แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 33 ตัดชะตากรรม (1)
หลิวหลีแอบลอบเข้ามาในจวนของอันชิ่งโหว เป็นเพราะพลังล่องหนจึงไม่มีใครมองเห็นหลิวหลี ไม่นานหลิวหลีก็เจอคนที่นางเรียกว่าท่านพ่อเถ้าแก่ร้านขายผ้า นางกระตุ้นปฏิกิริยาสายเลือด หลิวหลีขมวดคิ้ว แทบจะไม่รู้สึกถึงกระแสใดๆ เขามิใช่บิดาของตนจริง ๆ
หลิวหลีมายังสถานที่ฝังศพของมารดาในตอนนั้นอีกครั้ง ก่อนอื่นนางคำนับจรดหน้าผากลงพื้นสามครั้ง
“ฮูหยิน ข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่าควรจะเรียกท่านว่าเช่นไร แม้จะเป็นการลบหลู่ แต่ข้าอยากรู้จักญาติของตนเอง โปรดให้อภัยข้าด้วย” หลิวหลีกล่าวหน้าแท่นป้ายบนหลุมศพ ทันทีที่โบกมือ ดินโคลนบนโลงก็ถูกทำความสะอาดจนเกลี้ยง แล้วหลิวหลีจึงเปิดโลงไม้ออกมาแต่ต้องตกตะลึง เพราะเหตุใดจึงว่างเปล่า
“ว่างเปล่าไปเสียได้” เอ๋าเลี่ยเอ่ย
“เป็นไปไม่ได้ ข้าเก็บป้ายหยกมังกรนี้มาจากที่นี้” หลิวหลีหยิบป้ายหยกบนคอออกมา
ป้ายหยกสว่างไสว ทันใดนั้นก็มีควันพวยพุ่งออกมา ปรากฏเป็นสตรีหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง หน้าตาคล้ายคลึงกับหลิวหลีถึงเจ็ดส่วน
“เจ้าเป็นบุตรสาวของข้าสินะ เด็กน้อย ข้าไม่ได้อยู่บนโลกมนุษย์แล้ว เป็นเพราะหลงเชื่อคำพูดคนชั่วข้าจึงถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัสและหนีมาที่โลกมนุษย์ เดิมทีข้าคิดจะสละชีวิต แต่ก็ทำไม่ได้เมื่อพบว่ากำลังจะมีเจ้า”
“ท่านคือท่านแม่ของข้าหรือ” หลิวหลีปักใจเชื่อไปเกินครึ่ง เพราะหน้าตาที่คล้ายกับนางถึงเจ็ดส่วน
“แม่รู้ว่าที่โลกมนุษย์จะคัดเลือกศิษย์ทุกยี่สิบปี จำกัดเพียงในแวดวงสกุลชั้นสูง แม่ใช้พลังเซียนเฮือกสุดท้ายทำนายชะตาได้ว่าหลี่หลินพ่อค้าผ้าจะได้พบกับผู้บำเพ็ญ จึงวางแผนเพื่อเป็นเมียน้อยของเขา แม่ไม่ได้สนใจสถานะใด ๆ สิ่งที่แม่สนใจก็คือเจ้าจะสามารถเข้าสู่วิถีแห่งเซียนได้หรือไม่ จึงใช้กลอุบายทำให้เขาผู้นั้นติดค้างพันธะกรรม เช่นนี้ถึงจะรับประกันว่าลูกจะได้เข้าสู่วิถีเซียน ตอนนั้นแม่เอาหยดเลือดของเขาผู้นั้นมา บัดนี้คงจะอยู่ในร่างของเจ้า” ราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงของหลิวหลีเลยสักนิด ภาพลวงตาพูดพึมพำกับตัวเองอยู่เช่นนั้น
“หลิวหลี นี่เป็นเพียงภาพลวงตา ไม่ใช่ตัวตนจริง ๆ” เอ๋าเลี่ยพูดพลางมองดวงตาทั้งสองข้างที่เอ่อล้นด้วยน้ำตาของหลิวหลี
“ลูกแม่ หากเจ้าก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนแล้ว เจ้าต้องมีพลังป้องกันตัวก่อนที่จะเข้าไปในโลกอสูรเทพ โลกอสูรเทพเป็นที่ที่แม่เกิด แม่คิดถึงท่านพ่อ คิดถึงเหล่าท่านพี่ แล้วก็คิดถึงปรมาจารย์สิงอวิ๋น ลูกรัก…เผ่าของแม่คือเผ่ามังกร สกุลหลง บนตัวเจ้ามีสมบัติของเผ่ามังกร หากไม่มีพลังป้องกันตัวเอง อย่าได้แสดงตัวตนออกมาโดยง่าย อีกประการหนึ่งทันทีที่เจ้าย่างกรายเข้าสู่โลกอสูรเทพ จำไว้ว่าต้องอยู่ให้ห่างจากเผ่ากิเลน สกุลจ้านเอาไว้ให้ดีเพราะเผ่าพันธุ์นี้ไร้ซึ่งคนดี” นางพูดประโยคสุดท้ายด้วยความเคียดแค้น
“ลูกแม่ แม่ขอให้เจ้าเติบโตขึ้นอย่างสงบสุข” เมื่อพูดจบ ภาพลวงตาก็กลายเป็นควันลอยหายไป
หลิวหลีน้ำตาไหลอาบแก้ม มารดาของตนช่างยิ่งใหญ่ หลิวหลีกำป้ายหยกมังกรในมือแน่นและแนบลงตรงหัวใจ ท่านแม่…ท่านช่างยิ่งใหญ่นัก
“อาเลี่ย โลกอสูรเทพอยู่ที่ใด” เมื่อหลิวหลีหายเป็นปกติจึงเอ่ยถาม
“ที่นั่นน่ะหรือ… หลิวหลี ด้วยพลังบำเพ็ญเพียรของเจ้าตอนนี้ยังไปไม่ได้หรอก” เอ๋าเลี่ยคิดแล้วตอบ
“ฝึกบำเพ็ญ ใช่สิ คิดเรื่องอื่นคงไกลตัวไปนิด การฝึกบำเพ็ญให้ช่วงพลังสูงขึ้นถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด แต่ว่าก่อนอื่นข้าอยากใช้หนี้ชีวิตให้ท่านผู้นั้นเสียก่อน” หลิวหลีว่า ตอนนั้นนางยังเด็กเกินไปจนไม่รู้จะตอบแทนสามเรื่องนั้นอย่างไร
“ใช่แล้วหลิวหลี เจ้านี่ช่างโง่เขลาเสียจริง” เอ๋าเลี่ยตอบกลับตามความเป็นจริง
“อาเลี่ย ตอนนั้นข้าอายุเพียงหกขวบ ตอนหกขวบก็เจ้ารู้จักพ่อแม่เจ้าแล้วนี่” หลิวหลีรู้สึกอับอายจนโกรธขึ้นมา ใครจะไปรู้ว่าสถานะตัวตนจะพลิกไปมาเช่นนี้ เดี๋ยวจริงเดี๋ยวหลอก
เมื่อคิดว่าในร่างของตนมีเลือดที่ไม่ใช่ของตนอยู่ หลิวหลีก็รู้สึกไม่ดีนัก ไม่แปลกที่ตอนนั้นคนสกุลนั้นถึงเอาใจอย่างดี ในใจนางก็ยังระแวดระวังอยู่ เฮ้อ…ที่แท้ก็ไม่ใช่คนในสกุลเดียวกัน
ตอนเดินทางกลับท้องฟ้ามืดลงแล้ว หลิวหลียังคงแปะยันต์เร้นกายและกลับไปยังจวนอันชิ่งโหวนางเองก็ยังไม่รู้ชัดเจนนักแค่เดินตามกลิ่นอายไปจนถึงบ้านของหลี่หลิน เขายังไม่เข้านอนเพราะคิดไม่ถึงว่าเขาจะมีวันเช่นนี้ได้
เขานั่งถอดทอนใจอยู่บนโต๊ะหนังสือ เป็นเพราะตำแหน่งจึงดูแลรักษาตัวเองอย่างดี มองดูแล้วอายุไม่ถึงสี่สิบปี
หลิวหลีแกะผนึกยันต์เร้นกายออก ผ่านไปพักใหญ่หลี่หลินถึงพบว่ามีคนที่คุ้นหน้าคุ้นตายืนอยู่ตรงหน้าเขา สามารถผ่านเหล่าอารักขาในบ้านตนมาได้ จะต้องเป็นยอดฝีมืออย่างแน่นอน!
“ขอถามสหายท่านนี้ ท่านมาหาข้าด้วยเหตุอันใด” หลี่หลินถามอย่างนอบน้อม ตั้งแต่บุตรสาวกลายเป็นเซียนผู้เยาว์ ก็ไม่มีใครกล้ามีปัญหากับเขา
“หลี่หลิวหลี” หลิวหลีตอบไม่ตรงคำถาม
“หลี่หลิวหลี เจ้าคือหลิวหลีลูกสาวข้า” หลี่หลินตกใจ คิดไม่ถึงว่าบุตรสาวผู้ฝึกเซียนจะกลับมา อีกทั้งยังดูมีความสามารถไม่น้อย
“ใช่ และก็ไม่ใช่” หลิวหลีกล่าวพลางหาเก้าอี้มานั่ง
“เจ้าทำพ่อสับสนแล้ว” หลี่หลินขมวดคิ้วพูด
“ข้าจะไม่ปิดบังท่าน ตอนแรกแม่ของข้าตรวจดวงชะตาว่าท่านจะได้พบกับผู้บำเพ็ญถึงแต่งงานกับท่านเพื่อหยิบยืมสถานะ ตอนนั้นข้ารับปากท่านไว้สามเรื่อง วันนี้ข้ามาเพื่อทำตามคำมั่นสัญญา ท่านปรารถนาสิ่งใดให้ว่ามาเถิดเหมือนเฉกเช่นในปีนั้นเพื่อยุติพันธะกรรมที่ติดค้างกัน” หลิวหลีพูดอย่างตรงไปตรงมา
“มิน่า มิน่าเล่าตอนนั้นนางถึงเลือกข้า ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นเมียน้อยก็ไม่เสียใจ” หลี่หลินพูดพึมพำ
“บอกมาเถอะ ท่านต้องการสิ่งใด”
“ให้ข้าไตร่ตรองดูก่อน” หลี่หลินพูด เดิมทีจะเอาสามเรื่องที่ติดค้างไว้เป็นหลักประกัน อันที่จริงเขาตั้งใจจะวางแผนให้บุตรหลาน วันนี้จึงต้องไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อน
“ย่อมได้ ข้าจะอยู่ที่นี่สามเดือน นี่คือยันต์กระจายเสียง หากคิดดีแล้วก็ฉีกมันข้าจะรีบมาในทันที” หลิวหลีหยิบยันต์กระจายเสียงออกมาแล้วใช้พลังเซียนส่งให้หลี่หลินแล้วก็จากไป
หลี่หลินมองเก้าอี้ที่ว่างเปล่า และมองดูห้องที่ไม่มีอะไรแปลกไปจากเดิม บุตรสาวผู้นี้เก่งกาจนัก ใช่สิ…นางบอกว่านางไม่ใช่บุตรสาวของตน เขารู้ดีว่าเย่ว์เอ๋อร์มีความสามารถมาก ไม่คิดเลยว่าจะมากถึงขั้นนี้ เขาต้องไตร่ตรองเรื่องคำขอสามเรื่องให้ดี
หลิวหลีออกจากจวนของอันชิ่งโหวมาก็เดินเตร็ดเตร่ไร้จุดหมาย นางเคยเข้าวัง ฮ่องเต้ตอนนี้คือพี่สามของหลิงเฟิง ไอมังกรในร่างเขารุนแรงมากจะต้องเป็นฮ่องเต้ที่ดีแน่ ทั้งยังลอบเข้าไปในห้องเครื่องของพระองค์เพื่อศึกษาอาหารมาไม่น้อย จากนั้นก็เดินเตร็ดเตร่อีกครั้ง หลิวหลีไปเยี่ยมพ่อแม่ที่เลี้ยงนางมา ร่างกายพวกเขายังแข็งแรงดี ทั้งยังมีลูกเพิ่มอีกหลายคนถือว่ายังพอใช้ชีวิตไปได้ หลิวหลีไม่ได้ปรากฏตัวแต่ทิ้งทองไว้ร้อยตำลึงแล้วจากมา นางได้ยินเรื่องแปลกประหลาดในหมู่ชาวบ้านจึงเดินทางไป สภาพจิตใจก็ดีขึ้นไม่น้อย
ใช้ชีวิตเช่นนี้ไปเป็นเวลาเดือนครึ่ง หลิวหลีก็ได้รับยันต์กระจายเสียงจากหลี่หลิน สถานที่เดิม ตำแหน่งเดิม
“กล่าวมาได้เลย คำขอทั้งสามของท่าน”
“ท่านเซียน ข้าคิดออกเพียงสองเรื่อง อีกหนึ่งเรื่องโปรดขอให้ข้าได้ตรึกตรองดูก่อนอีกนิด” หลี่หลินพูดอย่างนอบน้อม เหมือนจะคุ้นชินกับบทบาทของตนเองแล้ว
“ว่ามาเถอะ ถึงอย่างไรก็มีเวลาสามเดือน”
“ขอรับ อย่างแรกข้าปรารถนาให้สกุลหลี่ของข้ารักษาสถานภาพขุนนางเป็นเวลาพันปี ท่านทราบดีว่าเป็นเพราะท่านเซียนถูกเลือกเป็นเซียนผู้เยาว์ สกุลหลี่ของข้าถึงได้เลื่อนขั้นจากพ่อค้ามาเป็นขุนนาง ข้าก็หาใช่คนโลภ ขอเพียงรักษาสถานภาพขุนนางให้ข้าหนึ่งพันปี” หลี่หลินเอ่ยขึ้นแต่แท้จริงกลับไม่มั่นใจนักว่าเซียนผู้เยาว์จะสามารถรักษาให้เพียงห้ารุ่นไม่เปลี่ยนแปลง แต่บัดนี้เขาขอมากกว่านั้น
“พันปีหรือ? ย่อมได้ ข้าจะต้องคอยตรวจดูสถานการณ์ของบุตรหลานเจ้าอย่างลับๆ” หลิวหลีพยักหน้า หากมีชะตาเซียนก็ว่ากันง่ายหน่อย แต่หากไร้ชะตาเซียนนางก็สามารถไปตรวจดวงชะตาของราชวงศ์ได้ ไปพูดคุยกับฮ่องเต้ดูสักหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไร
“เรื่องที่สองข้าหวังให้บุตรหลานรุ่นหลังของข้ามีโชคอย่างต่อเนื่อง” หลี่หลินรู้สึกว่าหากสามารถรับปากเรื่องแรกได้ เรื่องที่สองก็คงไม่เป็นปัญหาเช่นกัน
“ท่านช่างเป็นพ่อที่ดี เป็นปู่ที่ดียิ่งนัก ย่อมได้เช่นกัน ทว่าพวกเจ้าจำเป็นต้องให้ความร่วมมือด้วย จำต้องเป็นผู้ประพฤติดีปฏิบัติดี มีน้ำใจและมีเมตตาธรรม หากคนรุ่นหลังของเจ้ามีใจคิดคด เช่นนั้นต้องขออภัยหากข้อนี้จะเป็นโมฆะ ข้าจะทิ้งน้ำศักดิ์สิทธิ์ไว้ที่บ้านเก่าของเจ้า จะหยดเพียงหนึ่งหยดต่อวันเท่านั้น ทุกๆหนึ่งร้อยหยดจะสามารถเป็นยาอายุวัฒนะขจัดโรคภัยได้ทุกชนิด และมันจะหายไปเองหลังจากหนึ่งพันปี อีกประการหนึ่งที่แห่งนี้สามารถส่งต่อให้ได้เพียงแค่ผู้นำสกุลเท่านั้น หากให้คนนอกน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าให้ก็จะหายไปเช่นกัน ไตร่ตรองพรสุดท้ายให้ดีแล้วค่อยเรียกข้ามา” พูดจบหลิวหลีก็หายตัวไป
แท้จริงแล้วหลิวหลียังเดินวนต่ออีกรอบหนึ่ง นางจึงค้นพบว่าทุกคนล้วนมีคุณสมบัติร่างกายที่มิอาจบำเพ็ญเพียรได้
……………………………………………………….
คอมเม้นต์