เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] – ตอนที่ 53 ดาบเวหามีราคาอยู่ที่ห้าแสนหยวน

อ่านนิยายจีนเรื่อง เซียนอมตะ 2,500 ปี 我只有两千五百岁 ตอนที่ 53 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

บทที่ 53 ดาบเวหามีราคาอยู่ที่ห้าแสนหยวน

ซูเย่พยายามคิดหาคำตอบ

เขาทบทวนความทรงจำทุกอย่าง

และก็นึกออกได้เพียงเรื่องเดียว

จางกงหมิงรับปากว่าจะนำรายได้จากการถ่ายทอดสดไปบริจาค

รายได้ของเน็ตไอดอลจากการไลฟ์สดเท่าที่เขารู้มาคือจะถูกเจ้าของแอปหักไป 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนตัวของเน็ตไอดอลผู้ทำการถ่ายทอดสดก็จะได้อีก 50 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ ชายหนุ่มเจ้าของนามแฝง “คำพูดที่ไม่เคยคิด ที่จริงก็คือยาพิษ” สามารถสร้างรายได้จากการถ่ายทอดสด 250,000 หยวน เมื่อนำมาหักครึ่ง ก็จะได้เป็นจำนวนเงิน 125,000 หยวนพอดิบพอดี

“ใช่แล้ว ต้องเป็นเงินจำนวนนี้แน่ ๆ”

ซูเย่พยักหน้าให้กับตนเอง หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและกดเข้าไปในแอปสมาคมสังคมสงเคราะห์อีกครั้ง

คนกลุ่มแรกที่เขาบริจาคเงินให้ ล้วนแต่เป็นเด็กนักเรียนชั้นประถมผู้เรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์

และเงินบริจาคก้อนต่อมา ซูเย่มอบเป็นค่าซ่อมแซมสะพานในต่างจังหวัดอันห่างไกล

ส่วนเงินบริจาคส่วนที่สาม เขามอบให้เป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงโรงเรียนยากจนในเขตทุรกันดาร

ไม่กี่นาทีต่อมา

ชายหนุ่มก็บริจาคเงินไปทั้งหมดเป็นจำนวน 250,000 หยวน

“ติ้ง!”

“แต้มศีลธรรม +5”

เขาเพิ่งเลื่อนระดับพลังได้ไม่เท่าไหร่ คะแนนศีลธรรมก็มีอยู่ถึง 7 แต้มแล้ว นับว่าเป็นระดับความเร็วที่น่าพึงพอใจ

แต่หลังจากนั้น…

ก็มี SMS แจ้งเตือนมาจากธนาคารว่า

“ยอดเงินในบัญชีของผู้ใช้หมายเลขลงท้ายบัตร 0548 คือ 800 หยวน…”

เมื่อเห็นข้อความแจ้งเตือนยอดเงินในบัญชี ซูเย่ก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ออกมาเท่านั้น

“ดูเหมือนเราจะเป็นพวกที่เก็บเงินไว้กับตัวได้ไม่นานจริง ๆ แฮะ เป็นคนรวยได้ไม่เท่าไหร่กลับมาเป็นคุณชายถังแตกอีกแล้วหรือนี่…”

“ฮ่าฮ่าฮ่า…”

ทันใดนั้น เสียงหัวเราะด้วยความดีใจสุดขีดก็ดังขึ้นในห้องพักของเขา

ซูเย่หันหน้ามองไปที่ต้นเสียง

แล้วชายหนุ่มก็ได้เห็นซูชือกับจินฟานกำลังถอดหมวก VR ด้วยสีหน้าตื่นเต้น

“ในที่สุดก็ทำได้แล้วโว้ย ในที่สุดฉันก็ผ่านแล้ว วะฮ่าฮ่า สุดยอด!”

ซูชือนอนกลิ้งอยู่บนเตียงและหัวเราะด้วยความสะใจ

จินฟานก็มีอาการไม่ต่างกัน

“พวกนายตื่นเต้นเรื่องอะไรกันเนี่ย?”

ซูเย่ถาม

“ตื่นเต้นที่ฆ่าตัวบอสได้สักทีน่ะสิ”

จินฟานยิ้มแย้มอย่างมีความสุข “หลังจากเสียเวลาศึกษากลยุทธ์มาหลายคืน ในที่สุดเราก็สามารถจัดการตัวบอสแรคคูนระดับ 10 ได้แล้ว!”

“เหรอ?”

ซูเย่ยิ้มมุมปาก “ยินดีด้วยนะเพื่อน”

“ยินดีกับผีน่ะสิ!”

พลันซูชือลุกขึ้นมานั่งและพูดด้วยความหงุดหงิด “เราเทียบกับไอ้ท่าน X ไม่ได้เลย ระดับพลังของเรายังห่างชั้นจากเขาอยู่หลายขุม”

ทว่าสีหน้าของชายหนุ่มก็เปลี่ยนมาเป็นยิ้มแย้มอีกครั้ง

“แต่ในที่สุดฉันก็ได้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของเกมนี้แล้วล่ะ!”

“ความหมายที่แท้จริงของเกมนี้ คือการสอนให้ผู้เล่นมีความสมัครสมานสามัคคีเพื่อโค่นล้มตัวบอสให้ได้! เว้นแต่ไอ้โรคจิต x คนเดียวน่ะนะ!”

ซูเย่พูดอะไรไม่ออก

“ถึงฉันจะไม่ได้เป็นคนที่ฆ่าตัวบอสเองกับมือ แต่ฉันก็ได้อัพเกรดให้เข้าร่วมเล่นแผนที่ระดับ 10 เรียบร้อยแล้ว เป็นผลมาจากการไล่ฆ่าสัตว์ประหลาดตลอดหลายวันที่ผ่านมานั่นแหละ เราสะสมคะแนนประสบการณ์มาเรื่อย ๆ จากการฆ่าสัตว์ประหลาดระดับ 8 กับระดับ 9!”

“และด้วยความที่เราถูกจัดอยู่ในหมวดผู้เล่นคะแนนประสบการณ์สูง บวกกับเรื่องที่พวกเราสามารถนำกองทัพไปฆ่าตัวบอสแรคคูนผีได้สำเร็จ นั่นก็ทำให้ตอนนี้ฉันกับจินฟานกลายเป็นเซียนในเกม Fantasy Dream ไปแล้วนะเว้ย!”

ซูชือพูดด้วยความภูมิใจ

“นายอย่าเพิ่งดีใจไปหน่อยเลยน่า เรื่องแบบนี้ใคร ๆ ก็ทำได้!” จินฟานต้องพยายามเบรกอารมณ์เพื่อน “แต่สิ่งที่คนทำไม่ค่อยได้ก็คือ การเก็บเลเวลตัวละครให้ถึงระดับ 10 ต่างหาก เห็นทางเว็บไซต์ของเกม Fantasy Dream ประกาศเอาไว้แล้วว่า สำหรับผู้เล่นที่มีเลเวลระดับ 10 ขึ้นไป ก็จะสามารถเข้าร่วมเล่นในแผนที่ระดับสูงกว่านี้ได้เหมือนกัน”

“จริงด้วยสิ”

ซูชือพยักหน้าด้วยความมุ่งมั่นและหันกลับมาสบตาซูเย่ “ซูเย่ ช่วงนี้นายไม่ค่อยได้เล่นเกมหรือไง? จินฟานกับฉันพยายามแอดเพื่อนนายไปหลายรอบแล้วนะ ทำไมนายถึงไม่รับแอดสักทีวะ? เกมนี้เล่นไม่ยากหรอกนะ ก็แค่ถือดาบไล่ฆ่าสัตว์ประหลาดเท่านั้นเอง ถ้านายเล่นไม่เป็นก็ไม่ต้องกังวลไปหรอก เดี๋ยวฉันช่วยสอนให้ก็ได้”

“เวลาเข้าไปในตัวเกม ฉันชอบเดินเล่นเรื่อยเปื่อยในป่าน่ะ เลยไม่ค่อยได้เช็คดูข้อความเท่าไหร่”

ซูเย่พยายามให้คำอธิบายอย่างอารมณ์ดี

“เดินเล่นเรื่อยเปื่อย? คงมีแต่นายเท่านั้นแหละที่ยังมีอารมณ์เดินเล่นในเกมแบบนี้อีก!”

ซูชือบ่นอุบ “ครั้งหน้านายเข้าเกมเมื่อไหร่ รีบ ๆ เดินกลับมารวมตัวที่หน้าหมู่บ้านได้แล้ว เดี๋ยวฉันจะพานายไปล่าสัตว์ประหลาดเอง!”

“ขอบใจนะ”

ซูเย่พยักหน้ายิ้มกริ่ม “ยังไงก็ช่วยสอนฉันหน่อยแล้วกัน”

ทันใดนั้น ชายหนุ่มก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขาไปโพสต์กระทู้ขายดาบเวหาอยู่ในบอร์ดข้อความของเกม Fantasy Dream เมื่อวันก่อน

ไม่รู้เลยว่าป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง

ซูเย่รีบเข้าไปตรวจสอบกระทู้ในบอร์ดข้อความโดยไม่ได้ล็อกอินแสดงตัวตน

ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ กระทู้ของเขากลายเป็นกระทู้ที่มีผู้คนเข้าชมมากที่สุด และชาวเน็ตก็ให้การตอบรับมากมายมหาศาล

“บ้าไปแล้ว มีคนได้ดาบเวหาแล้วจริง ๆ สิ?”

“โคตรเก่ง นี่คงเป็นดาบเวหาเล่มแรกเลยมั้งที่มีคนได้ในเซิร์ฟของเรา หวังว่าคงไม่ใช่ของปลอมหรอกนะ? ถ้านี่เป็นดาบเวหาของจริง ฉันยินดีจ่ายให้เลย 100,000 หยวน”

“ของดีขนาดนี้ นายให้แค่แสนหยวนได้ยังไง? ฉันยินดีจ่ายเลย 200,000 หยวน! คนที่เล่นเกมนี้ต้องลงทะเบียนกับทางสถานีตำรวจทุกคน รับรองว่าไม่มีการโกงค่าดาบเด็ดขาด!”

“คนพวกนี้เป็นพ่อค้าในตลาดมืดทั้งนั้น เจ้าของกระทู้อย่าไปสนใจเลยนะ เอาดาบมาขายให้ฉันดีกว่า ฉันยินดีจ่าย 210,000 หยวน”

“กระจอก ฉันให้เลย 300,000”

“หืม? ทำไมทุกคนดูรวยกันจัง?”

ซูเย่ตกตะลึงไม่น้อย…

เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนอยากได้ดาบเวหามากมายถึงขนาดนี้

หลังจากไถหน้าจอดูข้อความอีกพักใหญ่

ในที่สุดชายหนุ่มก็ได้พบเจอกับผู้ที่ให้ราคาสูงสุด

“ฉันยินดีจ่าย 500,000 หยวนและดาบเล่มนี้ฉันจะรับไว้เอง”

ผู้ที่โพสต์ข้อความนี้มีเข็มกลัดผู้เล่นระดับ “VIP ทองคำ” แปะอยู่ท้ายชื่อ

แสดงว่าต้องเป็นผู้ที่มีเงินอย่างแท้จริง

“เยี่ยม”

ซูเย่พยักหน้าด้วยความพอใจ

เขากดกลับออกมาจากกระทู้

ปล่อยเอาไว้อย่างนี้ก่อนอีกสักสองสามวันก็แล้วกัน

รอให้แผนที่ระดับ 10 เปิดให้เล่นได้อย่างเป็นทางการก่อน

วันต่อมา ซูเย่ยังคงฝึกวิชาตามปกติ และราคาของดาบเวหาก็ยังคงอยู่ที่ 500,000 หยวน

วันถัดไป ซูเย่ยังฝึกวิชาตามปกติ และราคาของดาบเวหาก็ยังคงอยู่ที่ครึ่งล้านหยวนดังเดิม

เพียงเท่านี้ ซูเย่ก็รู้แล้วว่านี่คือราคาสูงสุดเท่าที่ดาบเวหาจะสามารถขายได้ ดังนั้น ชายหนุ่มจึงกะว่าจะตอบข้อความอีกฝ่ายเมื่อเขาเรียนแพทย์แผนจีนคลาสพิเศษจบลงในบ่ายวันนี้

ตามข้อมูลที่ซูชือบอกเอาไว้ แผนที่ระดับ 10 จะเปิดให้เล่นได้อย่างช้าสุดก็ไม่เกินวันพรุ่งนี้

ซูเย่บอกตนเองว่าเขาต้องรีบขายในขณะที่ดาบเวหายังได้ราคาอยู่

วันพุธ เวลา 14:30 น.

ซูเย่เดินทางมาที่ศูนย์การแพทย์หมิงเต๋อตามปกติ

“นั่งก่อนสิ”

ขณะนี้ในศูนย์การแพทย์ยังไม่มีคนไข้ หลี่เคอหมิงผายมือบอกให้เขานั่งลง

ซูเย่นั่งลงตามคำสั่งอย่างเชื่อฟัง

หลี่เคอหมิงยิ้มกว้างมองมาที่เขาและกล่าวว่า

“ที่ผ่านมาฉันก็สอนให้เธอตรวจจับชีพจรและตรวจลิ้นคนไข้แล้ว ซึ่งถือว่าเธอทำได้ดีมาก”

“แต่ยังมีการตรวจอีกหลายรูปแบบที่ฉันยังไม่ได้สอนเธอ”

“สัปดาห์ที่แล้ว ฉันสอนเกี่ยวกับอาการของคนไข้ เธอได้กลับไปอ่านหนังสือทบทวนบ้างหรือเปล่า?”

“อ่านครับ”

ซูเย่พยักหน้า

สองวันที่ผ่านมา ซูเย่อ่านทบทวนตำราเกี่ยวกับอาการโรคชนิดต่าง ๆ ของผู้ป่วยตลอดทั้งวันที่มีเวลาว่าง

หลี่เคอหมิงพยักหน้าด้วยความพอใจ “การตรวจอาการคนไข้บางครั้งอาจเป็นเรื่องน่าเบื่อ อาทิตย์นี้ฉันจะสอนให้เธอรู้ว่ายาตัวไหนสามารถรักษาโรคชนิดใดได้บ้าง และเพราะเหตุใดถึงต้องเป็นยาสมุนไพรตัวนั้น นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดในศาสตร์แห่งแผนจีน และเป็นเรื่องราวที่ต้องใช้เวลาเรียนรู้เนิ่นนาน บางคนอาจจะต้องเรียนรู้ไปตลอดชีวิตเลยด้วยซ้ำ”

“ขอบคุณอาจารย์หลี่มากครับที่เมตตาสอนผม”

ซูเย่ก้มศีรษะด้วยความจริงใจ

นี่คือสิ่งที่เขาอยากเรียนรู้มากที่สุด

การเรียนรู้เกี่ยวกับตัวยาสมุนไพรที่เหมาะสมต่อโรคของคนไข้ มีประโยชน์มากกว่าการเรียนจับชีพจรหลายเท่า

และเนื้อหาในการสอนก็จะมีความซับซ้อนมากกว่ากันหลายเท่าเช่นกัน

ในเมื่อฝ่ายหนึ่งก็อยากสอน อีกฝ่ายหนึ่งก็อยากเรียน ทุกอย่างจึงดำเนินไปด้วยความราบรื่น

“เธอจำเนื้อหาในหนังสือ “ตำรับยาแก้ไข้” และ “สมุนไพรรักษาโรคฉบับเฉินหนง” ได้หรือเปล่า?”

หลี่เคอหมิงถามออกมาอีกครั้ง

“จำได้ครับ” ซูเย่ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“แล้วหนังสือ “บทคัดย่อสมุนไพรจีน” ล่ะ?”

หลี่เคอหมิงยังคงถามต่อเนื่อง

โดยทั่วไป นักศึกษาคณะแพทย์แผนจีนต้องเคยผ่านตาหนังสือเหล่านี้มาบ้าง แต่มีน้อยคนนักที่จะนำมันมาใช้งานได้เป็นประโยชน์จริง ๆ

“จำได้ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว”

หลี่เคอหมิงยิ้มหน้าบานมากกว่าเดิม “หลังจากการเรียนพิเศษวันนี้จบลง ฉันจะอนุญาตให้เธอได้ดูบันทึกการรักษาคนไข้”

พูดมาถึงตรงนี้ คนไข้คนใหม่ก็เดินเข้ามาพอดี

ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปกติ

เมื่อคนไข้เดินเข้ามานั่งที่โต๊ะตรวจ หลี่เคอหมิงก็พยักหน้าส่งสัญญาณให้ซูเย่เริ่มต้นตรวจชีพจรและวินิจฉัยอาการก่อนเป็นคนแรก

ซูเย่สำรวจมองผู้ป่วยคนแรกของเขาในวันนี้ เป็นชายวัย 50 เศษ ลักษณะท่าทางเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก

“คนไข้มีอาการเป็นยังไงบ้างครับ?”

ซูเย่ถาม และวางมือขวาของตนเองลงบนข้อมือผู้ป่วย

“ก็มีเวียนหัวครับหมอ ปวดหัวด้วย คัดจมูกน้ำมูกไหล ช่วงหลังอาการที่เพิ่มมาก็คือปวดเนื้อปวดตัว เวลารับประทานอาหารก็ท้องอืดท้องเฟ้อ”

คนไข้ตอบ

“รบกวนอ้าปากให้หมอดูลิ้นหน่อยนะครับ”

คนไข้ทำตามอย่างว่าง่าย

ซูเย่ตรวจดูลิ้นของชายชราและพยักหน้า “ชีพจรอ่อนแอ ลิ้นเป็นฝ้าขาว”

หลี่เคอหมิงขยับเข้ามาจับชีพจรคนไข้และวินิจฉัยอาการ สุดท้ายก็พยักหน้าด้วยความพอใจ ซูเย่สามารถวินิจฉัยอาการคนไข้ได้อย่างแม่นยำเหลือเชื่อ

พลันอาจารย์หลี่หันมามองหน้าซูเย่ และถามด้วยความกระตือรือร้น “เธอจะวินิจฉัยว่าเขาเป็นโรคอะไร? วินิจฉัยผิดก็ไม่เป็นไรหรอกนะ”

ชายหนุ่มคนนี้เพิ่งจะมาฝึกพิเศษกับเขาได้เพียงไม่กี่สัปดาห์ และเนื้อหาการสอนก็เพิ่งจะจริงจังเมื่อ 3 วันที่แล้วนี่เอง ซูเย่ไม่น่าจะวินิจฉัยโรคได้ถูกต้อง แต่หลี่เคอหมิงอยากจะรู้คำตอบว่าชายหนุ่มคนนี้มีความอัจฉริยะอยู่ในระดับไหนกันแน่

“ผมขอวินิจฉัยว่าคนไข้มีร่างกายเย็นมากเกินไปครับ”

ซูเย่หยุดคิดอีกเล็กน้อยและกล่าวว่า “ม้ามและปอดของคนไข้ขาดพลังชี่ ทำให้ลมหายใจไม่สามารถไหลเวียนได้สะดวก จึงส่งผลต่อเนื่องให้ร่างกายเกิดความเย็นผิดปกติ”

“ใช่แล้ว”

ดวงตาของหลี่เคอหมิงเป็นประกายวิบวับด้วยความประหลาดใจ

ซูเย่สามารถวินิจฉัยโรคได้ถูกต้องจริง ๆ!

อาทิตย์ที่แล้วเพิ่งจะเรียนพื้นฐานไปได้ไม่เท่าไหร่ กลับมาอีกทีอาทิตย์นี้ ชายหนุ่มก็สามารถวินิจฉัยโรคคนไข้ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ นับว่าเขามีพรสวรรค์ในการรักษาผู้คนจริงๆ!

หลี่เคอหมิงเขียนใบสั่งยาให้แก่คนไข้พร้อมกับพยายามข่มกลั้นความตกตะลึงของตนเองเอาไว้ เขาอธิบายด้วยความระมัดระวังว่า

“การวินิจฉัยของเธอถูกต้อง นี่คืออาการที่เกิดขึ้นเพราะม้ามและปอดขาดพลังชี่ ร่างกายจึงไม่มีความสมดุล ก่อให้เกิดความเย็นที่มากผิดปกติ และวิธีการรักษาก็คือ เราต้องให้คนไข้รับประทานยาที่ช่วยบำรุงม้ามและปอดให้ร่างกายกลับมามีความสมดุลอีกครั้ง”

“เมื่อภายในร่างกายมีความเย็นมากเกินไป อาการที่ตามมาก็คือคนไข้จะรู้สึกเหมือนไม่สบาย ปวดหัว ตัวร้อน คัดจมูก และไม่สามารถขับเหงื่อได้ตามปกติ นั่นเป็นเพราะว่าความชื้นในปอดไปขัดขวางการไหลเวียนของพลังงานชี่ และอาจจะก่อให้เกิดผลข้างเคียงเป็นอาการแน่นหน้าอกและหายใจตื้นตามมาได้”

“และในส่วนของอาการท้องอืดท้องเฟ้อนั้น เป็นผลมาจากการที่ผู้ป่วยมีชีพจรอ่อนแรงอย่างหนัก นอกจากส่งผลให้เกิดอาการปวดแขนปวดขาและหมดเรี่ยวแรงแล้ว นี่ยังเป็นหลักฐานที่ชี้นำว่าร่างกายของคนไข้ขาดพลังงานชี่เป็นจำนวนมาก”

ซูเย่พยักหน้า

และบันทึกข้อมูลทุกอย่างลงในราชวังแห่งความทรงจำ

“นี่คือใบสั่งยาที่ฉันเขียนให้คนไข้คนนี้”

หลี่เคอหมิงยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ชายหนุ่มดู

“กวาวเครือขาว 15 กรัม โสมจีน 20 กรัม ใบสะระแหน่ 15 กรัม เปลือกส้มเขียวหวาน 15 กรัม สารสกัดจากผลส้ม 10 กรัม สารสกัดจากมะขามป้อม 15 กรัม สารสกัดจากรากไม้ 10 กรัม สารสกัดจากชะเอม 6 กรัม สารสกัดจากดอกบอลลูน 10 กรัม สารสกัดจากโป่งรากสน 10 กรัม แปะจี้ 10 กรัม โกฐหัวบัว 15 กรัม และพุทราจีน 4 กรัม”

เมื่อมองดูรายชื่อสมุนไพรที่อยู่ในใบสั่งยาเหล่านี้ ข้อมูลที่ถูกบันทึกอยู่ในราชวังแห่งความทรงจำของซูเย่ก็ปรากฏออกมาทันที

ซูเย่เข้าใจแล้วว่าอาจารย์หลี่ต้องการจะรู้ว่าเขาทราบถึงสรรพคุณของสมุนไพรชนิดต่าง ๆ นี้หรือไม่

ชายหนุ่มจึงอธิบายด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“การบำรุงม้าม และปอดของคนไข้เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น แต่ปัญหาที่เราต้องแก้จริง ๆ ก็คือการทำให้ร่างกายของคนไข้กลับมามีความสมดุลอีกครั้งให้ได้ใช่ไหมครับ”

“สมุนไพรอย่างเช่นกวาวเครือขาว และโสมจีน จะช่วยขับเหงื่อและเพิ่มความร้อนให้แก่ร่างกายคนไข้ได้โดยไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย”

“ส่วนสารสกัดจากมะขามป้อมจะช่วยลดเสมหะและบรรเทาอาการไอ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มพลังชี่ให้ไหลเวียนในปอดได้อย่างสะดวกมากขึ้น”

“สารสกัดจากรากไม้ ผลส้ม และเปลือกส้ม ช่วยบรรเทาอาการแน่นหน้าอก และบำรุงม้ามให้กลับมาทำงานได้เป็นปกติอีกครั้ง”

“โป่งรากสนช่วยบำรุงม้ามให้แข็งแรง และขจัดความชื้นที่ก่อเกิดตัวอยู่ภายใน”

พูดมาถึงตรงนี้ หลี่เคอหมิงก็หยุดชะงักเล็กน้อย และมองหน้าซูเย่ “ว่าต่อได้เลย”

“สมุนไพรทั้งหมดที่อยู่ในใบสั่งยานี้ นอกจากช่วยรักษาอาการคนไข้แล้ว ยังเป็นการปรับสมดุลพลังชี่ในร่างกายคนไข้ตามวิถีแพทย์แผนจีนโบราณ เมื่อร่างกายของคนไข้กลับมามีความสมดุลอีกครั้ง อวัยวะภายในก็จะสามารถทำงานได้อย่างเป็นปกติ และคนไข้ก็จะไม่มีอาการป่วยดังที่เป็นอยู่ขณะนี้อีกแล้ว”

“ในกลุ่มสมุนไพรทั้งหมดนี้ แปะจี้มีสรรพคุณช่วยปรับสมดุลความเย็นในร่างกาย ในขณะที่โกฐหัวบัวมีสรรพคุณด้านการบำรุงเลือด ทำให้เลือดสามารถไหลเวียนในร่างกายได้สะดวกมากขึ้น ซ้ำยังช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยเนื้อตัว เมื่อนำสรรพคุณของยาสมุนไพรทุกตัวมารวมกันแล้ว คนไข้ก็จะกลับมามีร่างกายที่สมดุลอีกครั้งหนึ่งครับ”

หลี่เคอหมิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจเป็นอย่างมาก

การรักษาในแบบฉบับแพทย์แผนจีนปัจจุบัน ไม่ได้แตกต่างไปจากแพทย์แผนจีนครั้งโบราณสักเท่าไหร่

ไม่ว่ายิ่งใหญ่มาจากไหน ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิหรือขุนนาง ต่างก็ต้องฝากชีวิตไว้ที่แพทย์หลวงทั้งนั้น

หลี่เคอหมิงนำใบสั่งยายื่นให้กับคนไข้คนเก่า จากนั้นก็บอกให้คนไข้คนใหม่เดินเข้ามานั่งลง

ซูเย่เริ่มการตรวจ 4 ขั้นตอนพื้นฐานสำหรับการฝึกพิเศษของเขา

ขั้นตอนเหล่านั้นประกอบไปด้วย

การวินิจฉัยโรค การอธิบายสาเหตุที่มาของโรค การตรวจดูใบสั่งยา และอธิบายถึงผลลัพธ์จากสมุนไพรต่าง ๆ ในใบสั่งยาเหล่านั้น

เขาหมดเวลาตลอดช่วงบ่ายของวันนี้ไปกับขั้นตอนทั้งหมดนี้

ผู้ป่วยคนแล้วคนเล่า ใบสั่งยาใบแล้วใบเล่า

สองชั่วโมงต่อมา

เมื่อช่วยทำความสะอาดห้องตรวจเสร็จเรียบร้อย ซูเย่ก็เดินกลับออกไปจากศูนย์การแพทย์หมิงเต๋อ

“เร็วเกินไป เรียนรู้ได้รวดเร็วเกินไป”

หลี่เคอหมิงที่เดินไปยังทิศทางฝั่งตรงข้ามหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดช่วงบ่าย แล้วก็อดอุทานออกมาไม่ได้ว่า

“ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้สอนอะไรเขาเลยนะ”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด