Perfect Superstar – ตอนที่ 70 กลับบ้าน

อ่านนิยายจีนเรื่อง Perfect Superstar ตอนที่ 70 กลับบ้าน อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 70 กลับบ้าน

วันศุกร์ที่ 5 เดือนมิถุนายน ท้องฟ้าแจ่มใส

เวลาใกล้เที่ยง ลู่เฉินเดินออกมาจากสถานีรถไฟความเร็วสูงเมืองปินไห่

แสงแดดจ้าตาส่องกระทบบนใบหน้า เขาต้องหรี่ตาลงอย่างช่วยไม่ได้ แต่อารมณ์ก็ยังสดใส

ต้องขอบคุณระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่มีการพัฒนาอย่างทันสมัย ใช้เวลาเพียงห้าชั่วโมง ลู่เฉินก็เดินทางจากเมืองหลวงสู่บ้านเกิดของตัวเองที่ไม่ได้กลับมาเกือบหนึ่งปี ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ติดชายฝั่งตะวันออกของเจ้อเจียง

เมืองปินไห่เป็นนครระดับอำเภอ ทั้งเมืองมีประชากรมากกว่าหนึ่งล้านคน การปกครองส่วนภูมิภาคเป็นของเขตหางโจวและเขตเวินโจว มีระยะห่างจากหางโจวเมืองเอกของมณฑล 200 กว่ากิโลเมตร ลู่เฉินเกิดและเติบโตที่นี่ จนกระทั่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยเจียงไห่

เดิมทีเขาอยากกลับบ้านตั้งแต่วันที่หนึ่ง เพราะวันที่เก้าต้องกลับไปร่วมงานรับปริญญาที่มหาวิทยาลัยเจียงไห่ แต่เนื่องจากต้องเตรียมแต่งเพลงใหม่ให้กับพี่น่าและวงเฮสิเทชั่น ดังนั้นเขาจึงต้องอยู่ในเมืองหลวงต่ออีกสองสามวัน

เพลงสองสามเพลงของวงเฮสิเทชั่นเข้าสู่กระบวนการจัดทำอย่างเป็นทางการแล้ว ลู่เฉินในฐานะผู้แต่งเพลงจึงอยากอาศัยจังหวะนี้เข้าร่วมขั้นตอนการเรียบเรียงและจัดทำ ทั้งยังได้ออกความคิดเห็นของตัวเองอยู่ไม่น้อย

การเรียบเรียงเพลงใหม่คือจุดอ่อนที่สุดของลู่เฉิน สำหรับเขาโอกาสแบบนี้จึงหาได้ยากมาก สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้มากมาย ถ้าหากเพลงใหม่ประสบความสำเร็จ ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการเข้าสู่วงการเพลงป็อบของเขา

นอกจากนี้ลู่เฉินก็จะออกอัลบั้มของตัวเองด้วย การทำความเข้าใจเรื่องการจัดทำก่อนนับเป็นข้อดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตัวเขาเองก็รู้จักพี่น่ากับฉินฮั่นหยางเป็นอย่างดีเลย

พอออกมาจากสถานีรถไฟ เขาก็รีบนั่งรถแท็กซี่เข้าไปในเขตชุมชนตงผิงที่อยู่ในเมือง

เขตชุมชนตงผิงเป็นชุมชนเก่าแก่ที่สุดที่สร้างขึ้นในเมืองปินไห่ และเป็นที่ตั้งหอพักของเจ้าหน้าที่สำนักงานการเงิน สำนักงานกิจการภาษีแห่งชาติจีน และสำนักงานกิจการภาษีท้องถิ่น ฟางอวิ๋นแม่ของลู่เฉินกับลู่เสวี่ยน้องสาวก็อาศัยอยู่ที่นี่

ฟางอวิ๋นเป็นพนักงานบัญชีธรรมดาในสำนักงานกิจการภาษีท้องถิ่น หลังจากลู่เฉินออกจากบ้านก็ขายบ้านหลังเดิมกับรถ แล้วเธอก็ย้ายมาอยู่ที่หอพักพนักงานในเขตตงผิงเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย

พอถึงหน้าทางเข้าชุมชนก็ลงจากรถ ลู่เฉินไม่ได้กลับบ้านทันที แต่วิ่งไปที่ธนาคารซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเขตชุมชน

ที่ช่องหน้าต่างลูกค้าวีไอพีของฝ่ายธุรกิจ เขาหยิบบัตรเอทีเอ็มและบัตรประจำตัวประชาชนของตัวเองยื่นเข้าไป

