This Star is a bit Salty – บทที่ 1 ความฝันอันไร้จุดหมาย?
“เพื่อนร่วมชั้น , นายมีความฝันที่จะทำอะไรหลังจากเรียนจบไปแล้ว?”
ณ งานพิธีการจบการศึกษาประจำปี 2019 ของมหาวิทยาลัยการดนตรีหนานซี, สาวสวยคนหนึ่งถามผู้ชายที่อยู่ข้าง ๆ เธอ.
“หลังจบเหรอ?” หลี่หานมองไปที่หญิงสาวที่อยู่ข้าง ๆ เขาและซักพักก็พูดขึ้น “แน่นอนฉันมีแพลน ฉันจะหาเงินให้มากพอแล้วก็จะกลับบ้านเกิดไปเปิดร้านค้าเล็กๆ ไม่ก็ทำฟาร์ม หาแฟนแล้วก็มีลูกซักคน ชีวิตอันแสนสุข! ”
“โอ้ ก็…ก็ดีนะ อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงดี” ผู้หญิงคนนั้นพูด ใบหน้าของเธอแสดงสีหน้าตกใจ รู้สึกผิดและขยะแขยงเล็กน้อย “ชายหนุ่มรูปหล่อกับความคิดแบบนี้มันช่าง…ดูเศร้าซะจริง”
ไม่ใช่แค่หญิงสาวแต่หนุ่มสาวแถวนั้นที่ได้ยินความคิดหลี่หานพวกเขาก็รู้สึกขยะแขยงเล็กน้อย
ก็คนที่เรียนการดนตรีมาแต่ดันมีความคิดอยากจะกลับบ้านเกิดไปเปิดร้านค้าเล็ก ๆ แล้วทำฟาร์ม บางทีมันอาจจะน่าขยะแขยงจริง ๆ ก็ได้
แต่หลี่หานไม่ได้สนใจเพราะเขาไม่ได้มีจุดหมายอะไรอยู่แล้ว
แต่ถ้าหากผู้หญิงคนนั้นถามคำถามนี้กับหลี่หานเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนเธออาจจะได้รับคำตอบอื่นก็ได้
เพราะหนึ่งชั่วโมงที่แล้วหลี่หานยังคงเป็นหลี่หานที่ไม่ได้เป็นหลี่หานคนอื่น
หนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างทำให้เขาในสิบปีข้างหน้าได้กลับมาเกิดใหม่
อายุ 21 ปีที่กำลังจะจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยการดนตรีหนานซี ที่ตอนนี้กำลังเข้าร่วมพิธีจบการศึกษา
หลังจากที่หลี่หานกำลังงงงวยกับสิ่งที่เกิดขึ้นเขาก็ค่อย ๆ ใจเย็นลง
หลังจากที่เขาใจเย็นลง เขาก็ได้ยินนักเรียนรอบ ๆ พูดคุยกันเกี่ยวกับความฝัน
และผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆ หลี่หานก็ถามความฝันของเขาขึ้นมา
เขารู้อยู่แล้วว่าผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆ เขานั้นต้องการคำตอบที่สวยหรูเฉกเช่นคำพูดของคนในวงการดนตรี
แต่นี่ก็คือความฝันของฉัน
ในชีวิตที่แล้วของเขาหลังจากที่เขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยการดนตรีหนานซี เขายังหนุ่มและมีแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้เขาอยากเข้าสู่วงการดนตรี
แต่อย่างไรก็ตาม ในตอนจบนั้นก็ไม่ได้สวยหรูอย่างที่เขาวาดฝันไว้ เพราะว่าเขานั้นไม่ได้มีความสามารถ หลังจากผ่านไปประมาณสิบปี เขาก็ยังไม่เป็นที่รู้จักแถมยังขายเพลงไม่ได้ด้วยซ้ำ
ด้วยการเกิดใหม่อีกครั้ง ตอนนี้คุณคิดว่าเขาจะมีความสามารถงั้นเหรอ?
บัดซบ!
ก็ไม่มีเหมือนเดิมนนแหละ
ไม่มีอะไรต่างไปจากชีวิตที่แล้วของเขาซักนิด
รู้แบบนี้แล้วทำไมจะต้องไปทำตามความฝันอันเหลวไหลแบบนั้นอีก? ทำไมต้องกลับไปใช้ชีวิตเหมือนชีวิตที่แล้วด้วย?
ในชีวิตที่แล้วเขาเหนื่อยมามากกว่าสิบปีจากการทำตามความฝันที่สุดแสนจะเหลวไหลนั้น
ถึงตอนนี้จะเกิดใหม่อีกครั้ง เขาก็ยังรู้สึกเหนื่อยมาจากชีวิตที่แล้วของเขา
ถ้าเป็นอย่างงั้น ลองหาวิธีหาเงินซักก้อนแล้วกลับไปบ้านเกิดดีกว่า
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นชีวิตที่ธรรมดา ๆ แต่มันก็ดีเหมือนกัน
มีชื่อเสียงงั้นเหรอ? โด่งดังงั้นเหรอ?
ลืมแม่งไปเถอะ เหลวไหลทั้งเพ!
……
[ติ๊ง! ระบบตรวจพบความคิดที่ขัดแย้งกับความต้องการของระบบ ไม่สามารถเปิดใช้งานระบบได้!] น้ำเสียงที่ฟังดูไร้อารมณ์ดังขึ้นจากในหัวของหลี่หาน
หลี่หานกำลังยืนตะลึง.
หมายความว่ายังไงกัน?ระบบ?เขามีระบบด้วยงั้นเหรอ?
เขาผู้ซึ่งเป็นคนที่อ่านนิยายออนไลน์ในชีวิตก่อนย่อมเข้าใจดีว่าระบบนี้คืออะไร
ด้วยระบบนี้ แม้แต่ยาจกยังอาจไปถึงจุดสุดยอดของชีวิตได้
ถึงแม้เขาวางแผนที่จะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายแล้วแต่เขากับมีระบบนี่ ทำไมเขาไม่ลองดูซักตั้งล่ะ?
ไม่จำเป็นต้องไปถึงจุดสุดยอดของชีวิต ไม่ต้องเป็นคนที่มี่ชื่อเสียงโด่งดัง แค่ต้องการทำให้ชีวิตนั้นมันดีขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม ระบบไม่สามารถเปิดใช้งานได้…
นี่มันระบบภาษาอะไรกัน?
ก่อนที่จะหลี่หานจะตื่นเต้น เขาก็ต้องรู้สึกงงอีกครั้ง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเกี่ยวกับการที่ระบบไม่สามารถเปิดใช้งานได้
แล้วสรุปเขามีระบบหรือไม่มีระบบ? ครั้งนี้ไม่สามารถเปิดใช้งานได้ แสดงว่าในอนาคตสามารถทำงานได้อีกครั้งใช่หรือไม่?
ก็ดี เดี๋ยวนะ ดูเหมือนระบบจะอธิบายสาเหตุที่ไม่สามารถเปิดได้ไว้แล้วนี่นา
ความคิดไม่ตรงกับความต้องการของระบบงั้นเหรอ?
หรือว่าระบบไม่ชอบความคิดที่แสนจะสงบสุขของเขา?
ถ้างั้น ระบบต้องการความคิดแบบไหน?ความฝันแบบไหนที่มันจะเปิดใช้งานขึ้นมาได้?
บอกฉันมาสิ! ฉันจะได้เปลี่ยนความคิดของฉันใหม่
“ไอ้ระบบนี่…” หลี่หานเหนื่อยที่จะบ่นกับระบบในหัวของเขา
“แค่พูดเล่นเท่านั้นเอง ความฝันของฉันไม่ใช่แบบนั้นหรอก ถ้าฉันเปลี่ยนความคิดใหม่มันจะรีสตาร์ทระบบไหมนะ?”
ไม่มีเสียงตอบรับอะไรจากระบบเป็นเวลานาน
ความฝันของฉันจะต้องกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงในวงการดนตรี? กลายเป็นดาวเด่นเรื่องการลงทุน? เป็นปรมาจารย์ด้านการต่อสู้? เป็นนักกวี? เป็นตัวละครในนิยายออนไลน์? เป็นหนึ่งในผู้นำเรื่องวรรณกรรม? เป็นคนที่รวยที่สุดในโลก? เป็นซุปเปอร์สตาร์คนแรกของโลก?
ดูเหมือนว่าระบบจะไม่ยอมตอบรับหลี่หาน
เขาพูดทุกอย่างที่เขาพอจะคิดได้ออกไป
แต่น่าเสียดายที่ระบบก็ยังไม่ตอบสนองอะไร
หลี่หานจึงต้องยอมแพ้ชั่วคราว
หลี่หานรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เขาน่าจะเปลี่ยนความคิดของเขาก่อนที่จะรู้ บางครั้งระบบอาจจะใช้งานได้
เปิดใช้งานล้มเหลว-
การดำเนินการนี้—
แต่ก็เถอะ เขาไม่สามารถตำหนิอะไรระบบได้ เป็นเพราะในชีวิตก่อนของเขานั้นค่อนข้างน่าหงุดหงิด
มันก็แค่…ไม่เห็นมีอะไรที่ผิดเลยหนิ มันไม่ดีเหรอที่จะมีชีวิตที่สุขสบาย?
นอกจากนี้ยังมีระบบนี่อีก
ฉันน่าจะลองเปลี่ยนความคิดตามที่ระบบต้องการ
ไม่รู้ว่ามันจะรีสตาร์ทให้อีกครั้งไหม?แล้วมันมีเงื่อนไขอะไรในการเริ่มทำงานใหม่อีกครั้งกัน?
เปลี่ยนความคิดที่อยู่ในหัวใจงั้นเหรอ?แต่จากที่ลองคร่าว ๆ มันไม่ได้ผลเลย
หรือเขาแค่เปลี่ยนความคิดเฉย ๆ ไม่ได้เปลี่ยนมันจากภายในหัวใจของเขาจริง ๆ ระบบเลยไม่สามารถตรวจจับมันได้
“นี่เจ้าระบบ อย่างน้อยนายก็น่าจะบอกกันหน่อยว่าเงื่อนไขในการเริ่มเปิดใช้งานอีกครั้งคืออะไร ใช่ไหม?” หลี่หานถามอีกครั้งด้วยความไม่เต็มใจ
ในที่สุดระบบก็ตอบ [เมื่อโฮสต์เริ่มใส่ใจความฝันของโฮสต์ ระบบจะสามารถลองเปิดระบบได้อีกครั้ง]
หืมมม ต้องตระหนักถึงความฝันงั้นเหรอ?
ถ้างั้นเอาเป็น?
หาเงินซักก้อน?แล้วก็กลับไปบ้านเกิดเพื่อเปิดร้านค้าเล็ก ๆ และทำฟาร์ม?
นี่คือสิ่งที่ฉันคิดเอาไว้
มันก็ดู…ไม่เห็นยากอะไรเลยหนิ
หาเงินซักก้อนโดยไม่ได้พูดว่าเท่าไหร่ อาจจะซักหลายหมื่นซักแสนสองแสนก็ถือว่าเป็นเงินซักก้อนเหมือนกัน
เปิดร้านค้าเล็ก ๆ และทำฟาร์ม ก็ไม่ได้ระบุขนาดแค่ตั้งแผงลอยก็เรียกว่าร้านค้าแล้วรึเปล่านะ?
ระบบจะเริ่มเปิดใช้งานอีกครั้งไหมนะ?
เขาสามารถทำให้ระบบกลายเป็นระบบที่ต้องการชีวิตแบบสุขสบายได้ไหมนะ?
เยี่ยม! เพอร์เฟค!
“ฮาฮาฮา!” หลี่หานหัวเราะอยู่ในใจ ต้องขอบคุณความฝันในชีวิตก่อนหน้าจริง ๆ
ไม่เช่นนั้นแล้วมันคงขัดแย้งกับความต้องการของระบบ
ทีนี้เราก็ไม่ต้องกลัวว่าระบบจะเปิดใช้งานไม่ได้แล้ว
……
งานพิธีจบการศึกษาได้จบลงแล้ว
หลี่หานได้กลับมาที่หอพักที่เขาได้จากไปเป็นสิบปี
“เสี่ยวหาน ไหนๆ เราก็จบการศึกษาแล้ว แพลนในอนาคตของนายคืออะไรเหรอ?” หลิวช่านคนที่อยู่บนเตียงเดียวกันถามขึ้นมา
หลี่หานพูด “ฉันไม่มีแพลนหรอก ฉันอยากมีเงินซักก้อนแล้วก็กลับไปเปิดร้านค้าเล็ก ๆ แล้วก็ทำฟาร์มหรืออะไรซักอย่างที่บ้านเกิด”
“นี่มัน…”หลิวช่านตกใจเล้กน้อย หลังจากนั้นก็พูด ขึ้นว่า“ก็โอเคนะ เราไม่ได้มีความสามารถในการแต่งเพลง แถมไม่รู้ว่าจะเอาไปหากินในอนาคตได้หรือเปล่า ตอนนี้ฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้บ้าง?”
หลี่หานคิดอยู่กับตัวเองว่าทำไมเขาถึงเลือกมาเรียนที่นี่แต่แรก?
“ดูนี่สิพวกนาย ดูหนังเรื่องนี่สิ“
”หูเซียนเจี๋ย”เขากำลังเปิดรับเพลงประกอบภาพยนต์แถมให้รางวัลตั้ง 100,000 หยวนแหนะน่าดึงดูดมาก! น่าเสียดายที่พวกเราทำได้เพียงแค่มองเท่านั้น” โจวไห่หมิง เพื่อนร่วมห้องอีกคนกล่าว
“หูเซียนเจี๋ย?” มันเป็นหนังแนวไหนกัน?” หลิวช่านถามขึ้น
“มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิ้งจอกขาวที่ฝึกฝนมาเป็นหมื่นปี เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักมั้งนะ ฉันคิดว่า?” โจวไห่หมิงพูด
“ไม่ต้องห่วงเรื่องเพลงประกอบภาพยนต์หรอก ยังไงพวกเราก็ไม่มีทางเขียนมันขึ้นมาได้ คิดต่อเถอะว่าในอนาคตเราจะทำอะไรกันดี?ฉันไม่น่าเลือกเรียนสายนี้แต่แรกเลย” จั่วเสี่ยวตงรูมเมทคนสุดท้ายพูดขึ้น
“เห้อ!” ทั้งสามถอนหายใจ
หลี่หานเครียดเล็กน้อยและพูดขึ้นมา “ฉันจำได้ว่ามีเพลงที่ทำไว้แล้วที่เหมาะกับหนังมากไม่ใช่เหรอ?ทำไมพวกเขาถึงต้องเสนอรางวัลด้วย?ไม่ได้ลิขสิทธิ์มางั้นเหรอ?”
“เพลงที่ทำไว้แล้ว?”หลิงช่านถามขึ้น”เสี่ยวหาน นายพูดถึงอะไร?”
หลี่หานพูด “ไป๋หูอวี่ชูเชิง”! เพลงที่เฉินรุ่ยกับกังฮุยร้องด้วยกัน”
“ไป๋หูอวี่ชูเชิง?” มีเพลงนั้นด้วยเหรอ?” หลิงช่านส่ายหัวเล็กน้อยและพูด “ฉันไม่เคยได้ยินเลยนะ” นิยาย อ่านนิยาย
โจวไห่หมิงและจั่วเสี่ยวตงก็ส่ายหัวขึ้นมาทั้งคู่ราวกับไม่รู้จักเช่นกัน
ดูเหมือนจะไม่ได้แค่เพลง แต่รวมไปถึงนักร้องอย่าง เฉินรุ่ย และ กังฮุยอีกด้วย
“แล้ว “ไป๋หู”ที่เฉินรุ่ยร้องคนเดียว” ล่ะ
“ไม่เคยได้ยินงั้นเหรอ?”
เงียบกันทำไม?
หลี่หานกำลังสับสน มันเป็นไปไม่ได้ที่ทั้งสามคนจะไม่รู้จัก
เพลงนี้เปิดตัวเมื่อไม่กี่ปีก่อน ตอนนี้ฉันก็อายุ 19 ปีแล้ว แม้ว่าจะไม่สามารถพูดได้ว่ามันคลาสสิกแค่ไหน แต่ก็ยังมีคนร้องเพลงนี้เยอะมาก
หืมม…เดี๋ยวนะ!
หรือว่านี่จะ..เป็นอีกโลกงั้นเหรอ?
ไม่ใช่แค่เกิดใหม่แต่ยังเกิดในโลกคู่ขนานอีกงั้นเหรอ?
นี่มันเรื่องอะไรกัน!
คอมเม้นต์