เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] – บทที่ 112 ความเร็วการอ่านในระดับคอมพิวเตอร์ควอนตั้ม
บทที่ 112 ความเร็วการอ่านในระดับคอมพิวเตอร์ควอนตั้ม
ฟานซูอังแกะสลักชื่ออาวุธที่แปลกพิสดารทั้ง 3 ชิ้นนั้นเสร็จเรียบร้อย จากนั้นจึงได้เกิดความสนใจว่าเด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะเป็นเซียนกระบี่ฟ้าประทาน มิหนำซ้ำ ตอนที่หลินเป่ยเฉินช่วยโคจรพลังลมปราณเข้าไปในตัวดาบศีลธรรม มันก็ทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าเด็กคนนี้มีพลังยุทธ์ค่อนข้างสูงทีเดียว เพราะฉะนั้น ฟานซูอังจึงประทับใจในตัวหลินเป่ยเฉินพอสมควร
ถ้าถามว่าค่ำคืนนี้ในจำนวนมือกระบี่รุ่นเยาวชนทั้งหมด ฟานซูอังประทับใจในตัวใครมากที่สุด คำตอบของเขาก็คือหลินเป่ยเฉิน
ดังนั้น ถึงตอนแรกจะไม่แน่ใจว่าควรสลักชื่อ ‘เจิ้งอี้’ ลงไปบนใบกริชเงินเล่มนั้นดีหรือไม่ แต่เมื่อหลินเป่ยเฉินยืนยันด้วยปากของตนเอง ฟานซูอังจึงได้จัดการสลักชื่อให้ตามคำขอ
บอกตามตรง แวบแรกที่ได้ยิน ฟานซูอังเข้าใจว่าตนเองหูฝาดไปเสียด้วยซ้ำ
หลินเป่ยเฉินรับ ‘กริชเจิ้งอี้’ ไปถือในมือและลองตวัดกวัดแกว่งดูเล็กน้อย
ในไม่ช้า วิญญาณของตัวกริชก็ถูกปลุกขึ้นมา
อัตราการหลอมรวมระหว่างอาวุธและผู้เป็นเจ้าของ ยังคงอยู่ที่ 100 ส่วนสมบูรณ์แบบเช่นเดิม
แต่ครั้งนี้ ฟานซูอังไม่ได้อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจอีกแล้ว
ด้วยความยอดเยี่ยมของหลินเป่ยเฉินเช่นนี้เอง ขณะนี้ เขาจึงตกเป็นจุดสนใจของมือถือกระบี่อาวุโสหลายคน
“ฮ่าฮ่า เยี่ยมมากเลยขอรับ ข้ารู้สึกว่ามันมีพลังมากกว่าเดิมเยอะเลย” หลินเป่ยเฉินหัวเราะอย่างมีความสุข
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มยิ้มแย้มเริงร่า เหล่าแขกทั้งหลายก็อดครุ่นคิดด้วยความสงสัยไม่ได้ว่า ‘กริชเจิ้งอี้’ มีความหมายแปลว่าอะไรกันแน่
เจิ้งเป็นสกุล อี้สามารถเป็นชื่อได้ทั้งสำหรับผู้ชายและผู้หญิง แต่โดยทั่วไปแล้ว คำว่าอี้มักจะพบได้ในชื่อของสตรีที่มีหน้าตางดงามอ่อนหวาน…หรือคำว่าเจิ้งอี้จะเป็นชื่อของสตรีที่หลินเป่ยเฉินหลงรัก?
“เฮอะ ดูเอาเถอะ ช่างเป็นคนเสเพลเสียกระไร ขนาดชื่ออาวุธประจำตัว ยังเอาชื่อสตรีมาตั้ง ช่างน่าละอายเหลือเกิน”
หลินเป่ยเฉินเดินถือกริชเงินด้วยมือขวาและถือกระบี่ขนาดมาตรฐานด้วยมือซ้าย กลับมานั่งที่โต๊ะของตนเองด้วยสีหน้าพึงพอใจ
“เฮ้อ คิดดูแล้วฉันไม่น่าตั้งชื่อให้อาวุธพวกนี้เลย พอตั้งชื่อก็รู้สึกผูกพัน ทำให้ชักไม่อยากขายทิ้งซะแล้วสิ”
เมื่อนั่งประจำที่เรียบร้อย หลินเป่ยเฉินก็อดนึกเศร้าเสียใจขึ้นมาไม่ได้
ไป๋ชินหยุนที่นั่งอยู่ด้านข้าง ขยับเข้ามากระซิบถามด้วยความสงสัย “สตรีเจ้าของนามเจิ้งอี้ มีหน้าตาสวยงามมากหรือไม่?”
“พรวด!”
หลินเป่ยเฉินสำลักน้ำชาออกมาพรวดใหญ่
“มิผิด นางเป็นคนหน้าตาดีมาก ต่อให้นำสตรีทุกคนในโลกนี้มัดรวมกัน ก็ยังสู้นางไม่ได้สักคน” เด็กหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เฮอะ!”
ไป๋ชินหยุนเชิดหน้าขึ้นด้วยความไม่พอใจ “คนเลว”
จังหวะนั้นเอง ก็เป็นเวลาเดียวกับที่หลีลั่วหรันซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่คนสำคัญประจำจวนผู้ว่าส่งเสียงขึ้นอีกครั้ง
“แขกผู้มีเกียรติทุกท่านโปรดทราบ การคัดเลือกอาวุธประจำกายจบลงแล้ว บัดนี้ อาจารย์ฟานจะประกาศผลผู้ชนะบททดสอบแรก”
แล้วชายชราก็เชิญอาจารย์หนุ่มมายืนที่กลางเวที
ฟานซูอังยิ้มแย้มภายใต้การจ้องมองของสายตาคนจำนวนมาก “ผู้ชนะในการทดสอบรอบนี้คือหลินเป่ยเฉิน”
นี่คือผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคิดสงสัยติดใจ แต่กลุ่มเด็กหนุ่มก็อดรู้สึกผิดหวังไม่ได้อยู่ดี และมันก็ทำให้พวกเขามองหลินเป่ยเฉินเป็นศัตรูที่น่ากลัวมากขึ้นกว่าเดิม
การประลองของมือกระบี่รุ่นเยาวชนจะแบ่งบททดสอบออกเป็น 3 ส่วน
หลินเป่ยเฉินชนะในบททดสอบแรกไปแล้ว หมายความว่าตอนนี้เขามีคะแนนได้เปรียบทุกคนอยู่พอสมควร
การที่เด็กหนุ่มอัจฉริยะจากตระกูลใหญ่โต ต้องมาพ่ายแพ้ให้แก่เด็กหนุ่มผู้เคยได้รับการขนานนามว่าเป็นเจ้าแกะดำไร้ความสามารถ นับเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดใจอย่างยิ่ง
“เอาล่ะ พวกเรามาเริ่มบททดสอบต่อไปกันเลยดีกว่า” หลีลั่วหรันประกาศเสียงดังอีกครั้ง “ครั้งนี้ เราจะแข่งขันประมวลผลการอ่านคัมภีร์กระบี่”
กฎกติกาไม่มีอะไรซับซ้อน
มือกระบี่อาวุโสท่านหนึ่งนามว่า ‘เฒ่าทะเล’ จะวางคัมภีร์กระบี่ที่ชื่อว่าวิชากระบี่สายน้ำไหลเอาไว้บนโต๊ะหินหน้าเวที กลุ่มมือกระบี่ผู้เข้าร่วมการประลองมีเวลา 2 ก้านธูป ในการอ่านทำความเข้าใจและฝึกฝนกระบี่วิชานี้
เมื่อหมดเวลา 2 ก้านธูป ทุกคนจะต้องออกมาจับคู่ประลองกัน
พวกเขาต้องใช้กระบวนท่าจากวิชากระบี่สายน้ำไหลในการประลองเท่านั้น
ผู้ชนะการประลองจะได้เข้าสู่รอบต่อไป
“กระบี่สายน้ำไหลอย่างนั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับพลางคิดว่า “ตาลุงคนนี้อย่างกับหลุดออกมาจากนิยายในเน็ตเลยแฮะ นอกจากจะมีชื่อว่าเฒ่าทะเลแล้ว วิชากระบี่ยังเกี่ยวข้องกับสายน้ำอีกด้วย หรือว่าชาติก่อนแกเกิดเป็นนักเขียนนิยายกำลังภายในวะ?”
ในไม่ช้า ชายชราผู้มีเส้นผมและขนคิ้วเป็นสีเขียวอ่อนก็จัดการนำคัมภีร์กระบี่ทั้ง 20 เล่มมาวางไว้บนโต๊ะหิน เรียบร้อยแล้วเขาก็หันมายิ้มให้ทุกคน “เด็กหนุ่มเด็กสาวเอ๋ย พวกเจ้าล้วนเป็นมือกระบี่ดาวรุ่งแห่งมณฑลเฟิงอวี่ บททดสอบของเจ้าจะเริ่มขึ้น ณ บัดนี้ หวังว่าคัมภีร์กระบี่ระดับสองดาวของข้า คงไม่ได้สร้างปัญหาให้แก่พวกเจ้าเกินไปนัก”
กล่าวจบ ชายชราก็เริ่มจุดก้านธูป
“วูบ! วูบ! วูบ!”
เงาร่างหลายสายถลันพุ่งออกไปทันที
มือกระบี่ดาวรุ่งหลายคนพร้อมใจกันพุ่งเข้าไปหาคัมภีร์บนโต๊ะหินด้วยความเร็วมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เฉาพั่วเถียนเพียงยิ้มมุมปาก ลุกเดินไปที่โต๊ะหินด้วยฝีเท้ามั่นคง ก่อนจะหยิบคัมภีร์กลับมาอ่านที่โต๊ะอย่างละเมียดละไม
“ดีมาก ในสถานการณ์บีบคั้นเช่นนี้ ยังรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้ นับว่ามีแววของการเป็นมือกระบี่อนาคตไกล” เฒ่าทะเลพยักหน้าชื่นชมเด็กหนุ่ม
บัดนี้ ไป๋ชินหยุนได้คว้าคัมภีร์สายน้ำไหลมาเล่มหนึ่งแล้ว นางเปิดอ่าน และพบว่ามันมีทั้งรูปภาพกับข้อความอยู่ด้านใน แต่รายละเอียดปลีกย่อยเยอะเหลือเกิน หลังจากตั้งใจอ่านอยู่ครู่หนึ่ง เด็กสาวก็พบว่าตัวอักษรพลันเลือนราง รูปภาพก็จางหาย ต้องโคจรพลังลมปราณใส่เข้าไปเป็นระยะ ถึงจะสามารถอ่านต่อได้อีกครั้ง ถึงแม้จะเป็นเวลาเพียง 2 ก้านธูป ทว่าคัมภีร์เล่มนี้ก็คงดูดกลืนพลังลมปราณไปไม่ใช่น้อยเลย
ไป๋ชินหยุนหันหน้ากลับมาอยากจะถามความเห็นจากหลินเป่ยเฉิน แต่กลับพบว่าเด็กหนุ่มยังคงนั่งสบายอารมณ์อยู่ที่โต๊ะอาหารตามเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“ท่านยังไม่รีบมาอีก” เด็กสาวขึ้นเสียงใส่ด้วยความไม่พอใจ “เลิกวางท่าใหญ่โตได้แล้ว วิชากระบี่นี้มีความซับซ้อนมากมาย ระวังตัวท่านเองจะมีปัญหา”
ฉู่เหินกับติงซานฉือก็กำลังจ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉินอยู่เช่นกัน
ไม่ว่าเจ้าแกะดำจะใช้กลวิธีใด ฉู่เหินก็หวังว่ามันจะช่วยทำให้เด็กหนุ่มผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้สำเร็จ เพราะนั่นจะทำให้หลินเป่ยเฉินมีโอกาสเป็นผู้ชนะการประลองของค่ำคืนนี้สูงมาก
ส่วนสิ่งที่ติงซานฉือกำลังคิดอยู่ก็คือ เจ้าลูกเต่าน้อยของเขาจะสามารถฝึกวิชาได้ก็ยามหลับใหลเท่านั้น แล้วท่ามกลางสถานที่ซึ่งผู้คนส่งเสียงพูดคุยกันจอแจขนาดนี้ หลินเป่ยเฉินจะสามารถหลับลงได้หรือไม่?
เฒ่าทะเลทอดสายตามองหน้าหลินเป่ยเฉิน ยิ้มแย้มกล่าวว่า “หลินเป่ยเฉิน ดูเหมือนเจ้าจะมั่นใจมากเลยนะ”
หลังจากลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจแล้ว หลินเป่ยเฉินก็เดินมาที่โต๊ะหินและหยิบคัมภีร์ขึ้นมาเล่มหนึ่งอย่างระมัดระวัง เขาเปิดหน้าแรกออกอ่าน ค่อยๆ พลิกหน้ากระดาษอยู่อีกอึดใจหนึ่ง เสร็จเรียบร้อยเขาก็ปิดคัมภีร์ วางกลับคืนลงไปที่เดิม “ข้าน้อยอ่านจบแล้วขอรับ”
เฒ่าทะเลถึงกับเบิกตาโต “หมายความว่าอย่างไรอ่านจบแล้ว?”