“สวัสดีครับ ผมมาถอนเงิน นัดไว้ตั้งแต่เมื่อวานเรียบร้อยแล้วครับ”

หลังจากห้านาทีผ่านไป ลู่เฉินสะพายกระเป๋าที่หนักอึ้งออกมาจากธนาคาร แล้วกลับไปที่เชตชุมชนตงผิง

หอพักของฟางอวิ๋นอยู่ห้องที่ 201 หลังที่ 7

ถึงแม้ลู่เฉินจะอาศัยอยู่ที่นี่น้อยมาก แต่บ้านเล็กๆ หลังนี้ก็มอบความทรงจำที่อบอุ่นมากให้เขาเหมือนเดิม เมื่อเห็นบ้านที่อยู่อีกไม่ไกล ฝีเท้าของเขาก็ยิ่งเดินเร็วมากขึ้น

ทว่าตอนลู่เฉินเดินมาอยู่หน้าตึกหลังที่ 7 จู่ๆ เขาก็สังเกตเห็นรถที่คุ้นตาจอดอยู่ข้างพุ่มไม้สีเขียว พอมองเลขทะเบียนรถอย่างละเอียด ในใจของเขารู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที!

ลู่เฉินขมวดคิ้ว รีบเดินขึ้นไปชั้นบน และมาถึงหน้าประตูห้อง 201 ในไม่ช้า

ประตูใหญ่เปิดแง้มอยู่ เสียงในห้องรับแขกจึงดังเข้ามาในหูของลู่เฉินอย่างชัดเจน!

“พวกเราก็หมดหนทางเหมือนกัน เงินนี่ค้างไว้นานมากแล้ว…”

“ถ้าหากไม่ใช่เพราะเหวินคังลูกของฉันอยากจะซื้อบ้าน ฉันก็จนปัญญาจริงๆ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงไม่มาหาถึงบ้านหรอก”

“ทุกคนต่างก็เป็นญาติสนิทกัน เธอจะให้พวกเรา…”

ลู่เฉินฟังสองสามประโยคแล้วก็ทนฟังต่อไปไม่ไหว เขาจึงออกแรงผลักประตู!

ปัง!

ประตูนิรภัยกระแทกกับกำแพงเสียงดังมาก

ห้องพักห้องนี้เป็นแบบหนึ่งห้องนอนหนึ่งห้องรับแขก ห้องเก่ามากแล้ว ห้องรับแขก ห้องนอน ห้องครัว และห้องน้ำรวมกันแล้วมีพื้นที่ไม่เกินสามสิบตารางเมตร ในห้องรับแขกเล็กๆ นั้นยังฝืนวางโซฟากับโต๊ะหนังสือเล็กๆ ได้อย่างละหนึ่งตัว ดังนั้นจึงเห็นถึงความซอมซ่อและคับแคบได้อย่างชัดเจน

ตอนที่ลู่เฉินบุกเข้ามา ฟางอวิ๋นแม่ของเขายืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะหนังสือด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ผู้หญิงวัยกลางคนที่หน้าตารวยกำลังพูดต่อว่าและชี้หน้าด่าเธอ

บนโซฟามีผู้ชายวัยกลางคนหน้าซื่อคนหนึ่งนั่งสูบบุหรี่อยู่อย่างกลุ้มใจ

และยังมีเด็กวัยรุ่นอายุประมาณยี่สิบปีอยู่ข้างขวาของเขา สวมเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์ ตัดผมทรงยุ่งเหยิง สวมต่างหูเงินระยิบระยับอยู่ที่หูซ้าย มีสีหน้ายโสโอหัง

พอได้ยินเสียงกระแทกของประตู ทุกคนจึงหันไปมองลู่เฉินที่เดินเข้ามา

“เสี่ยวเฉิน”

ฟางอวิ๋นทั้งตกใจและดีใจ รีบเดินเข้ามาหา “ลูกกลับมาตั้งแต่เมื่อไร”

ลู่เฉินยิ้มพูด “แม่ ผมเพิ่งกลับมาครับ”

เขาหันหน้าไป สีหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที “คุณลุง ป้าสะใภ้ พวกลุงก็อยู่ด้วยเหรอครับ”

ผู้ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนโซฟาคือฟางหย่วนจงลุงของลู่เฉิน คนที่พูดใส่ฟางอวิ๋นเมื่อครู่ก็คือหลินหรูป้าสะใภ้ ส่วนเด็กวัยรุ่นที่สวมต่างหูคือฟางเหวินคังลูกพี่ลูกน้องของลู่เฉิน

“เสี่ยว…เสี่ยวเฉินกลับมาแล้วเหรอ!”

ฟางหย่วนจงลุกขึ้นอย่างทำตัวไม่ถูก พูดอย่างกระอักกระอ่วนว่า “กลับมาก็ดีแล้ว”

หลินหรูตกตะลึงก่อนเป็นอย่างแรก จากนั้นพูดเสียดสีว่า “ดีอะไร ถ้าเก่งจริงก็ต้องเอาเงินกลับมาด้วยสิ คืนหนี้ที่ค้างบ้านพวกเราให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน!”

ฟางเหวินคังอยู่บนที่เท้าแขนของโซฟา มองลู่เฉินด้วยสายตาเหยียดหยาม

ฟางอวิ๋นโกรธขึ้นหน้า เธอกำลังจะเอ่ยปาก แต่กลับถูกลู่เฉินดึงไปอยู่ข้างหลัง

ลู่เฉินพูดอย่างราบเรียบว่า “ป้าสะใภ้ คุณพูดแบบนี้ผมฟังไม่เข้าใจ บ้านของพวกเราติดหนี้คุณตั้งแต่เมื่อไร”

หลินหรูเหมือนได้ยินเรื่องแปลกของนิทานพันหนึ่งราตรี ใบหน้าบูดเบี้ยว “เธอพูดอะไร ตระกูลลู่ของพวกเธอไม่ได้ติดหนี้พวกเราเรอะ กระดาษใบนี้ก็เขียนไว้ชัดเจน!”

เธอควักกระดาษสองสามใบออกมาแล้วเขย่าไปที่ลู่เฉิน ร้องว่า “พวกเธอยังจะคิดเบี้ยวหรือไง”

ลู่เฉินอดกลั้นความโกรธไว้ แล้วถามว่า “ถ้าผมจำไม่ผิด นี่คือสัญญาเข้าถือหุ้นไม่ใช่เหรอครับ”

ตอนแรกที่ตระกูลลู่กิจการเจริญรุ่งเรือง หลินหรูก็อิจฉาตาร้อน รบเร้าฟางหย่วนจงให้ไปขอร้องฟางอวิ๋น เพื่อจะได้เข้าถือหุ้นในโรงงานเปิดใหม่ของตระกูลลู่ นอกจากตักตวงเงินโบนัสแล้วก็อยากฝากให้ฟางเหวินคังลูกชายเข้าไปทำงานในโรงงานด้วย

โรงงานเปิดใหม่ทำกำไรดีในตอนแรก แบ่งโบนัสให้ตระกูลฟางก็ไม่น้อย แต่หลังจากเกิดวิกฤตทางการเงินระหว่างประเทศ กิจการของลู่ชิ่งเซิงก็เกิดวิกฤตหนัก ธนาคารทวงเงินกู้ค้างจ่ายงวดสุดท้าย เป็นเหตุให้เงินทุนหมุนเวียนขาดสะบั้น ด้วยเหตุนี้ธุรกิจจึงล้มละลาย

ถึงแม้ลู่ชิ่งเซิงจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่เขาทิ้งหนี้ก้อนโตที่น่าตกใจไว้ให้กับคนในครอบครัว นอกจากการใช้ทรัพย์สินไปหักล้างเงินกู้เงินของธนาคาร ก็ยังติดเงินเพื่อนสนิทและเครือญาติอีกนับล้าน

หนี้พวกนี้ฟางอวิ๋นเป็นคนแบกรับทั้งหมด การติดหนี้และชดใช้เป็นเรื่องธรรมดาของโลก ไม่มีอะไรที่ต้องพูดอีกแล้ว

แต่สิ่งที่ตระกูลฟางเซ็นคือสัญญาการเข้าถือหุ้น แต่ก่อนก็ได้โบนัสเกินยอดเงินที่ถือหุ้นแล้ว หลังจากปิดโรงงานก็ยังมาขอให้ฟางอวิ๋นคืนเงินที่ถือหุ้นให้อีก ไม่มีเหตุผลเลยจริงๆ

ลู่เฉินรู้ว่าแม่ของตัวเองคืนเงินให้หลินหรูไปแล้วนิดหน่อย ความสัมพันธ์ของตระกูลลู่กับตระกูลฟางจึงจืดจางลงมาก คิดไม่ถึงว่าวันนี้พวกเขาทั้งครอบครัวจะมาบังคับฟางอวิ๋นให้ใช้หนี้ถึงที่บ้าน

แย่มากจริงๆ!

แล้วลู่เฉินจะไม่โกรธได้อย่างไร “อยากได้เงิน อย่างนั้นพวกคุณก็ไปฟ้องศาลเอาสิ ออกไปจากบ้านเดี๋ยวนี้!”

เป็นไปไม่ได้ที่ศาลจะสนับสนุน ‘หนี้สิน’ แบบนี้

มีหรือที่หลินหรูจะไม่รู้

เธอถูกคำพูดเด็ดขาดของลู่เฉินสวนจนสะอึกไป ใบหน้ากระตุก ทันใดนั้นก็จับฟางหย่วนจงแล้วตะโกนใส่ “เจ้าคนแซ่ฟาง คุณพูดหน่อยสิ คุณไม่เห็นเหรอว่าหลานชายคุณกำลังรังแกภรรยาตัวเองอยู่ คุณตายแล้วหรือไง!”

ฟางหย่วนจงขมวดคิ้ว ปล่อยให้หลินหรูตบตี เขามองไปที่ฟางอวิ๋นอย่างจนใจ “เสี่ยวอวิ๋น…”

“นายพูดกับแม่ของฉันแบบนี้ได้ยังไง”

ฟางเหวินคังกระโดดขึ้นมา พูดกับลู่เฉินด้วยความเกรี้ยวโกรธ “แม่งเอ้ย อยากโดนต่อยเหรอไง!”

ทันใดนั้นก็เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นในห้องรับแขกนั้น

ลู่เฉินเห็นฟางเหวินคังยื่นมือจะมาจับหน้าอกตัวเอง เขาโยนกระเป๋าทิ้งไปแต่ไม่หลบ วินาทีที่อุ้งมือของฝ่ายตรงข้ามกำลังจะสัมผัสตัว เขาพลันยกมือซ้ายอีกข้างขึ้นมาจับคอฟางเหวินคังไว้

“เพียะ!”

วินาทีต่อมา ฟางเหวินคังถูกตบหน้าฉาดใหญ่!

ฟางเหวินคังถูกตบหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว หลินหรูก็หยุดร้องไห้โวยวาย ตกใจจนอ้าปากค้าง

ลู่เฉินมีสีหน้าเย็นชา ใช้มือซ้ายผลักฟางเหวินคังออกไปแล้วพูดเสียงเข้มว่า “ฟางเหวินคัง แกอยากตายก็บอกมาสิ ฉันจะทำให้แกสมปรารถนา!”

แต่ก่อนไอ้หนุ่มคนนี้ก็แค่ชอบประจบประแจงเวลาอยู่ต่อหน้าเขา ตอนนี้กลับพลิกโฉมหน้ากล้ามาดูถูกแม่ของเขา

ลู่เฉินคิดอยากจะฆ่าฟางเหวินคัง เพราะการตบแค่นี้ถือว่าเบาไปด้วยซ้ำ!

ฟางเหวินคังเกือบล้มลงไปบนพื้น เขาเอามือกุมหน้าที่บวมแดง ผ่านไปสักพักถึงได้สติกลับมา

จากนั้นก็แผดเสียงร้องเหมือนหมูจะถูกเชือด “แม่ ลู่เฉินจะฆ่าผม!”

หลินหรูโกรธจนจมูกเบี้ยว พูดเสียงแหลม “เจ้าคนแซ่ฟาง…”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ลู่เฉินที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชาทำให้เธอหวาดกลัวมาก ดังนั้นเธอจึงคิดใช้ฟางหย่วนจงให้ไปสั่งสอนลู่เฉิน เพราะตัวเองไม่กล้าลงมือ

“พอแล้ว!”

ฟางอวิ๋นร้องเสียงดัง

เธอพูดกับฟางหย่วนจงอย่างท้อแท้ใจ “พี่ใหญ่ ฉันจะเรียกพี่ว่าพี่ใหญ่เป็นครั้งสุดท้าย ต่อไปฉันจะพยายามหาเงินก้อนนี้มาคืนให้ พวกคุณกลับไปเถอะ”

ไม่มีอะไรน่าเศร้าเท่ากับหัวใจที่ตายแล้ว ฟางหย่วนจงไม่กล้ามองสายตาของฟางอวิ๋น ริมฝีปากสั่นพูดไม่ออก

“ไม่ต้องวันหลังหรอก!”

ลู่เฉินหยิบกระเป๋าที่อยู่บนพื้นขึ้นมา เปิดซิปอย่างแรง “จะคืนให้ตอนนี้เลย!”

…………………………………………………………………………

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด