม่สามารถย้อนกลับไปได้แล้ว เจ้ากุ้งแห้งจึงทำได้เพียงวิ่งและวิ่งหนีต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน
หุบเขระหว่างสองลูกอยู่ห่างกันเกินกว่าจะมองเห็นได้ ซึ่งภาพฉากนี้ก็กินเวลาไปกว่าครึ่งวัน กลุ่มขบวนวิ่งหนีกันฝุ่นตลบประกอบไปด้วยชายหนุ่มในชุดอาภรณ์สีขาวสภาพขาดรุ่งริ่งอยู่หัวขบวน ตามมาด้วยชายหนุ่มร่างแห้งผอมใบหน้าซีดเซียว ตามท้ายมาด้วย ชายฉกรรจ์ร่างกำยำทั้งสามไว้หนวดเคราสภาพดูมอมแมม และปิดท้ายด้วยชายหนุ่มหน้าสวย ถึงวิ่งมาครึ่งค่อนวันแล้วก็ยังคงรักษาความงดงามได้อยู่ ทั้งยังมีสาวรับใช้อีกสองคนที่กำลังสับตีแตกวิ่งหนีสัตว์อสูรเถื่อนร่างยักษ์ทั้งสี่ตนอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย
“นี่…ยัง…ยังต้องวิ่ง…อีกนานแค่ไหนขอรับ….”
เจ้ากุ้งแห้งหอบหนักเสียงถี่เต็มทน แม้ระดับพลังของเขาจะอยู่ในอาณาจักรนภาม่วง แต่หากจำต้องหนีตายอย่าบ้าคลั่งตลอดครึ่งวัน เป็นใครก็ต้องหอบเจือนตายกันทั้งนั้น หากลดความเร็วลงมีหวังโดนสัตว์อสูรบ้าพวกนั้นเขมือบไม่เหลือเป็นแน่ ดังนั้นเขาไม่สามารถหยุดพักหายใจแม้แต่เสี้ยวอึดใจเดียว
ส่วยเย่เจวี๋ยกับอวิ๋งชิงเหยายังดูไม่ค่อยรู้สึกรู้สาอะไรเท่าไหร่นัก ระหว่างทางที่วิ่งมาไม่มีพูดไม่มีจากันเลยสักคำ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากวิ่งหนีต่อไปจนกว่าพวกมันจะหยุด ปริปากบ่นก็มีแต่จะหมดแรงเร็วขึ้น
“นายน้อย~ ไฉนมิสู้กับพวกมันให้ตายกันไปข้าง? ถึงอย่างไร…ขอสู้ตายดีกว่าต้องมาเหนื่อยตายเช่นนี้”
เจ้ากุ้งแห้งแหกปากร้องไม่หยุด ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เจ้ากุ้งแห้งแทบจะไม่เคยทำอะไรสักอย่าง เพราะเนื่องด้วยร่างกายที่ผอมแห้งของตน จึงมันจะถูกคนอื่นดูถูกและหัวเราะเยาะว่าเหมือนไม้ขีดไฟ จะอย่างไรก็ตาม อย่างน้อยที่สุดก็อยากสู้ตายกลางสนามรบอย่างสมศักดิ์ศรีดู
“ใช่…ใช่แล้วนายน้อย! สู้กับพวกมันเถอะ”
สภาพของสามพี่น้องเองก็ไม่ต่างจากเจ้ากุ้งแห้งเท่าไหร่นัก หอบแฮกไม่หยุดและรีบกล่าวเสริมคำพูดของเจ้ากุ้งแห้งทันที แม้พวกมันจะเป็นโจรปล้นสดมมาชั่วชีวิต แต่ยามนี้ขอสู้ตายเฉกเช่นลูกผู้ชายคนหนึ่ง ดีกว่าเหนื่อยตายแบบนี้
ทว่าเย่เจวี๋ยยังคงเงียบ
“หากอยากตายนักก็ไปกันเองเถอะ! ไปสู้ตายอย่างที่พวกเจ้าต้องการ!”
ทันใดนั้นอวิ๋นชิงเหยาก็เงยหน้าขึ้นมาสบถใส่อย่างไม่สบอารมณ์นัก ก่อนจะกล่าวต่อว่า
“แต่อย่างไรพวกข้าไม่หยุด! พอดีเลย เช่นนั้นพวกเจ้าก็ถ่วงเวลาให้เราเสีย”
คำกล่าวเหล่านั้นยิ่งทำให้เจ้ากุ้งแห้งกับสามพี่น้องฉุนเดือดขึ้นทันใด ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากตอบโต้กลับไป แต่สุดท้ายกลับเป็นอวิ๋นชิงเหยาที่กล่าวแทรกต่อว่า
“เช่นนั้นก็อย่าเพิ่งถอดใจ เจ้าพวกโง่!”
ประโยคนี้กลับทำให้เจ้ากุ้งแห้งกับสามพี่น้องรู้สึกใจชื่นขึ้นเล็กน้อยราวกับได้กำลังใจเติมขึ้นมาจากน้ำบ่อเล็ก ในทีแรกอวิ๋งชิงหยุนคล้ายว่าจะกล่าวอะไรเพิ่มเติมเสริมไป แต่สุดท้ายนายก็ปิดปากเงียบไม่พูดอะไรอีก แต่ทันใดนั้นแววตาของนางกลับซับซ้อนยิ่งขึ้น หลากหลายกระแสอารมณ์ทะลักล้นเข้ามาภายในใจทำให้จิตใจของนางสับสนรวนเรไปชั่วขณะหนึ่ง
อวิ๋นชิงเหยาพลันนึกถึงเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ มันเป็นความทรงจำในกาลอดีตที่พลันผุดขึ้นมาภายในหัวประดุขเขื่อนแตกจนสายน้ำทะลักล้นเชี่ยวกราก ภาพฉากในตอนนั้น….โฉบแล่นผ่านเข้ามาในห้วงความคิด ทุกครั้งที่นางนึกถึงความทรงจำเรื่องนี้กลับต้องทำให้รู้สึกเศร้าหมองอยู่ตลอดเวลา
ทุกครั้งที่ชีวิตของนางใกล้ถึงวิกฤต ความสิ้นหวังเข้ามาปกคลุมจิตใจ คนๆนั้นมักจะปรากฏตัวขึ้นมาเสมอ รอยยิ้มบางๆของเขาผู้นั้นช่างอบอุ่นหัวใจดั่งแสงตะสันเจิดจ้าในยามอรุณ สามารถกวาดล้างความมืดมิดทั่วทุกผืนพิภพได้หมดสิ้น
ยามนั้นที่มีมือสังหารบุกมาเอาชีวิตนาง คนๆนั้นก็จะมาช่วย
ยามนั้นนางถูกวางยาโดยคนรับใช้ผู้กบฏ คนๆนั้นก็จะออกมาช่วยเช่นกัน
และยามนั้นที่นางผลัดตกบ่อน้ำไป ก็มีใครคนหนึ่งฉุดร่างของนางขึ้นมา
ต่อให้สิ้นหวังเพียงใด ในท้ายที่สุดแสงแห่งความหวังย่อมปรากฏขึ้นต่อหน้านางเสมอมา
เขามักจะมาทันเวลาวิกฤษของนางเสมอ เพียงคลื่นลมสายเดียวก็สามารถกอบกู้ทุกสิ่งขึ้นมาได้
‘ไม่ว่าเจ้าจะอยู่แห่งหนใด ตราบเท่าที่ข้ายังมีลมหายใจ จงอดกลั้นเพียงอึดใจเท่านั้น แล้วข้าจะมาช่วยเอง ชิงเหยา…เจ้าอย่าเพิ่งยอมแพ้ต่อสรระสิ่งโดยง่ายเป็นอันขาด’
นี่เป็นคำพูดของคนๆนั้นที่มอบให้แก่นาง และสิ่งนี้เองที่ทำให้นางลุกขึ้นสู้และยืนหยัดเผชิญหน้าต่อทุกปัญหาด้วยลำแข้งของตัวเอง
เขาคือพี่ชายของนางเอง อวิ๋นชิงเหอ เป็นยอดยุทธ์อยู่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของทั้งมวล ทั้งยังเป็นพี่ชายที่ตามใจน้องสาวอย่างนางมากที่สุดอีกด้วย
แต่ในงานเลี้ยงตอนนั้น… อวิ๋งชิงเหอกลับถูกวางยาพิษที่ร้ายแรงที่สุดบนพิภพโดยขุนนางโฉดชั่ว และยึดบัลลังค์ทั้งหมดของตระกูลอวิ๋งไป แม้ว่าภายหลังนางจะกลับมาล้างแค้นได้สำเร็จ ต่อให้สับร่างของมันเป็นหมื่นแสนชิ้น ทว่าความเคียดแค้นนี้ก็ยังมิได้จางหายไปจากจิตใจเลย
สิ่งเดียวที่พี่ชายของนางทิ้งทวนไว้ก็คือ…ความกล้าและอย่ายอมแพ้ต่อสิ่งใด
ตราบใดที่นางยังไม่ตัดใจยอมแพ้ ทุกเวลาย่อมยังมีความหวัง สำหรับนางแล้วอวิ๋งชิงเหอคือความหวังเดียวของนาง แต่ตอนนี้ความหวังนั้นกลับไม่มีอยู่ต่อไป และความหวังสุดท้ายก็คือสองมือและสองขาของนางเอง!
แต่ให้อวิ๋งชิงเหยาจะรู้สึกข่มขื่นและหดหู่เพียงใด ทว่าเสียงระเบิดที่ดังขึ้นจากด้านหลังยังคงเป็นสิ่งเตือนสติอยู่ตลอดเวลา สัตว์อสูรเถื่อนทั้งสี่ตนยังคงตามไล่ล่าไม่มีหยุด หากชะลอฝีเท้าลงแม้สักนิด นั้นเท่ากับโดนฉีกกระชากเหลือแค่เศษเนื้อ
เดิมที อวิ๋นชิงเหยาเพียงต้องการพิสูจน์ตนเองให้ทุกคนเห็นโดยการเข้าทดสอบในทวีปตะวันออกเท่านั้น นางคาดการณ์ไว้แล้วว่า หนทางระหว่างเดินทางไปยังทวีปตะวันออกล้วนใงไปด้วยภัยอันตราย ดังนั้นคนที่นางนำมาด้วยจึงล้วนเป็นแต่ผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรนภาม่วงทั้งนั้น การมีผู้คุ้มกันระดับชั้นนี้นับสิบคนถือว่าเพียงพอแล้วที่จะเดินทางไปยังทวีปตะวันออก
ทว่าวิกฤตตอนนี้กลับหาใช่สิ่งที่พวกนางสามารถรับมือได้เลยจริงๆ
หากเป็นเช่นนี้ต่อให้วิ่งอีกนับร้อยลี้สุดท้ายคงไม่พ้นมืออยู่ดี
แต่หากอวิ๋นชิงเหยาต้องมาตายกลางทางแบบนี้ หากข่าวนี้แพร่สะพัดไปถึงแคว้นอวิ๋น มีหวังนางต้องกลายเป็นตัวตลกของทุกคนภายในแคว้นไปอีกนานแสนหน้า หากเช่นนั้นแล้วนางจะมีหน้าเจอพี่ชายบนสวรรค์ได้อย่างไร?
คอมเม้นต์