ตงฟางจันหัวเราะหึๆ ในลำคอ “เจ้ารู้ตัวว่าตนเองไม่มีความสามารถ จึงถอดใจแล้วใช่ไหมล่ะ?”
“อุ๊วะ ฮ่าฮ่าฮ่า อย่างน้อยเจ้าแกะดำก็รู้ขีดความสามารถของตัวเอง ชัยชนะของการเลือกอาวุธคู่กายเป็นเพียงโชคช่วยเท่านั้น ผู้ที่จะคว้าชัยชนะได้อย่างแท้จริง มันวัดกันต่อจากนี้ต่างหาก การศึกษาและปฏิบัติตามคัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์ไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้ายอมแพ้เสียตั้งแต่ตอนนี้ ก็ถือว่าไม่ได้ทำให้ตัวเองขายหน้ามากเกินไปนัก” เสว่เหยียน เด็กหนุ่มผมแดงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“แต่มือกระบี่ตัวจริงจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เมื่อเจออุปสรรคเช่นเจ้าหรอก” หลินไห่ถังพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากคัมภีร์ที่กำลังอ่าน
เฉาพั่วเถียนพลันปิดคัมภีร์ในมือ แล้วกล่าวว่า “ทุกคนตั้งสมาธิอยู่กับการอ่านคัมภีร์เถอะ อย่าปล่อยให้คนไร้ค่าอย่างหลินเป่ยเฉินทำให้พวกเจ้าต้องเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์อีกเลย”
ดังนั้น เด็กหนุ่มทุกคนจึงสลัดสีหน้าเย้ยหยัน และหันกลับมาสนใจที่คัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์ในมืออีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นเสยผม ก่อนเงยหน้ามองดวงดาราและจันทราบนฟากฟ้า พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ต้นไม้ใหญ่ต้องไม่โค่นล้มเมื่อเจอลมแรง โชคร้ายที่ตัวข้าหลินเป่ยเฉินคนนี้มันมากความสามารถเกินไป เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่เป็นตัวโง่งมอย่างพวกเจ้า ข้าก็เปรียบเสมือนนกกระเรียนกลางฝูงไก่…พวกเจ้าอย่าได้เที่ยวเอาสมองต่ำตมของตนเองมาประเมินความสามารถของผู้เยี่ยมยุทธ์อย่างข้าเลยดีกว่า…”
ทุกคนที่ได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่มพากันปากอ้าตาค้างกันไปหมด
ไป่ชินหยุนส่ายหน้าด้วยความระอาใจ
ขณะนี้ เฒ่าทะเลมีสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก พูดด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม “หนุ่มน้อย เจ้าอย่าทำเป็นเล่น ต่อให้ไม่มีหวังที่จะได้รับชัยชนะ อย่างน้อยก็ควรพยายามให้ดีที่สุด กว่าที่ข้าจะคิดค้นคัมภีร์เล่มนี้ขึ้นมาได้มันไม่ง่ายเลย อย่างน้อยเจ้าก็ช่วยให้ความเคารพต่อข้าสักหน่อยเถอะ”
“ท่านผู้เฒ่าเข้าใจผิดแล้วขอรับ ข้าน้อยไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่นท่านเลย เพียงแต่ข้าน้อยมีความเร็วในการอ่านระดับเดียวกับคอมพิวเตอร์ควอนตั้ม เพียงกวาดตามองแวบเดียว ข้าน้อยก็สามารถจดจำเนื้อหาในคัมภีร์ได้ครบถ้วน และข้าน้อยก็มั่นใจว่าสามารถใช้กระบวนท่าในคัมภีร์ได้ไม่ต่ำกว่า 30 ส่วน ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าน้อยก็ต้องชนะในการประลองครั้งนี้แน่นอน” หลินเป่ยเฉินพูดด้วยความมั่นใจ “หากข้าน้อยพ่ายแพ้ ข้าน้อยยินดีถ่ายทอดสดเปลือยกายยืนกลับหัว ใช้นิ้วมือเดียวรับน้ำหนักแทนสองขาเลยขอรับ”
คอมเม้นต์