เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] – ตอนที่ 19 “เสี่ยวเย่…ทำพวกเขาอึ้งตาแตกเลยมั้งเนี่ย?” (ตอนต้น)
บทที่ 19 “เสี่ยวเย่…ทำพวกเขาอึ้งตาแตกเลยมั้งเนี่ย?” (ตอนต้น)
ฉันเอาด้วย!
ฟังดูดีไม่เลวเลยนี่!
ถ้าเป็นวิทยากรแล้วล่ะก็ จะพูดสอนโหดเหี้ยมแค่ไหนก็ได้ตราบเท่าที่มันได้ผล!
แถมผู้จัดการสัมมนาในครั้งนี้ก็เป็นถึงนักดนตรีระดับชาติ ต่อให้วิทยากรเป็นแค่นักศึกษา ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเสียด้วย
จินฟานและซูชืออดไม่ได้ที่จะตกใจ ไม่เข้าใจ และสับสนไปพร้อม ๆ กัน
วิทยากรหลักอย่างนั้นเหรอ?
เมื่อซูเย่จ้องมองไปยังดวงตาที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นของอาจารย์ลั่วตงหมิง ทันใดนั้นก็คิดสิ่งหนึ่งได้ เมื่อคราวงานเลี้ยงฉลองรับน้องใหม่นั้น เขาเองก็ได้รับแต้มศีลลธรรมถึงสองแต้มจากการปลุกใจผองเพื่อนให้ฮึกเหิม
ในเมื่อคืนวานก็ทำได้ไปแล้ว คืนนี้ก็อาจจะทำได้เหมือนกัน
“ผมรู้สึกตื้นตันใจและเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ หวังว่ามันจะไม่เป็นการข้ามหน้าข้ามตาอาจารย์ไปนะครับ”
ซูเย่ตัดสินใจที่จะลองดูซักตั้ง การสัมมนาในครั้งนี้ดูคุ้มค่าที่จะลงแรงเพื่อให้ได้แต้มศีลธรรมเพื่อมาเปิดจุดลมปราณ
หลังจากที่ได้ยินคำตอบของซูเย่ ทำให้อาจารย์ลั่วตงหมิงก็มีดีใจจนเก็บรอยยิ้มเอาไว้ไม่ได้ “อาจารย์จะไปคุยกับนักศึกษาอาสาตรงนั้นซักครู่ เธอเตรียมตัวเอาไว้ได้เลยนะ การสัมมนาจะเริ่มหลังจากนี้ในอีกหนึ่งนาที เธอก็ขึ้นไปบนนั้นได้เลย”
หลังจากที่กล่าวจบ เขาก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว
“เสี่ยวเย่ จะเอาจริงหรอ? “
ทันทีที่หลาย ๆ คนหายไปจากบริเวณ จินฟานและซูชือรีบปรี่เข้ามาหาซูเย่อย่างเป็นกังวล “นี่มันระดับการประชุมสัมมนาเลยนะ พวกเขาเป็นพวกเรียนเกี่ยวกับพิณผีผาโดยตรง ถึงนายจะเก่งก็เถอะ แต่ถ้าพลาดขึ้นมาไม่อับอายขายขี้หน้าไปจนตายเลยเหรอ”
ซูชือกล่าวอย่างจริงจัง “ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรน่าขายหน้าขึ้นมา เรื่องจะมาหลีสาวที่สถาบันดนตรีซิงเหมิงแห่งนี้ก็ลืมไปได้เลย อับอายตราบชั่วฟ้าดินสลาย อายยันลูกบวชพระหลานบวชชีแน่ ๆ!”
“…”
ซูเย่ไม่ตอบอะไรแต่มองด้วยสายตาราบเรียบแทน
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ยังไงฉันก็ไม่ได้คิดจะมีใครเร็ว ๆ นี้อยู่แล้วนี่”
ซูเย่หยิบพิณห้าสายขึ้นมาก่อนจะลุกขึ้นยืนเตรียมตัว
“นั่นหมายถึงพวกเราด้วยต่างหากโว้ย…”
ซูชือกล่าวน้ำเสียงจริงจัง
ซูเย่เมินเฉยต่อคำพูดของซูชือก่อนจะพูดต่อ “ฉันจะไปแล้ว พวกนายก็ไปหาที่นั่งเถอะ”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็เดินตรงไปยังหอประชุมทันที
จินฟานและซูชือรีบปรี่เข้าหอประชุมตามไป
ขณะนี้เวลา 17.30 น. ซูเย่ยืนอยู่ ณ ตรงทางเข้าหอประชุมพร้อมพิณผีผาในมือ เขาเหลือบมองภายในหอประชุมแบบคร่าว ๆ ก็พบว่า…
ภายในหอประชุมนั้นไม่ใหญ่มากนัก มีนักศึกษาเข้าร่วมประมาณห้าสิบถึงหกสิบคน พวกเขานั่งกันแบบกระจัดกระจายไปทั่ว ๆ หอประชุม
จากนั้นสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นจินฟานและซูชือแอบย่องไปนั่งที่เก้าอี้แถวสุดท้ายของห้อง
ทันทีพวกเขานั่งลงกับที่ สายตาก็สอดส่องสำรวจไปทั่ว ๆ บริเวณที่นั่ง
พวกเขาอดรู้สึกไม่ได้เลยว่ากำลังอยู่ในสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพราะแถวนี้มีแต่สาว ๆ สวย ๆ เต็มไปหมด
ทันใดนั้น สายตาของทั้งสองก็ไปบรรจบพบกับตำแหน่งแถวที่นั่งรองสุดท้ายที่อยู่ข้าง ๆ นี้เอง … ดวงตาของพวกเขาลุกวาวราวกับเด็กที่เห็นขนมหวานจนไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว
ไป๋จือหรานและไป๋จือเหยียนก็มาเหรอเนี่ย!
เทพธิดาทั้งสองก็มาฟังการสัมนมานี่ด้วยเหรอ?!
นี่มันพรหมลิขิรึเปล่า? เมื่อวานก็เจอ วันนี้ก็เจอ!
ชายหนุ่มทั้งสองกรีดร้องวี้ดว้ายกันอยู่สองคนด้วยความตื่นเต้น ก่อนที่จะบังเอิญเห็นว่า ที่นั่งรอบ ๆ เทพธิดาทั้งสองนั้นต่างมีชายหนุ่มรายล้อมไปหมด สายตาที่เป็นประกายของทั้งสองต้องดับวูบลง
ผู้ชายรอบ ๆ นั้นต่างหันไปมองเทพธิดาทั้งสองด้วยแววตาที่หิวกระหาย ช่างเป็นสายตาที่ไม่เหมาะไม่ควรที่จะมองท่านเทพธิดาแบบนี้!
ในเวลานั้นเอง เสียงปรบมือก็ดังขึ้น
ทุกคนต่างปรบมือไปพร้อม ๆ กัน ก่อนจะเฝ้ารอดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป
อาจารย์ลั่วตงหมิงเดินขึ้นไปบนเวทีและยืนประจำที่โพเดียม ก่อนจะยิ้มแล้วพูดกล่าวทักทาย “สวัสดีนักศึกษาทุกคน อันที่จริงการสัมมนานี้ถูกจัดขึ้นโดยมีอาจารย์เป็นเจ้าภาพและผู้บรรยาย แต่ว่าวันนี้อาจารย์อยากจะเปลี่ยนวิทยากรเป็นอีกคนหนึ่งแทน”
หลังจากที่เขากล่าวไปแล้ว
เหล่านักศึกษาในหอประชุมต่างหันมองกันอย่างงง ๆ
อีกคนหนึ่งงั้นเหรอ?
ใครกันนะ?
มีใครในสถาบันการดนตรีนี้ที่เก่งกว่าท่านอาจารย์อีกงั้นเหรอ?
“ขอให้ทุกคนร่วมปรบมือต้อนรับ วิทยากรรับเชิญในวันนี้ “
หลังจากอาจารย์ลั่วตงหมิงกล่าวจบ เขายิ้มแย้มก่อนจะเริ่มปรบมือนำ
นักศึกษาหลาย ๆ คนต่างปรบมือไปตาม ๆ กันทั้งที่ยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์
จะเป็นใครกันนะ?
ซูเย่กระชับพิณผีผาในมือก่อนเดินขึ้นไปบนเวที เขาโค้งทำความเคารพผู้ฟังทุกคนอย่างสุภาพ
สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังซูเย่อย่างไม่วางตา
ใครล่ะเนี่ย?
ความวุ่นวายเริ่มก่อตัวขึ้น พวกเขาไม่รู้จักว่าชายหนุ่มบนเวทีนั้นคือใคร แล้วทำไมถึงดูอายุน้อยราวกับว่าเป็นนักศึกษาเหมือนกันกับพวกเขา?
ซูเย่เป็นวิทยากรงั้นเหรอ?
ไป๋จือหรานและไป๋จือเหยียนหันกลับมามองหน้ากันอย่างประหลาดใจ
นักศึกษาที่เรียนวิจัยสมุนไพรจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีน มายังสถาบันดนตรีเพื่อให้ความรู้ในการสัมมนาเกี่ยวกับพิณผีผาเนี่ยนะ?
นักเรียนหลาย ๆ คนที่พอจะเดาได้กับเหตุการณ์ต่างหันมองกันอย่างฉงนใจ
หรือว่านี่จะเป็นซูเย่คนนั้น ที่ท่านอาจารย์ลั่วตามหาตัวอยู่ในบอร์ดฟอรัมเมื่อวาน?
ทันทีที่หลาย ๆ คนเริ่มจับทิศจับทางสถานการณ์ได้ บรรยากาศก็เริ่มมีความเคลือบแคลงสงสัยและไม่พอใจเกิดขึ้น
อย่างเขาเนี่ยนะ จะมาเป็นวิทยากร?
เขาอายุเท่าไหร่กันเชียว? โดนท่านอาจารย์ลั่วเชิญมาโดยตรงแบบนี้ คงได้หน้ามากเลยสิท่า เป็นแค่นักศึกษามหาลัยแพทย์ที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องดนตรีแท้ ๆ กล้าดียังไงมาบรรยายเรื่องที่อยู่ในสายเรียนโดยตรงของพวกเราแบบนี้ จะมั่นใจเกินไปแล้ว!
จินฟานและซูชือต่างรู้สึกได้ถึงบรรยากาศและสายตาของผู้เข้าฟังที่ดูไม่เป็นมิตรนัก
ซูชือพูดพึมพัมด้วยเสียงแผ่วเบา “เสี่ยวเย่…แรงกดดันตอนนี้ไม่น้อยเลย.. “
“ฉันก็หวังว่าหมอนั่นจะทนรับไหวนะ”
“เชิญตามสบายเลยนะ” อาจารย์ลั่วดวงหมิงยิ้มแล้วผายมือให้ซูเย่ไปนั่งยังตำแหน่งที่นั่งที่อยู่ตรงกลางเวที
ซูเย่ยิ้มและพยักหน้ารับอย่างสุภาพก่อนจะเดินไปนั่งตรงตำแหน่งเก้าอี้ที่ว่า
อาจารย์ลั่วตงหมิงก้าวเดินลงไปจากเวทีก่อนจะเดินไปยังตำแหน่งที่นั่งที่อยู่ข้างล่างแทน แน่นอนว่าเขาเองก็อยากจะฟังในสิ่งที่ซูเย่รู้เช่นกัน
ทันทีที่อาจารย์ลั่วนั่งลงก็พลันนึกขึ้นได้ว่า เขายังไม่ได้บอกซูเย่เลยด้วยซ้ำว่าจะต้องพูดเกี่ยวกับอะไรบ้าง แต่สิ่งที่ตัวเขาอยากจะฟังจากซูเย่นั้น คือความรู้และเทคนิคของพิณผีผาสมัยยุคราชวงศ์ถังที่ซูเย่ได้แสดงให้ดูก่อนหน้านี้
แต่ไม่ทันจะได้หันไปส่งสัญญาณบอก ซูเย่ก็เริ่มทำหน้าที่ของเขาเสียแล้ว
“สวัสดีครับทุกคน ผมชื่อซูเย่ และผู้รู้สึกเป็นเกียรติมากที่วันนี้ได้มาเป็นวิทยากรให้กับการสัมนาในครั้งนี้ ต้องขอบคุณอาจารย์ลั่วด้วยนะครับที่ให้เกียรติเชิญผมมา”
ซูเย่นั่งลงก่อนจะกล่าวทักทายทุกคน
“แปะแปะแปะ”
เสียงปรบมือดังขึ้น
แต่ช่างน่าอายนักที่มีเสียงปรบมือดังมาจากสามแห่งแบบกระจัดกระจายกันเท่านั้น
ที่แรกคือมาจากจินฟานและซูชือที่ปรบมืออย่างแข็งขัน
ที่สองคือมาจากไป๋จือหรานและไป๋จือเหยียน
และอีกที่หนึ่งคือมาจากอาจารย์ลั่วตงหมิง
นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีใครปรบมือให้เขาเลย
ช่างเป็นสถานการณ์ที่น่าอายนัก
แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่าอาจารย์ลั่วตงหมิงเป็นผู้ปรบมือให้ กลุ่มนักศึกษาก็เริ่มปรบมือให้ตามเพื่อเป็นการรักษาหน้าให้กับอาจารย์บ้างเล็กน้อย แต่สายตาที่จ้องมองอยู่นั้นก็ไม่ได้ดีขึ้นแต่อย่างใด
แม้จะต้องพบเจอกับปฎิกิริยาที่แตกต่างไม่คาดคิด แต่ซูเย่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก
เขาเริ่มพูดต่อ “วันนี้ผมจะมาพูดถึงเกี่ยวกับวิวัฒนาการของเทคนิคการเล่นพิณผีผาในสมัยราชวงศ์ต่าง ๆ ในอดีต”
ราชวงศ์ในอดีตงั้นเหรอ?
อาจารย์ลั่วตงหมิงถึงกับชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่ใช่ว่าเขารู้เกี่ยวกับสมัยราชวงศ์ถังเพียงอย่างเดียวหรอกเหรอ?
แม้ว่าหัวข้อบรรยายนี้จะดูเหมือนเป็นแค่การให้ความรู้ธรรมดา แต่อันที่จริงแล้วไม่ใช่เลย ทุกคนในสายงานนี้ต่างรู้กันดีว่าความรู้และเทคนิคการเล่นในสมัยราชวงศ์ในยุคก่อน ๆ ต่างสูญหายไปนานมากแล้ว ข้อมูลที่ถูกค้นพบใหม่ในตอนนี้ ก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก
คอมเม้นต์