เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] – ตอนที่ 52 ก้าวสู่ขอบเขตผู้ดูดซับปราณอย่างเป็นทางการ

อ่านนิยายจีนเรื่อง เซียนอมตะ 2,500 ปี 我只有两千五百岁 ตอนที่ 52 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

บทที่ 52 ก้าวสู่ขอบเขตผู้ดูดซับปราณอย่างเป็นทางการ

ทันใดนั้นเอง

ลำแสงสีทองก็ระเบิดประกายเจิดจ้า!

พลังงานที่ดูดซับเข้ามาในร่างกายทำให้ชายหนุ่มถึงกับตกตะลึง เพราะมันเหมือนกับว่าเขาสามารถเชื่อมต่อกับโลกได้ทั้งใบ

นี่คือก้าวสำคัญในการขึ้นสู่ขอบเขตดูดซับปราณอย่างเป็นทางการ!

และในวินาทีนั้น

“วูบ…”

เสียงของการระเบิดพลังดังออกมาจากร่างกายของซูเย่

กระดูกและข้อต่อทุกสัดส่วนในตัวเขาถูกปกคลุมด้วยแสงสว่างสีทองเจิดจ้า

นี่คือรัศมีแห่งห่าวหราน มันปกคลุมร่างกายของเขาทั้งภายในและภายนอก

“หืม?”

ซูเย่รู้ดีว่านี่คือรัศมีแห่งห่าวหราน นอกจากชำระล้างกล้ามเนื้อและมวลเลือดในร่างให้สะอาดแล้ว มันยังช่วยทำให้เขาแข็งแรงขึ้นอีกด้วย

เมื่อร่างกายแข็งแรงมากขึ้น การดูดซับปราณก็จะสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเช่นกัน

สิ่งที่ตามมาคือการดูดซับพลังอย่างก้าวกระโดด!

ความเร็วในการดูดซับพลังของซูเย่จะเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมถึง 5 เท่า นั่นหมายความว่าร่างกายของเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นทวีคูณ

และพลังลมปราณในตัวเขาก็จะเพิ่มพูนขึ้นเช่นกัน ดีไม่ดีมันอาจจะทำให้ซูเย่แข็งแกร่งมากกว่าในอดีตกาลด้วยซ้ำไป!

ซูเย่อดยิ้มออกมาไม่ได้

กระบวนการทุกอย่างดูเหมือนจะเกิดขึ้นอย่างเชื่องช้า แต่แท้จริงนั้นมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก

เหตุการณ์ทั้งหมดใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที

จังหวะที่ความเร็วในการดูดซับพลังลดลง ชายหนุ่มก็เข้าใจว่าทุกอย่างคงจบสิ้นแล้ว

แต่ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกเจ็บแปลบบริเวณหน้าผากกลางหว่างคิ้ว!

แล้วรัศมีห่าวหรานที่พวยพุ่งออกมาจากร่างกายของซูเย่ก็หายวับไป

ส่วนพลังที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายตามแขนตามขา ก็พุ่งตรงขึ้นไปรวมตัวกันอยู่บริเวณกลางหว่างคิ้วของเขา

“วูบ!”

มวลพลังงานเหล่านี้วิ่งขึ้นไปที่สมองของชายหนุ่ม และไหลรินเข้าไปสู่เส้นประสาทการมองเห็น

ทุกอย่างสว่างเจิดจ้า

แล้วบนหน้าผากบริเวณกลางหว่างคิ้วของซูเย่

ก็มีดวงตาอีกหนึ่งดวงปรากฏขึ้นมา!

“เนตรสวรรค์!”

หัวใจของชายหนุ่มกระตุกวูบ

นี่คือตาวิเศษจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?!

“การฝึกตามคัมภีร์ห่าวหรานจะให้ผลลัพธ์ยอดเยี่ยมถึงขนาดนี้เชียวหรือ?”

ซูเย่ไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น

เขาทราบดีว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากมาก แน่นอนว่าผู้คนสมัยก่อนย่อมทำได้ แต่ก็ต้องมีอาจารย์ผู้สูงส่งคอยชี้แนะอย่างใกล้ชิด

ด้วยเหตุนี้คนที่มีตาวิเศษหรือพลังเหนือธรรมชาติ นับจากโบราณกาลมาถึงปัจจุบันจึงมีน้อยมาก

แม้แต่ซูเย่ที่ให้ความสนใจในเรื่องราวเหล่านี้มาตลอดระยะเวลา 2500 ปี เขาก็ยังไม่เคยได้มีโอกาสครอบครองพลังพิเศษเหนือธรรมชาติเลยสักชนิดเดียว

โดยเฉพาะการมีดวงตาที่สามเช่นนี้

ชายหนุ่มไม่คิดเลยว่าการฝึกคัมภีร์ห่าวหรานจะทำให้เขาได้ครอบครองเนตรสวรรค์

“เหลือเชื่อจังเลยแฮะ”

ซูเย่ยิ้มกริ่มอยู่ในใจ

เขาหันหน้าและกวาดสายตามองรอบตัว

ชายหนุ่มพบว่าถึงเขาไม่ได้ลืมตา ก็ยังสามารถมองเห็นทุกอย่างได้อยู่ดี

“นี่คงเป็นเพราะเรามีดวงตาที่สามสินะ…หืม?”

ดวงตาของซูเย่พลันจับจ้องไปยังหัวกะหล่ำที่ตั้งอยู่บนระเบียงห้องพัก

ดอกกะหล่ำจีนหัวนี้ดูดซับพลังวิญญาณจากตัวซูเย่มาตลอด เมื่อสักครู่นี้ก็ดูดซับพลังปราณเข้าไปจำนวนมาก ทำให้เปลือกนอกของมันยังคงมีแสงสว่างแวววาวเป็นประกาย

“น่าสนใจดีนี่นา อย่าบอกนะว่าดอกกะหล่ำหัวนี้มันดูดซับพลังของเราเข้าไปหมดแล้ว?”

ซูเย่หัวเราะในลำคอด้วยความไม่อยากเชื่อ

แต่สิ่งที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นก็คือ โดยทั่วไปแล้วของวิเศษที่ได้รับการอาบพลังสวรรค์จะไม่สามารถพบเห็นความแตกต่างได้ด้วยตาของมนุษย์ปกติ แต่เพราะว่าบัดนี้ซูเย่มีดวงตาที่สามอยู่บนหน้าผาก เขาจึงสามารถพบเห็นความแตกต่างของดอกกะหล่ำได้โดยทันที

“เมื่อมีตาวิเศษคอยช่วยดู แค่นี้เราก็รู้แล้วว่าอะไรเป็นของดีหรือของไม่ดี”

ซูเย่ยิ้มกว้างและจ้องมองดอกกะหล่ำบนระเบียงอีกครั้ง

“จริงด้วยสิ ถ้าเอามาทำอาหารกิน ก็น่าจะช่วยเสริมพลังให้เราได้อีกไม่น้อยเลย”

ในเมื่อขณะนี้ระดับพลังของเขาเพิ่มขึ้นแล้ว

ขั้นตอนต่อไปที่ต้องทำก็คือการเปิดจุดลมปราณ และก้าวเข้าสู่ขอบเขตของผู้ดูดซับปราณอย่างเป็นทางการ

ซูเย่สูดหายใจลึก ๆ กำลังจะพึมพำบริกรรมคาถาที่ใช้สำหรับการโคจรพลัง แต่แล้วภาพที่เขาเห็นผ่านดวงตาที่สามก็ทำให้ต้องหยุดชะงักการร่ายคาถาลงกลางคัน

“หืม มันจะเป็นไปได้ยังไง?”

สีหน้าของชายหนุ่มแสดงถึงความประหลาดใจออกมาเด่นชัด

เขาสำรวจจนพบจุดลมปราณในร่างกายครบถ้วนทั้งหมดแล้ว

ในร่างกายมนุษย์จะมีจุดลมปราณให้เปิดอยู่ด้วยกัน 365 จุด

แต่ตำแหน่งของจุดลมปราณที่ซูเย่ตรวจพบในร่างกายของตนเอง มันมีมากกว่า 365 จุด!

“เป็นไปได้ยังไง?”

ซูเย่ขมวดคิ้วหน้ายุ่งและเริ่มต้นนับจุดลมปราณในร่างกายโดยเร็ว

และเขาก็พบว่าตนเองมีจุดลมปราณอยู่ถึง 720 จุด!

“ตามความน่าจะเป็น คนปกติจะมีจุดลมปราณต่ำสุดไม่น้อยกว่า 355 จุดและมีมากสุดก็ไม่เกิน 365 จุดไม่ใช่หรือไง?”

ซูเย่ตกอยู่ภายใต้ความตะลึงงัน

การฝึกตนสองครั้งก่อนหน้านี้ในอดีต ซูเย่ก็มีจุดลมปราณเพียง 365 จุดเท่านั้น และเมื่อสามารถเปิดจุดลมปราณได้ทั้งหมด พลังที่แท้จริงของการเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ก็จะแสดงออกมาอย่างเต็มประสิทธิภาพ

หลังจากนั้น ถึงค่อยเป็นการเลื่อนระดับพลังสู่ขอบเขตใหม่ด้วยการเปิดทวารทั้งเก้า

นี่ไม่ใช่มาตรฐานการฝึกวิชาสำหรับซูเย่เพียงผู้เดียวเท่านั้น แต่มันยังเป็นมาตรฐานสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ทุก ๆ คนอีกด้วย

ทว่า ซูเย่ไม่เคยได้ยินเรื่องราวของคนที่มีจุดลมปราณอยู่ในร่างกายถึง 720 จุดมาก่อน!

หัวใจของเขากระตุกวูบอีกครั้ง

เพียงไม่นาน ร่างจำแลงของชายหนุ่มก็ไปปรากฏตัวอยู่ในราชวังแห่งความทรงจำ เขาเดินค้นดูตามชั้นวางคัมภีร์โบราณและจดหมายเหตุจากยุคสมัยก่อน รวมถึงคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับการเปิดจุดลมปราณอีกหลายเล่ม

ทันใดนั้น ร่างจำแลงของซูเย่ก็หยุดชะงัก

เขาพบว่าภายในราชวังแห่งความทรงจำก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน!

เพราะว่าผนังรอบด้านมีลำแสงสีทองเปล่งประกายออกมาเรืองรองสะท้อนสายตา

ซูเย่รีบตรวจสอบพื้นที่โดยรอบทันที

แต่เขาก็พบว่าราชวังแห่งความทรงจำยังคงได้รับการคุ้มครองอย่างแน่นหนาทั้งภายในและภายนอก

นั่นหมายความว่าราชวังความทรงจำในหัวของซูเย่ นอกจากใช้เป็นที่เก็บความรู้จำนวนมหาศาลแล้ว มันยังใช้เป็นที่เก็บพลังจิตและพลังลมปราณในร่างกายของเขาได้อีกด้วย

กล่าวคือ ต่อจากนี้ไปไม่ว่าศัตรูจะมีพลังสูงส่งมากแค่ไหน ถ้าซูเย่ตั้งใจปกปิดระดับพลังที่แท้จริงของตนเองด้วยการเก็บพลังทั้งหมดเอาไว้ในราชวังแห่งความทรงจำ ศัตรูของเขาก็ไม่มีทางตรวจสอบได้เลยว่าซูเย่มีพลังอยู่ในระดับไหนแล้ว!

“แบบนี้ก็ยอดเยี่ยมไปเลยน่ะสิ!”

ซูเย่อุทานอยู่ในใจด้วยความลิงโลด

สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ การตัดสินฝ่ายตรงข้ามว่ามีความน่ากลัวหรือไม่ มักจะวัดจากสองสิ่ง คือระดับพลังลมปราณและระดับพลังจิต

ยิ่งมีพลังทั้งสองส่วนนี้หนาแน่นมากเท่าไหร่ ก็หมายความว่ามีความแข็งแกร่งมากเท่านั้น

เมื่อสามารถฝึกพลังได้ถึงระดับหนึ่ง ผู้ฝึกยุทธ์ก็จะมีความสามารถพิเศษ สามารถอำพรางซ่อนเร้นระดับพลังลมปราณที่แท้จริงของตนเองได้

แต่การซ่อนเร้นระดับพลังจิตนั้นแทบจะเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้เลย

แม้แต่ซูเย่ก็ไม่สามารถทำได้

ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดตลอดเวลาที่ผ่านมา ก็คือการนำพลังจิตทั้งหมดมาเก็บเอาไว้ในราชวังแห่งความทรงจำ เพียงเท่านี้ก็ไม่มีใครสามารถตรวจจับระดับพลังจิตของเขาได้แล้ว

แต่นั่นเป็นตอนที่ซูเย่มีระดับพลังอยู่ในขอบเขตที่ต่ำกว่านี้ ถ้าเขาเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์ที่มีขอบเขตสูงกว่าตนเอง อีกฝ่ายก็จะสามารถสังเกตเห็นถึงความผิดปกติได้ไม่ยาก

แต่ตอนนี้

ราชวังแห่งความทรงจำในหัวของเขาเหมือนผ่านการอัพเกรดระบบรักษาความปลอดภัยครั้งใหญ่

ทำให้สามารถซ่อนเร้นพลังลมปราณและพลังจิตอยู่ในนี้ได้โดยไม่รั่วไหลออกไปข้างนอก

ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามมีระดับสูงส่งมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถตรวจจับพลังของเขาได้อีกแล้ว!

ซูเย่ถึงกับสามารถปล่อยพลังลมปราณและพลังจิตออกไปบางส่วน เพื่อสร้างความสับสนให้แก่ศัตรูได้ด้วยซ้ำ

“เท่านี้เราก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกใครจับได้อีกแล้ว!”

ซูเย่ยิ้มแย้มด้วยความปลาบปลื้ม

ร่างจำแลงของเขาในราชวังแห่งความทรงจำเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วอีกครั้ง คัมภีร์โบราณหลายเล่มและหนังสือประวัติศาสตร์อีกจำนวนมากถูกเปิดออกมาตรงหน้า แต่ไม่มีเล่มไหนเลยที่เคยบันทึกเกี่ยวกับคนที่มีจุดลมปราณในร่างกายถึง 720 จุด

ซูเย่พบเจอเพียงข้อมูลยืนยันว่า คนเราต้องมีจุดลมปราณแค่ 365 จุดเท่านั้น

“มันจะไม่มีคนที่มีจุดลมปราณ 720 จุดนอกจากเราจริง ๆ เหรอ?”

ชายหนุ่มคิดกับตนเอง

“หรือว่าจากอดีตจนถึงปัจจุบัน เหตุผลที่ไม่เคยมีการตรวจพบคนที่มีจุดลมปราณ 720 จุด เป็นเพราะว่าไม่มีใครมีตาวิเศษสามารถตรวจพบจุดลมปราณพิเศษพวกนี้ได้นะ?”

แต่เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ซูเย่ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้

เหตุผลที่ผู้ฝึกยุทธ์จำเป็นต้องเปิดจุดลมปราณ ก็เพราะว่ายิ่งเปิดได้เยอะเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีความแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

และเขามีจุดลมปราณอยู่ในร่างกายถึง 720 ตำแหน่ง

ถ้าสามารถเปิดจุดลมปราณได้ทั้งหมด ซูเย่ก็ต้องแข็งแกร่งมากกว่าผู้ที่มีจุดลมปราณเพียง 365 จุดแน่นอน!

เขาอาจจะแข็งแกร่งมากกว่าคนอื่นสองเท่า หรืออาจจะมากถึงหลายสิบเท่าก็เป็นได้

เพราะด้วยความที่ฝึกวิชาตามคัมภีร์ห่าวหราน มันก็ทำให้ซูเย่มีพลังลมปราณแข็งแกร่งมากกว่าผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปอยู่แล้ว

“แต่การมีจุดลมปราณมากกว่าคนอื่นสองเท่า ก็หมายความว่าเราต้องดูดซับพลังมากกว่าคนอื่นเขาสองเท่าเหมือนกัน โชคดีเหลือเกินที่เราเปิดจุดลมปราณได้แล้ว หลังจากนี้ ความเร็วในการดูดซับพลังก็คงไม่อืดเป็นเต่าเหมือนเดิมอีกแล้ว”

“จริงด้วยสิ เราจะให้ใครเห็นตาวิเศษบนหน้าผากไม่ได้เด็ดขาด”

ซูเย่ยิ้มออกมาอีกครั้งในขณะที่ใช้พลังจิตลบดวงตาออกไปจากหน้าผาก เมื่อเลื่อนมือขึ้นไปสัมผัสดู ดวงตาที่เพิ่มขึ้นมาก็หายไปแล้วจริง ๆ

แต่เมื่อเขาลองใช้พลังจิตเปิดดวงตาที่สามขึ้นอีกครั้ง ตาวิเศษก็ปรากฏกลับคืนมาโดยทันที

จากนั้นชายหนุ่มก็เก็บดวงตาวิเศษกลับคืนไป และเริ่มต้นนั่งทำสมาธิ

“วูบ!”

เขานั่งโคจรพลังตามเคล็ดวิชาห่าวหราน

แล้วรัศมีสว่างไสวก็ถูกดูดเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว

ซูเย่รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของตนเองสามารถดูดซับพลังได้เร็วกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า และระดับพลังของเขาก็เพิ่มพูนมากขึ้นจากเดิมถึง 5 เท่า!

และพลังที่เพิ่มพูนขึ้นมาก็ค่อย ๆ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายของเขา

ยังคงมีพลังปราณดูดซับเข้าสู่ร่างกายซูเย่จากทุกทิศทุกทาง

ชายหนุ่มพยายามควบคุมการดูดซับพลังของตนเอง แต่แล้วเขากลับพบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะสามารถทำได้ และในจังหวะที่ซูเย่ยังไม่ทันจะได้ตั้งตัวนั้นเอง

“พรึบ!”

จุดลมปราณจุดแรกในร่างกายของเขาได้ถูกเปิดขึ้นแล้ว!

เท่ากับว่าเขาก้าวขึ้นมาสู่ขอบเขตของผู้ดูดซับปราณอย่างเป็นทางการได้สำเร็จ

“หยุด!”

ซูเย่บอกกับตัวเองในใจ ทันใดนั้นเขาก็สามารถปิดกั้นการดูดซับพลังของร่างกายตนเองได้ทันที

การดูดซับพลังพลันช้าลง

ชายหนุ่มสูดหายใจลึก

มวลพลังที่ปั่นป่วนในร่างกายเริ่มกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกยุทธ์คนอื่น ก็คงเลือกเปิดจุดลมปราณให้ได้หลาย ๆ จุดในครั้งเดียวเป็นแน่แท้

แต่ซูเย่ไม่อยากทำแบบนั้น

เพราะร่างกายของเขายังปรับตัวรับกับพลังขอบเขตใหม่ได้ไม่เต็มที่

ยิ่งเขาสามารถดูดซับพลังได้รวดเร็วมากกว่าคนอื่น ร่างกายก็จะต้องทนรับพลังเหล่านั้นมากกว่าปกติ ด้วยเหตุนี้ ซูเย่จึงคิดว่าการเปิดจุดลมปราณจุดแรกได้สำเร็จ และหยุดเพียงเท่านี้เพื่อให้ร่างกายได้ใช้เวลาปรับตัว นับเป็นสิ่งที่สมควรทำมากกว่าการดูดซับพลังต่อไปเป็นไหน ๆ

มีแต่ต้องทำอย่างนี้เท่านั้น รากฐานพลังของเขาถึงจะแข็งแกร่ง และสามารถเลื่อนระดับต่อไปได้อย่างมั่นคง

เพราะถ้ารากฐานพลังไม่มั่นคง การจะเปิดจุดลมปราณให้ได้ในครั้งต่อไปก็คงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากลำบากแล้ว

เมื่อร่างกายกลับมาอยู่ในสภาพเป็นปกติ ซูเย่ก็นั่งสมาธิต่อไปด้วยจิตใจอันสงบเยือกเย็น

ยิ่งเวลาผ่านไปนานมากเท่าไหร่ พลังปราณที่อยู่ในอากาศก็ยิ่งไหลลงมาสู่ร่างกายของชายหนุ่มน้อยลงเท่านั้น

จนกระทั่งราตรีกาลผ่านไป

รุ่งเช้าวันต่อมา

ซูเย่ลืมตาตื่นขึ้นมาจากการทำสมาธิ

แม้ว่าเขาจะนั่งขัดสมาธิอยู่ตลอดทั้งคืน แต่ทันทีที่ลืมตา ซูเย่กลับพบว่าร่างกายของตนเองสดชื่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ในที่สุดเราก็เปิดจุดลมปราณสำเร็จสักที!”

ซูเย่ยิ้มออกมาเล็กน้อย

จังหวะนั้น กระแสความคิดสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในหัวของซูเย่

การเลื่อนระดับสู่ขั้นถัดไปในคัมภีร์ห่าวหราน จำเป็นต้องใช้คะแนนศีลธรรมถึง 100 แต้ม

เมื่อสามารถก้าวพ้นขอบเขตผู้ดูดซับปราณได้สำเร็จ ความเร็วในการดูดซับพลังก็จะเพิ่มมากขึ้นถึง 10 เท่า!

“ไม่รู้เหมือนกันนะว่านอกจากสามารถดูดซับพลังได้เร็วมากกว่าเดิม 10 เท่าแล้ว การฝึกวิชาตามวิถีคัมภีร์ห่าวหรานจะทำให้เราได้ค้นพบอะไรอีกบ้าง”

ซูเย่เริ่มคาดหวังขึ้นมาเล็กน้อย

“ติ้ง!”

ทันใดนั้น เสียงสวรรค์ก็ดังขึ้นในหัว

“แต้มศีลธรรม +2”

ซูเย่ชะงักไปเล็กน้อย คะแนนศีลธรรมมาจากไหนกันล่ะนี่?

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด