เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] – ตอนที่ 23 ถ้าผมชนะ อาจารย์จะช่วยสอนวิชาแพทย์แผนจีนแบบส่วนตัวให้ผมได้รึเปล่า? (ตอนต้น)
บทที่ 23 ถ้าผมชนะ อาจารย์จะช่วยสอนวิชาแพทย์แผนจีนแบบส่วนตัวให้ผมได้รึเปล่า? (ตอนต้น)
ณ หอพักนักศึกษาใหม่ของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง
ลั่วกังยังคงรู้สึกถึงความขุ่นเคืองภายในอก
เขาสอบเข้าได้ด้วยคะแนนอันดับหนึ่ง มันเป็นสิ่งที่น่ายินดีสำหรับเขามากที่ได้เรียนในคณะแพทย์ เพราะมันเป็นความฝันและความคาดหวังของคุณปู่ของเขาเช่นกัน และเขาก็รู้สึกภูมิใจเป็นที่สุดที่ได้ทำมันสำเร็จ
แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าความฝันของเขาถูกย่ำยีด้วยกลุ่มคนที่ไม่มีความรู้ด้านวิชาแพทย์!
ทำไมเขาต้องใช้เวลาเรียนมากกว่าห้าปี เพื่อที่จะได้ปริญญาตรี แต่พวกวิจัยสมุนไพรจีนกลับได้ไปเร็วกว่านั้น
แถมยังพวกนั้นยังไม่ต้องพยายามอย่างหนักมาแบบเขาเลยด้วยซ้ำ!
“ปิ๊ปปิ๊ปปิ๊ป…”
ทันทีที่โพสต์ถูกเผยแพร่ออกไป โทรศัพท์มือถือของลั่วกังก็เกิดเสียงแจ้งเตือนดังเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน
และทั้งหมดนั้นล้วนเป็นข้อความที่ส่งมาถึงเขา
ด้วยความสงสัย ลั่วกังปลดล็อคโทรศัพท์มือถือขึ้นอ่านข้อความต่าง ๆ ที่ถูกส่งมา
“เจ๋งไปเลยลั่วกัง! พวกเราชาวแพทย์จะคอยสนับสนุนนายเอง!”
“เอาเลยลั่วกัง! เหยียบไอ้คนที่ชื่อซูเย่นี่ให้มิดไปเลย พวกคณะวิจัยสมุนไพรนั่นมันจะได้ตาสว่างซะทีว่าของจริงมันเป็นยังไง!”
“พวกเราเชียร์นายอยู่นะ ลั่วกัง!”
…
เมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมชั้นทุกคนให้การสนับสนุนเขา ลั่วกังก็มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมาทันที
“ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจนะ ฉันจะพยายามทำอย่างเต็มที่แน่นอน ✊”
หลังจากที่ตอบขอบคุณทุกคน ลั่วกังก็เปิดฟอรัมอีกครั้งและมองหาข้อความตอบกลับจากซูเย่
…
“สงครามได้เกิดขึ้นแล้ว!”
จินฟานและซูชือมองหน้ากันด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย
ทั้งสองหันไปมองซูเย่ในทันที แต่กลับเห็นว่าซูเย่นั้นกำลังจ้องมองมือถือในมือของเขาด้วยสีหน้าที่ไม่เดือดร้อนอะไร
“เด็กสมัยนี้นี่หัวร้อนง่ายกันจังแฮะ?”
ซูเย่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“นายจะตอบรับรึเปล่า?”
จินฟานมองซูเย่อย่างจริงจังก่อนจะถามต่อ “พวกเขาเริ่มเดินหมากของตัวเองกันแล้วนะ แต่ว่าตั้งแต่ที่นายแสดงการเล่นพิณผีผาเมื่อคืน ตอนนี้ฉันก็มั่นใจในตัวนายอยู่ ถึงก่อนหน้านี้จะไม่ค่อยเชื่อเรื่องที่นายเคยโม้ว่าอ่านหนังสือมามากกว่าห้าสิบเล่มก็เถอะ แต่ตอนนี้ฉันเชื่อแล้ว”
สีหน้าของเขาในตอนนี้ดูจริงจังกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
“ขยี้ให้แหลกไปเลย!”
ซูชือเสริม “ไอ้หนูพวกนี้นี่ชักจะมาข่มเหงกันมากไปแล้ว แม้แต่เด็กปีหนึ่งด้วยกัน ยังคิดจะมาเหยียบหัวพวกเราเลย นายยังทนได้อยู่อีกเหรอ เสี่ยวเย่?”
“ไปอาบน้ำนอนได้แล้ว”
ซูเย่กล่าวตัดบทพร้อมยิ้มน้อย ๆ
เมื่อเห็นท่าทีที่เหมือนจะไม่ยอมจบบทสนทนาของรูมเมททั้งสอง เขาก็กล่าวต่อเสียงเรียบ “ไม่เล่นเกมแล้วเหรอ?”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น
จินฟานและซูชือชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองนาฬิกา ที่ตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มอย่างพอดิบพอดี
“เออ..ไปตัดสินเอาเองเลย พวกฉันไม่รู้ไม่ชี้แล้วด้วย ฮึ!”
ทั้งสองรีบสวมหมวกเพื่อเข้าเล่นเกมในทันที ส่วนเรื่องเกลี้ยกล่อมให้เพื่อนรักของพวกเขาตัดสินใจลงไม้ลงมืออะไรซักอย่าง ก็เอาไว้วันพรุ่งนี้ก่อนก็แล้วกัน
ซูเย่มองข้อความพูดคุยในกลุ่มผ่านโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะยิ้มออกมาแล้วส่ายหน้าเบา ๆ อย่างละเหี่ยใจ แล้วกดปิดโทรศัพท์มือถือไป
ให้ไปงัดกับเด็ก ๆ เพื่อไขความข้องใจอะไรแบบนั้น… ฟังดูไม่ค่อยคุ้มค่าที่จะลงแรงเท่าไหร่
ใครจะมองเขาเป็นคนยังไง ตัวเขาเองก็ไม่ได้สนใจอะไรขนาดนั้นอยู่แล้ว เลยไม่รู้จะพยายามแก้ตัวไปเพื่ออะไรอีก
เขานอนลงบนเตียงก่อนจะเริ่มตั้งจิตรวบรวมลมปราณและทำสมาธิ…
………………
ณ ตอนบ่ายของวันต่อมา ชั้นเรียนได้จบลง…
ซูเย่ ซูชือและจินฟานกำลังจะเดินออกจากห้องเรียน แต่ไม่ทันไรก็มีกลุ่มคนมาล้อมพวกเขาเอาไว้ทำให้ไม่ได้สามารถออกจากห้องได้
ซูเย่มองเหล่าวัยรุ่นเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยสีหน้าแห่งความมั่นอกมั่นใจ
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นพวกเด็กปีหนึ่งจากคณะแพทย์แผนจีนร่วมสมัยนั่นเอง
“พี่ซูเย่”
ลั่วกังก้าวออกมาเผชิญหน้าและมองซูเย่อย่างตรงไปตรงมา “สวัสดีครับ ผมคือลั่วกัง คนที่เขียนโพสต์ถึงพี่บนฟอรัมเมื่อคืน ผมรอคำตอบจากพี่มาทั้งวันเลย แต่ก็ไม่เห็นคำตอบซักที ผมก็เลยต้องมาหาเพื่อถามด้วยตัวเองเลยว่า พี่จะตอบรับการแข่งประชันความรู้กับผมรึเปล่า?”
“ถ้าพี่ตอบไม่ได้ ผมก็จะยอมกลับไปแต่โดยดี” เขาจ้องมองซูเย่อย่างมั่นใจหลังจากพูดจบประโยค
ซูชือและจินฟานรีบหันกลับไปมองซูเย่ในทันที
เขามาเสนอถ้าถึงหน้าบ้านแล้วนะ จะไม่ตอบโต้อะไรเลยหรอ?
เพื่อนร่วมคณะของพวกเขาที่เดินออกจากห้องไปแล้ว แต่ยังอยู่บริเวณนั้นต่างเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และสีหน้าของทุกคนก็ฉายแววไม่พอใจกับท่าทีของกลุ่มเด็กจากคณะอื่นที่รุกล้ำเข้ามา
เรื่องแบบนี้จะไม่จบไม่สิ้นใช่มั้ยเนี่ย?
แค่ปากเก่งในฟอรัมเมื่อคืนยังพอรับได้ แต่ตอนนี้มันสุดจะทนแล้ว!
พวกเขาใช้ทุกวินาทีกับการเรียนรู้เหมือนกันแท้ ๆ แล้วจะมาหาเรื่องทำไมกัน!
ลั่วกังมองซูเย่ตรง ๆ
เฝ้ารอคำตอบจากอีกฝ่าย..
พวกเขาเพิ่งจะเริ่มเรียนเกี่ยวกับแพทย์แผนจีนกันได้ไม่กี่วันเท่านั้น แต่มีเพียงแค่ซูเย่ผู้แอบอ้างว่าเคยอ่านหนังสือมาแล้วกว่าห้าสิบเล่มเท่านั้นที่ดูเหมือนจะมีทักษะมากพอจะประมือกันได้
ซูเย่มองลั่วกังที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับรอยยิ้มเอ็นดู
สมกับเป็นวัยรุ่นที่เต็มไปด้วยไฟแรงจริง ๆ หากจะเทียบกับปืนผาหน้าไม้ ก็คงนับได้ว่าเป็นปืนคุณภาพดีที่พร้อมจะยิงออกไปได้ทุกเมื่อ แต่น่าเสียดายที่เจ้าปืนคุณภาพดีกระบอกนี้ เหมือนจะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเล็งมาที่เป้าแบบไหนอยู่
ไม่ทันที่เขากำลังจะเอ่ยพูด
ทันใดนั้น
ก็มีอีกร่างหนึ่งแทรกเข้ามากลางวง
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“ทำไมถึงมารวมตัวกันเยอะแยะแบบนี้?”
“มันไม่ดีเลยนะถ้าจะมารวมหัวกันทะเลาะวิวาทในสถานศึกษาน่ะ”
อาจารย์หลี่เคอหมิงแทรกตัวผ่านฝูงชนจำนวนหนึ่งและมองซูเย่ด้วยสายตาประหลาดใจ เขากำลังจะมามาพบกับซูเย่เพื่อถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับ “ชีพจรห้าสี” หลังจากที่จัดการธุระเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะได้มาพบกับเหตุการณ์เช่นนี้
มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ที่เขาไม่รู้ด้วยงั้นหรือ..
เหล่าเด็กปีหนึ่งที่ได้เห็นอาจารย์หลี่เคอหมิง ผู้สอนวิชา “ทฤษฎีพื้นฐานทางการแพทย์” ต่างหยุดชะงัก มีเพียงแค่ลั่วกังเท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดเดินหน้าต่อ
“สวัสดีครับอาจารย์หลี่ พวกเราไม่ได้จะมาสร้างปัญหาอะไรหรอกครับ อันที่จริงผมามาเพื่อท้าประลองกับพี่ซูเย่ ผมเคยได้ยินมาว่า เขาเคยอ่านหนังสือโบราณมามากกว่าห้าสิบเล่มในคลาสของอาจารย์ ผมก็เลยอยากจะลองวัดความรู้กับเขาดูเสียหน่อย!”
ลั่วกังกล่าวเช่นนั้น
“วัดความรู้กันงั้นหรือ?”
ดวงตาของอาจารย์หลี่เคอหมิงเบิกกว้างขึ้นและฉายแววแสดงความสนใจทันที
เขามองไปยังซูเย่และเพื่อนร่วมห้องที่ดูไม่พอใจทั้งหลาย ก่อนจะหันกลับไปมองลั่วกังและเหล่าเด็กแพทย์แผนจีนรุ่นใหม่ที่ดูมั่นอกมั่นใจ ก่อนจะยิ้มออกมา
สิ่งที่เขาหวาดกลัวที่สุดคือเหล่านักเรียนที่ขาดแรงจูงใจในการเรียนแพทย์แผนจีน
แต่ตอนนี้กลับมีนักเรียนพร้อมใจกันแสดงศักยภาพออกมาผ่านการประชันความรู้ ช่างน่าสนใจนัก!
ฝั่งหนึ่งคือเด็กคณะแพทย์แผนจีนรุ่นใหม่ผู้ไม่หวั่นไหวแม้เสียงคำรามของพยัคฆ์ ขณะทีอีกฝั่งหนึ่งนั้นคือเหล่านักวิจัยสมุนไพรผู้ไม่ได้รับการยอมรับในคณะวิชาชีพของตนเอง ซึ่งลักษณะแบบนี้นั้น ไม่ว่าใครจะแพ้หรือชนะ ก็ล้วนดีกับทั้งสองฝ่ายทั้งสิ้น
เรียนรู้ที่จะยืนหยัดกล้าหาญหลังปราชัย หรือ น้อมรับชัยชนะด้วยความมั่นใจที่มากขึ้น แล้วก้าวเดินต่อไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
เมื่อคิดได้เช่นนั้น อาจารย์หลี่เคอหมิงก็ได้กล่าวออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม
“ไหน ๆ ก็จะแข่งกันแล้ว ให้อาจารย์เป็นกรรมการดีไหม?”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น
ทุกคนในเหตุการณ์ต่างเงียบกริบอย่างคาดไม่ถึง
ไม่มีใครคาดคิดว่าอาจารย์หลี่เคอหมิงจะตามน้ำยอมให้จัดการแข่งขันที่ไม่เป็นทางการนี้ขึ้นได้อย่างง่ายดาย
กลุ่มนักศึกษาใหม่ต่างส่งเสียงเชียร์เห็นด้วยในทันที
พวกเขาคิดว่าอาจารย์หลี่จะคัดค้านการแข่งนี้ แต่อาจารย์ดันเห็นดีเห็นงามด้วยเสียอย่างนั้น
“ถ้าหากอาจารย์ว่าเช่นนั้น ผมก็ไม่ปฏิเสธ “
ลั่วกังกล่าวขอบคุณก่อนจะมองซูเย่อย่างท้าทาย
เหล่าน้องใหม่ที่อยู่ข้างหลังพวกเขาต่างยืดอกลำพองกันมากกว่าเดิม
ข้างหลังของซูเย่ จินฟาน ซูชือและเหล่าเพื่อนทั้งหลายล้วนมองนักศึกษาต่างคณะด้วยสีหน้าเหยียดหยาม
ในเมื่ออีกฝ่ายกล้ามาเสนอถึงที่ นี่ก็หมายความว่าคงเตรียมตัวมาอย่างดีแน่นอน
ก่อนที่ทั้งสองฝั่งจะปะทะสายตากันไปมากกว่านั้น อาจารย์หลี่เคอหมิงหาที่นั่งลง ก่อนจะเหลือบมองซูเย่อย่างสงสัย
ซูเย่จะทำอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้กันนะ?
ในตอนนี้ ทุกคนต่างส่งสายตาจดจ่อไปยังซูเย่
ซูเย่มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม เขามองลั่วกังและเหล่าลูกหาบที่อยู่ด้านหลัง
ก่อนจะหันกลับไปมองหน้าอาจารย์หลี่เคอหมิงด้วยสายตาที่มั่นคง “ถ้าผมชนะ อาจารย์จะช่วยสอนวิชาแพทย์เป็นการส่วนตัวให้ผมได้รึเปล่า?”
ทุกคนถึงกับผงะเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ไม่มีใครคาดคิดว่าซูเย่จะกล้าขออะไรแบบนี้ อย่างกับว่าเขามั่นใจว่าตัวเองจะชนะแน่ ๆ …
“ได้สิ!”
อาจารย์หลี่เคอหมิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ลั่วกังเองก็เหมือนกัน ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ อาจารย์ก็พร้อมจะสอนพวกเธอเป็นการส่วนตัวทั้งนั้น”
ทันทีที่เขาพูดเช่นนั้น ผู้คนในเหตุการณ์นั้นต่างรู้สึกอิจฉาขึ้นมาทันที
เป็นที่รู้กันตั้งแต่พวกเขาเข้ามาเรียนยังมหาวิทยาลัยแห่งนี้เลยก็ว่าได้ .. อาจารย์หลี่เคอหมิงคืออาจารย์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในสายวิชาแพทย์แผนจีนร่วมสมัย ไม่ว่าจะเป็นการตรวจด้วยการดูสีหน้า การดมกลิ่น หรือการถามไถ่อาการ นอกจากนี้ เขายังเคยเป็นลูกมือของผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ระดับประเทศอีกด้วย
การที่จะได้เรียนรู้กับผู้ทรงอิทธิพลและเป็นคนใหญ่คนโตระดับนี้ แน่นอนว่ามันเป็นตัวช่วยในการปูเส้นทางสู่ความเจริญรุ่งเรืองในวิชาชีพแพทย์ในอนาคตของพวกเขามากเลยทีเดียว!
คอมเม้นต์