แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 3 เข้าสำนัก
หลิวหลีทำตัวเหมือนเด็กทั่วไป นางยอมรับความจริงเรื่องตนเองเป็นบุตรสาวสกุลหลี่ และเอ่ยปากขอพบมารดาผู้ให้กำเนิด บวกกับหลี่หลินเองก็อยากพบคนที่ตนเคยรักที่สุดเช่นกัน เมื่อเห็นท่าทางเคารพบูชาของบุตรสาว โดยที่เขาไม่ได้รู้เลยว่าบุตรสาวคิดอย่างไร นางไม่แยแสว่ารักแท้คือสิ่งใด หากท่านแม่ของนางเป็นรักแท้แล้ว นางจะมีอิงเถียว หลิงหลง เหมิงหลงมาเป็นพี่น้องได้อย่างไร
นางยืนอยู่เบื้องหน้าหลุมศพของหลงซินเยว่ ถึงจะเรียกว่าหลุมศพ แต่ความจริงเป็นแค่เนินเล็กๆเท่านั้น เมื่อเห็นคนรับใช้กำลังกำจัดวัชพืชให้เรียบร้อย หลิวหลีคุกเข่าต่อหน้าหลุมศพก้มคำนับสามครั้ง พลางเอ่ยในใจ
‘ท่านแม่ในชาตินี้ของข้า ข้าเป็นบุตรสาวของท่าน แต่จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ใช่ ข้าขอใช้ร่างบุตรสาวท่านมีชีวิตอยู่ต่อ ได้ยินมาว่าหากบำเพ็ญเพียรจะสามารถข้ามเวลาไปชาติก่อนได้ ไม่แน่ว่าหลิวหลีอาจจะได้พบท่าน หลิวหลีสุขสบายดี และหวังว่าท่านจะกลับมาเกิดใหม่อย่างเป็นสุข” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้นางก็ก้มศีรษะลงคำนับอีกสามครั้ง พลันรู้สึกเศร้าอย่างไม่สามารถอธิบายได้ น้ำตาแห่งความผิดหวังไหลริน ซึมลงพื้นดินและหายไปอย่างรวดเร็ว นางใช้มือปาดน้ำตา แต่ไม่ทันระวังเผลอปัดไปโดนขอบของปิ่นปักผมสีชมพู จนนิ้วมือเป็นรอยเลือดไหลซึมออกมา นางสะบัดนิ้วจึงทำให้เลือดหยดลงพื้นและจางหายไปอย่างรวดเร็ว หลิวหลีอมนิ้วนั้นไว้ในปาก เป็นผู้หญิงนี่อันตรายจริงๆ โดนปิ่นบาดมือก็ได้
หลิวหลีรู้สึกว่านางทำในสิ่งที่พอจะทำได้ไปหมดแล้ว นางก้มคำนับอีกสามครั้งก่อนไป แต่ว่าจู่ๆเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างส่องแสงแวววาวอยู่ด้านหน้า เสียงในใจบอกให้นางไปเก็บมันมา นางมองสำรวจรอบๆ สาวใช้รอบตัวเห็นนางสัมผัสหลุมศพมารดาก็คิดว่านางคิดถึงมารดา นางจึงรีบหยิบของที่ส่องแสงเป็นประกายใส่เข้าไปในแขนเสื้อก่อนจะเดินไปอย่างใจเย็น
เมื่อนางกลับมาที่ห้อง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แล้วจึงนำของสิ่งนั้นออกมา มันคือจี้หยก รูปมังกรวิจิตรงดงาม มีสีโลหิตไหลวนอยู่ในนั้นช่างสวยงามเหลือเกิน ในฐานะคนจีนแท้ ๆ นางถือว่าตนเองเป็นลูกหลานมังกรมาโดยตลอด จึงย่อมรู้สึกชื่นชอบมังกรมากกว่าคนอื่นๆ หลิวหลีชอบจี้หยกนี้มาก แอบรู้สึกในใจว่าท่านแม่ต้องเป็นคนทิ้งไว้ให้ตนแน่นอน นางหาเชือกสีแดงมาร้อยแล้วนำมาห้อยไว้ที่คอ นางรู้สึกได้ว่าจี้หยกนี้ช่างอบอุ่นต้องเป็นหยกเนื้อดีแน่
สามวันต่อมาหลิวหลีได้นำห่อผ้าเล็กๆที่หลี่หลินและเว่ยซื่อเตรียมไว้เพื่อรอหวังหรงมารับนาง ก่อนไปหลี่หลินได้ให้นางสัญญาบางอย่างกับเขา หลิวหลีรับปาก คิดจะเอาแต่ผลประโยชน์ ช่างเป็นตาแก่ที่ทะเยอทะยานจริงๆ
เมื่อหวังหรงโยนนางเข้าไปในวัตถุบางอย่างที่ลักษณะคล้ายก้อนเมฆ หลิวหลีก็เห็นว่าในนั้นมีเด็กหลายสิบคน ซึ่งบางคนแก่กว่านาง บางคนก็เด็กกว่านาง นางกลอกตาไปมา แล้วก็กระจ่างแจ้งว่าคนเหล่านี้คงจะเป็นพวกที่มีชะตาเซียนเหมือนกัน และแล้วก็มีคนทำความเคารพเขา
“ศิษย์พี่หวัง เด็กเหล่านี้คือเด็กที่มีชะตาเซียนที่ถูกเลือกในครั้งนี้กระมัง”
“ลำบากศิษย์น้องซ่งแล้ว”
“มิกล้า หากไม่มีศิษย์พี่ ข้าคงไม่ได้รับโอกาสเช่นนี้” ศิษย์น้องแซ่ซ่งกล่าวตอบ
“ศิษย์น้องเกรงใจเกินไปแล้ว นับรวมเด็กสาวคนนี้ด้วย” หวังหรงกล่าวถึงหลิวหลี
“ดูท่าสาวน้อยผู้นี้คุณสมบัติไม่เลวเลย” ศิษย์น้องซ่งเยินยอ
“เช่นนั้น เด็กสาวผู้นี้มีแกนวิญญาณเดี่ยวธาตุอัคคีอีกด้วย ส่วนความบริสุทธิ์ของแกนวิญญาณนั้นข้าต้องกลับไปตรวจสอบเพิ่มเติมที่สำนัก” หวังหรงกล่าวอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง ทุกวันนี้ผู้ที่มีแกนวิญญาณเดี่ยวนั้นมีน้อยเต็มที มีผู้ที่มีแกนวิญญาณเดี่ยวปรากฏกายนั้นถือเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างยิ่ง เมื่อกลับสำนักหลิวหลีจะผ่านการทดสอบ และรางวัลจากสำนักจะไปไหนได้
“ข้าขอยินดีกับศิษย์พี่ด้วย” ศิษย์น้องซ่งแสดงความยินดี
หลิวหลีถูกพาเข้าไปรวมตัวกับเหล่าเด็กๆ แม้การแต่งกายของนางจะไม่แย่ แต่ถ้าเทียบกับเด็กคนอื่นๆถือว่ายังห่างชั้นกันนัก
“พ่อแม่เจ้าทำอะไร” มีเด็กสาวคนหนึ่งถามขึ้น
“พ่อค้าค้าผ้า” หลิวหลีครุ่นคิดก่อนจะตอบ คำตอบของหลิวหลีทำให้เด็กทุกคนมีอาการดูถูกนาง แม้ว่าจะเป็นบุตรสาวพ่อค้าค้าผ้า แต่คนที่แย่ที่สุดที่นี่ก็เป็นถึงบุตรของบัณฑิตขั้นหก
“โอ้ แม้แต่บุตรของพ่อค้าแสนต่ำต้อยก็มีชะตาแห่งเซียนด้วยหรือนี่?” เด็กสาวที่ดูเหมือนมีตำแหน่งใหญ่โตเอ่ยขึ้น
“ท่านหญิงหมิงจูพูดถูก” เด็กน้อยที่อยู่รอบกายคล้อยตาม
หลิวหลีหาสถานที่ที่ไกลจากพวกเขาแล้วยืนนิ่งๆ และไม่สนใจพวกเขาอีก พวกเด็กเหล่านี้โง่งมจริงๆ การบำเพ็ญเพียรนั้นเน้นพรสวรรค์เป็นหลัก จะมีอำนาจมากเพียงใดบนโลกมนุษย์ก็เป็นแค่โลกมนุษย์เท่านั้น แต่โลกแห่งเซียนนั้นมันอยู่ที่ฝีมือ นางจึงไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับพวกเขา
เมื่อหสิงจูเห็นใบหน้าราบเรียบของหลิวหลีก็หมดความสนใจในตัวนาง นางรู้ ตัวนางคือแกนวิญญาณคู่วารี ในกลุ่มคนเหล่านี้นอกจากองค์ชายห้าลูกพี่ลูกน้องของนางที่มีแกนวิญญาณคู่เหมือนนางแล้ว คุณสมบัติของนางถือว่าดีที่สุด เส้นทางแห่งเซียนที่แสนรุ่งโรจน์ ที่เหลือขึ้นอยู่กับความสามารถของนางแล้ว มองดูบุตรสาวพ่อค้าค้าผ้าที่แสนต่ำต้อย ดูแล้วชะตาแห่งเซียนของอีกฝ่ายคงจะไม่ยืนยาวนัก
องค์ชายห้าหลิงเฟิงมีแกนวิญญาณคู่สุวรรณปฐพี นับได้ว่าดีที่สุดในเวลานี้แต่ไม่ได้พูดอะไรมากมาย ดูแล้วรู้สึกว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาเลย เขาไม่ได้โง่เหมือนลูกพี่ลูกน้องของเขา ท่านพ่อได้บอกกับเขาก่อนมาว่าตัวตนองค์ชายของเขานั้นไม่ได้มีผลใดกับการฝึกเซียนแม้แต่น้อย แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่าเขาควรเป็นมิตรกับนาง ในภายหน้าจะส่งผลดีให้เขาแน่
พวกเขามาถึงที่หมายอย่างรวดเร็ว สำนักเมฆาคล้อยเป็น 1 ใน 9 สำนักแห่งโลกเซียน เด็กทุกคนยังไม่ทันรู้ตัวก็ถูกปล่อยลงพื้น ให้ให้ปีนขึ้นไป เด็กทุกคนเริ่มแย่งกันปีน มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ยังอยู่นิ่ง หลิงเฟิงรู้สึกอ่อนล้า อยากจะพักก่อน เขามองหลิวหลีที่ยังไม่ขยับเขยื้อน
หลิวหลีรู้สึกว่าขาของนางไม่มีแรง แต่อย่างไรเสียก็ต้องปีนขึ้นไป เมื่อไม่ได้จำกัดเวลา นางรู้สึกว่านางต้องกินอะไรสักอย่าง และอุ่นร่างกายก่อนค่อยปีน นางเจอก้อนหินสะอาดก้อนหนึ่ง นางเปิดห่อผ้าเล็กที่กอดไว้ในอ้อมแขนออกมา นางไม่แม้แต่จะมองไปยังเสื้อผ้าและเครื่องประดับ นางเปิดกล่องอาหารแห้งที่ทำมาด้วยตนเองซึ่งเป็นข้าวห่อสาหร่ายธรรมดาๆ ด้านข้างมีกระบอกไม้ไผ่กระบอกหนึ่งข้างในเป็นน้ำดอกสายน้ำผึ้ง แล้วหลิวหลีพลันเหลือบเห็นหลิงเฟิงที่อยู่ไม่ไกล ใบหน้าบูดบึ้ง เขาเป็นถึงชนชั้นสูงคงจะดูถูกอาหารธรรมดาเช่นนี้ แต่ด้วยความรู้สึกผิดน้อยๆในใจ จึงถามอย่างสุภาพ
“เจ้าอยากกินหรือไม่”
“คงต้องรบกวนแล้ว”
เมื่อหลิวหลีได้สติ นางก็เห็นหลิงเฟิงซึ่งนางมองว่าเป็นบุตรของชนชั้นสูง กำลังกินข้าวห่อสาหร่ายทีละคำและจิบชาดอกสายน้ำผึ้ง ภาพนี้ช่างดูขัดตาพิกล
“ตั้งแต่วันนี้พวกเราเป็นศิษย์สำนักเดียวกันแล้ว ข้าชื่อหลิงเฟิง” หลิงเฟิงรู้สึกว่าตนเป็นบุรุษจึงควรเป็นฝ่ายกล่าวทักทายก่อน
“หลี่หลิวหลี” นางเอ่ยตอบ เจ้าเด็กชนชั้นสูงคนนี้ใช้ได้ทีเดียว
“พวกเราควรเริ่มเดินทางแล้วหรือยัง?” หลิงเฟิงกล่าวพลางมองหลิวหลีที่กำลังจัดข้าวของอยู่ เขายังจำสายตาดูถูกของลูกพี่ลูกน้องของตนได้ โง่จริง ต้องเป็นเพราะพันธุกรรมที่แย่จากมารดาพวกนางแน่ แต่พันธุกรรมของมารดาเขานั้น เขารับประกันได้เลย
“ได้สิ” หลิวหลีที่กินอิ่มแล้วคิดว่าถ้ายังไม่ออกเดินทางคงจะไม่ดีนัก
ทั้งสองก้าวไปตามขั้นบันได ห้องโถงใหญ่ในสำนักมีเงาสะท้อนดั่งผืนน้ำ มีคนหลากหลายเพศและวัยกำลังจับจ้องเหล่านี้อยู่ โดยเฉพาะหลิงเฟิงและหลิวหลี
“หลิงเฟิงคนนั้นใช้ได้เลยทีเดียว แกนวิญญาณคู่สุวรรณปฐพีเหมาะจะเป็นผู้ใช้กระบี่”
“แม่นางน้อยคนนี้ก็ไม่เลว หากข้าตาไม่บอด ดูเหมือนแม่นางน้อยจะเป็นแกนวิญญาณเดี่ยวเพียงหนึ่งเดียว และยังเป็นแกนวิญญาณอัคคีที่เป็นพลังโจมตี”
“เหล่าศิษย์น้องทุกท่านให้ความสนใจถือเป็นเรื่องดี แต่ยังต้องดูท่าทีของพวกเขาก่อน”
หลิวหลีและหลิงเฟิงก้าวขึ้นบันไปอย่างไม่รีบเร่ง จนเริ่มเมื่อยขาโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเดินมาไกลเท่าไหร่ แต่สัญชาตญาณบอกหลิวหลีว่าหากหยุดพักกลางคันก็คงจะลุกไม่ขึ้นอีกแน่ ดังนั้นจึงเดินช้าลง หลิวหลีเดินอย่างช้าๆ หลิงเฟิงเห็นหลิวหลีไม่หยุดเดิน ต่อให้เขาเหนื่อยขนาดไหนแต่ก็ฝืนเดินต่อ เขาจะแพ้เด็กผู้หญิงไม่ได้ และเห็นเด็กจำนวนไม่น้อยเริ่มทยอยกันนั่งพักตามทาง บางคนว่าพวกเขาโง่แต่พวกเขาก็ไม่สนใจรวมถึงท่านหญิงหลิงจูจอมเผด็จการนั่นด้วยเช่นกัน หลิงเฟิงหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วเดินต่อ ไม่รู้ว่าเดินไปนานเท่าใดแล้วจนรู้สึกว่าจวนจะล้มเต็มที หลิวหลีพลันเห็นก้อนหินและไม้สีแดง เหมือนจะมาถึงปลายทางแล้ว หลิวหลีรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เมื่อมองเห็นประตูบานใหญ่หลิวหลีก็พลันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก มองดูหลิงเฟิงที่ห่างไปเพียงไม่กี่ก้าว คิดครู่หนึ่งแล้วยื่นมืออกไปช่วยดึงเขาขึ้นมา
ทั้งสองนั่งลงบนพื้นอ้าปากหายใจหอบโดยไม่สนภาพลักษณ์ พวกเขามองตากัน รู้สึกเหมือนกลายเป็นคนที่สนิทกันไปแล้ว หน้าประตูปรากฏร่างของชายชุดขาวที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อใด
“ปีนี้มีเพียงพวกเจ้าสองคนที่ผ่านการคัดเลือกเข้าสำนักเรา ส่วนพวกเจ้าที่เหลือออกไปประตูด้านนอก” ชายหนุ่มกล่าวจบแล้วก็พาตัวหลิวหลีและหลิงเฟิงไป ส่วนคนที่กำลังพักผ่อนอยู่บริเวณบันไดหรือคนที่กำลังเดินอยู่ต่างได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม มีเพียงหลิงจูที่ไม่ยอมแพ้ นางมีพรสวรรค์ขนาดนี้ ทำไมถึงเข้าสำนักไม่ได้ น่าเสียดายที่นางไม่ทันได้พูดอะไรก็ถูกลมพัดไปยังที่แห่งหนึ่ง จากนั้นนางก็ไม่เห็นบุตรสาวพ่อค้าผ้าชั้นต่ำและเสด็จพี่ห้าของนางอีก
“เจ้าตามข้ามา ข้าเป็นผู้รับผิดชอบสำนักนอก พวกเจ้าเรียกข้าว่าผู้ดูแลเหอก็ย่อมได้” หญิงวัยกลางคนเอ่ยอย่างเข้มงวด “ท่านอาเหอ เสด็จพี่ของข้าล่ะ” หลิงจูเอ่ยถามอย่างรีบร้อน
“เสด็จพี่ของเจ้าหรือ เจ้าหมายถึงเด็กน้อยทั้งสองที่มุมานะ พวกเขาได้เข้าสำนักแล้ว หากพวกเจ้าอยากเข้าสำนักต้องบรรลุช่วงพื้นฐานเสียก่อน มิฉะนั้นอย่าได้ฝันหวานเลย” ป้าเหอมองเห็นควมหยิ่งผยองของนาง น่าเสียดายนัก ความหยิ่งผยองสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่เด็กสาวควรจะมี
“ถ้า ถ้าเช่นนั้น เจ้าคนชั้นต่ำนั่นเล่า” หลิงจูร้อนใจจนหลุดปากออกมา
“คนชั้นต่ำงั้นหรือ หลิงจู เจ้าจำไว้เสียด้วย วันข้างหน้าเขาอาจจะเป็นอาจารย์อาหรืออาจารย์ของอาจารย์อาเจ้า ขนาดผู้มีคุณสมบัติแกนวิญญาณเดี่ยวที่แสนวิเศษเช่นนี้ เจ้ายังกล้าใส่ร้าย จำบทเรียนนี้ไว้ ที่แห่งนี้ไม่แบ่งชนชั้นวรรณะ มีเพียงผู้ที่มีคุณสมบัติบำเพ็ญเพียรเท่านั้น” ป้าเหอประทับฝ่ามือลงบนใบหน้าหลิงจู และสอนบทเรียนให้คนเหล่านี้ไปพร้อมกัน
หลิงจูใช้มือกุมหน้าตนเองเอาไว้ ด้วยใบหน้าเหลือเชื่อ ต้องโทษหลิวหลี เป็นความผิดของเจ้าคนชั้นต่ำนั่น
หลิวหลีและหลิงเฟิงที่ถูกพามายังห้องโถงใหญ่ พวกเขามองไปยังเหล่าเซียนผู้สูงส่งอย่างงุนงง
“จื่อซู ทดสอบคุณสมบัติ” บุรุษด้านบนกล่าว
“ขอรับ” บุรุษชุดขาวที่พาหลิวหลีเข้ามายังสำนักเอ่ยตอบ
“หลิงเฟิง วางมือของเจ้าลงบนนี้” จื่อซูกล่าว ในมือปรากฏลูกแก้ววาวใสลูกหนึ่ง รูปร่างต่างกันเพียงเล็กน้อย
“ขอรับ” หลิงเฟิงถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง ก่อนจะนำมือวางลงไป
กลางห้องโถงปรากฏแสงสีเหลืองทอง ด้านในมีสีเหลืองดินผสมปนอยู่ลึกๆ
“หลิงเฟิง อายุสิบปี แกนวิญญาณคู่สุวรรณปฐพี แกนวิญญาณสุวรรณ 1 ส่วน แกนวิญญาณปฐพีอีก 9 ส่วน เป็นคุณสมบัติขั้นสูง” จื่อซูกล่าวอย่างใจเย็น
“เจ้าเด็กคนนี้ใช้ได้ทีเดียว เหล่าศิษย์น้องทั้งหลายคิดเห็นเช่นใด” เจ้าสำนักเอ่ยถาม
“ศิษย์พี่ เด็กผู้นี้มีธาตุสุวรรณสูงขนาดนี้ เหมาะจะเข้าร่วมหอกระบี่ของข้า ข้าเทียนหลิงจื่อยินยอมรับเขาเป็นศิษย์น้องของเรา” ชายร่างใหญ่ถือดาบกล่าวขึ้น
“หลิงเฟิง เจ้ายินยอมหรือไม่?”
“ข้าน้อยหลิงเฟิง คาราวะท่านอาจารย์เทียนหลิงจื่อ” หลิงเฟิงคำนับอาจารย์อย่างยินดี
“เจ้าไปได้”
“หลี่หลิวหลี วางมือของเจ้าลง” จื่อซูตะโกน
หลีหลิวสูดหายใจเข้าลึกๆเฮือกหนึ่ง จากนั้นจึงวางมือลงไป มีแสงสีแดงชาดสาดสะท้อนไปทั้งห้องโถงใหญ่ราวโดนย้อมด้วยสีแดง มีแต่หลิวหลีที่สัมผัสได้ว่า จี้หยกบนตัว ร้อนวูบวาบขึ้นมา
“ 9 เต็ม 9 แกนวิญญาณเพลิงนภา คุณสมบัติระดับสูงสุด” จื่อซูประหลาดใจครู่หนึ่ง ก่อนจะประกาศคุณสมบัติของหลิวหลี
[1] องค์หญิงหมิงจูหลิงจู ชื่อจริงคือ หลิงจู ส่วนองค์หญิงหมิงจูเป็นตำแหน่งและชื่อพระราชทาน
คอมเม้นต์