แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 48 สุ่ยเจิ้นปัว
สุ่ยเจิ้นปัวได้ยินว่าบุตรสาวของตนกลับมากับนังหนูสกุลหู ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก นังหนูคนนี้ ไม่รู้หรือว่าคุณสมบัติร่างกายนางไม่สามารถเถลไถลไปไหนได้ ทำให้เหนื่อยใจจริงๆ เขาจึงส่งนกกระดาษไปให้บุตรชายว่าเขาไปพบบุตรสาว จะต้องสั่งสอนนางให้ดีเสียแล้ว
สุ่ยเจิ้นปัวมองลูกสาวที่แก้มแดงไปทั้งสองข้าง ตรงกลางมีชายหนุ่มเกะกะลูกตา ถึงจะอายุน้อยและหน้าตาดีกว่าเขา แถมมืออีกฝ่ายยังเกาะกุมลูกสาวสุดที่รักของตนไว้แน่น ถึงจะบอกว่าไม่ให้บุตรสาวออกจากบ้าน เพิ่งจะออกบ้านมาไม่กี่วันก็พาเจ้าเด็กนี่กลับมาที่บ้านด้วย สุ่ยเจินปัวมีความรู้สึกเพียงอย่างเดียวเท่านั้นนั่นก็คือเจ็บใจ!
“ท่านพ่อ” เมื่อสุ่ยหลิงเอ๋อร์เห็นบิดาของตน สีหน้าย่อมตื่นกลัวขึ้นโดยปริยาย
“ท่านลุงสุ่ย” หูเหม่ยอวี้เห็นสีหน้าเขียวคล้ำของสุ่ยเจิ้นปัว แย่แล้ว เป็นวันเกิดของท่านลุงสุ่ย
“ท่านลุงสุ่ย” หลิวหลีเห็นว่าในเมื่อเป็นบิดาของหลิงเอ๋อร์ นางจึงเรียกท่านลุงตามอีกฝ่าย
“ใครเป็นลุงเจ้า” สีหน้าสุ่ยเจิ้นปัวไม่ยินดีนัก เจ้าเด็กนี่ช่างไม่ไว้หน้ากันเลยจริงๆ
“ท่านเจ้าเมืองสุ่ย” หลิวหลีเปลี่ยนคำพูดอย่างลื่นไหล พูดไปแล้วก่อนนี้นางเคยพบเจ้าเมืองสุ่ยหรือไม่ เหตุใดถึงได้ทำเหมือนนางไปติดหนี้อะไรเขามากมายเสียอย่างนั้น
“ท่านพ่อ ลูกเจอน้องหลิวหลีตอนตามพี่อวี้ออกไปข้างนอก” สุ่ยหลิงเอ๋อร์พบความผิดปกติของบิดาตน จึงแนะนำเพื่อนอย่างกระตือรือร้น
“น้อง น้องสาว” สุ่ยเจิ้นปัวพบว่าสมองตื้อไป เจ้าเด็กที่ดูเป็นม้าดีดกะโหลกเช่นนี้เป็นผู้หญิงหรือ!
“หลิวหลีแห่งสำนักเมฆาคล้อย คาราวะท่านเจ้าเมืองสุ่ย”
“สำนักเมฆาคล้อย นี่เจ้าเป็นศิษย์ของใครในสำนักเมฆาคล้อยหรือ” สุ่ยเจิ้นปัวเคยอยู่สำนักเมฆาคล้อยระยะหนึ่ง เขาจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับผู้อาวุโสในสำนักและรู้จักศิษย์ของพวกเขาไม่น้อยเช่นกัน
“ข้าน้อยเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์เสวียนหั่ว”
“ใครนะ?” สุ่ยเจิ้นปัวรู้สึกว่าสมองตนเองผิดปกติ นังหนูนี่พูดว่าอาจารย์คือท่านเสวียนหั่ว
“ท่านเสวียนหั่ว”
สุ่ยเจิ้นปัวหมดคำพูด เจ้าเด็กนี่ใหญ่โตไม่เบา แย่แล้ว กริยาดูหมิ่นเมื่อครู่ของตนจะไปถึงหูของท่านผู้อาวุโสท่านนั้นหรือไม่
“ท่านพ่อ พวกเราเข้าไปนะเจ้าคะ” สุ่ยหลิงเอ๋อร์พอจะมองออกว่าบิดาตนเองผิดปกติไป
“ท่านลุง น้องหลิงเอ๋อร์ ข้าไม่เข้าไปแล้วกันขอตัวกลับบ้านก่อนแล้วกันนะเจ้าคะ “หูเหม่ยอวี้กล่าวลา อยากจะกลับไปโอ้อวดวิหคเพลิงของนางเต็มแก่
“ถ้าเช่นนั้นแม่หนูอวี้รีบกลับเถอะ บิดามารดาเจ้าคงเป็นห่วงเจ้ามาก” ทันทีที่หูเหม่ยอวี้ได้ยิน ก็รีบทำความเคารพและกลับบ้านไปทันที
“ท่านพ่อ ท่านยังไม่รู้ ว่าน้องหลิวหลีเก่งกาจอย่างยิ่ง นางเพิ่งจะอายุ 21 แต่พลังบำเพ็ญเพียรก็ไปถึงช่วงบำเพ็ญศีลระยะปลายขั้นสุดยอดแล้ว นางยังช่วยพี่อวี้จับวิหคเพลิงที่อยู่ในขั้นสูงกว่าอสูรภูตอัคคีมากกว่ามาก น้องหลิวหลียังพูดว่า หากเจออสูรภูตวารีที่เหมาะสมจะช่วยจับให้ข้า” สุ่ยหลิงเอ๋อร์พูดเจื้อยแจ้วให้บิดาของนางฟัง พูดแต่เรื่องของหลิวหลีไม่หยุดเอาจนสุ่ยเจิ้นปัวหันมองหลิวหลีหลายครั้งอย่างอดไม่ได้ สีหน้าหลิวหลีไม่เปลี่ยนแปลงปล่อยให้สุ่ยเจิ้นปัวมองตามอำเภอใจ
ณ บ้านสกุลหู หูเหม่ยอวี้คุกเข่ากลางห้องโถง รับการสั่งสอนจากผ้ใหญ่ในสกุล นังหนูคนนี้ชวนให้ปวดหัวจริงๆ
“น้องอวี้ ตัวเจ้าออกไปคนเดียวไม่เท่าไหร่ แต่เจ้ายังพาลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของท่านเจ้าเมืองไปอีก เราสกุลหูต้องชดใช้สิ่งของแก่ท่านเจ้าเมืองไปไม่น้อยเพราะเจ้า” หูเหม่ยหลินกระซิบกระซาบ ลูบอสูรภูตอัคคีในมืออย่างลิงโลด
“พี่หลิน ท่านลุงสุ่ยไม่ได้ตำหนิข้า ท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านแม่ คราวนี้ข้าไม่ได้ไปเสียเที่ยว ดูนี่สินี่คือสัตว์มงคล” หูเหม่ยอวี้ปล่อยวิหคเพลิงออกมาโอ้อวด
“วิหคเพลิง อสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับล่าง” คนในสกุลหูตกตะลึง หูเหม่ยหลินลูบวิหคเพลิงอย่างได้ใจ มันร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
“แม่หนูอวี้ เจ้าไปจับมาจากที่ใด” อสูรภูตประเภทนี้จับได้ยาก กำราบยากเช่นกัน
“เรียนท่านปู่ ข้าป็นคนผูกพันธสัญญา ณ หมู่บ้านเพลิงอัคคี ข้ากับน้องหลิงเอ๋อร์ไปเจอศิษย์สำนักเมฆาคล้อยเข้า นางช่วยข้ากำราบสัตว์อสูร ตอนนี้กำลังเป็นแขกอยู่ที่จวนท่านเจ้าเมืองเจ้าค่ะ”
“โห ทำไมศิษย์ของสำนักเมฆาคล้อยใจกว้างอะไรเช่นนี้ ให้นางช่วยจับวิหคเพลิงให้ข้าบ้างได้หรือไม่” หูเหม่ยหลินกล่าวริษยา
“เจ้าเป็นอะไรกับน้องหลิวหลี เหตุใดนางต้องช่วยเจ้าจับอสูรภูตด้วย” หูเหม่ยอวี้และหูเหม่ยหลินทะเลาะกันไม่ใช่แค่วันสองวันเท่านั้น เมื่อเห็นหูเหม่ยหลินพูดจาเหน็บแนม นางจึงย้อนในทันที
“พอแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะไปจวนเจ้าเมือง” หัวหน้าสกุลหูอี้เทียนตบโต๊ะพลางเอ่ย
หูเหม่ยอวี้เม้มปาก เก็บสัตว์มงคลของตนเอง ท่านปู่ลำเอียงจริงๆ
สุ่ยเจิ้นปัวรอจนบุตรชายคนโตสุ่ยหลิงกวงกลับมา
“กวงเอ๋อร์ น้องสาวเจ้ารู้จักคนมากความสามารถ ลูกศิษย์ของท่านเสวียนหั่วที่ชื่อเสียงโด่งดังแต่ไม่เคยพบกันมาก่อน ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นสหายของน้องเจ้า” สุ่ยเจิ้นปัวกล่าวอย่างชื่นชม
“น้องช่างโชคดียิ่งนัก “สุ่ยหลิงกวงเอ่ยต่อ
“เจ้าเองก็รู้ว่าคุณสมบัติร่างกายของนางมีภัยที่หลับใหลอยู่” พูดถึงคุณสมบัติร่างกายของลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน สุ่ยเจิ้นปัวก็เงียบขรึมลงไป
“ต้องมีวิธีแก้แน่” สุ่ยหลิงกวงเอ่ยได้เพียงเท่านี้
“รู้สึกว่าหญิงสาวที่นามว่าหลิวหลีจะเป็นผู้มีคุณของนาง” สุ่ยเจิ้นปัวพูดมุมมองตัวเองออกมา
“เหตุใดท่านพ่อจึงคิดเช่นนี้ เพิ่งพบกันเท่านั้น” สุ่ยหลิงกวงไม่เข้าใจอย่างยิ่ง
“ลูกเอ้ย ตอนนี้บิดาเจ้าก็อายุสามร้อยกว่าปีแล้วพลังบำเพ็ญเพียรยังไม่ผ่านช่วงปราณก่อนกำเนิดระยะกลางเลย รวบรวมแกนลมปราณก็ใช้เวลาไปร้อยกว่าปี แต่เด็กชื่อหลิวหลีนั่นอายุเพียงยี่สิบเอ็ดปีเท่านั้นนางก็เข้าสู่ช่วงบำเพ็ญศีลระยะปลายขั้นสุดยอดแล้ว นางสามารถทะลวงผ่านช่วงอมตะได้ทุกเวลา พื้นฐานนางมั่นคงแข็งแรง ไม่ใช่เรื่องเกินจริงแม้แต่น้อย” สุ่ยเจิ้นปัวยากที่จะชมผู้ใด
“กวงเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าอายุห้าสิบปี เพิ่งจะอยู่ในช่วงบำเพ็ญศีลระยะกลางเท่านั้น อีกทั้งไม่มีวี่แววที่จะไปสู่ระยะปลายเลยด้วยซ้ำ กวงเอ๋อร์ เจ้าว่าหากเจ้าจะเข้าสู่ช่วงอมตะจะต้องใช้เวลานานเท่าใด?” สุ่ยเจินปัวย้อนถาม
“ท่านพ่อ พูดไปก็ละอายใจ ลูกคาดว่าจะเข้าสู่ช่วงอมตะคงต้องใช้เวลาอีกแปดสิบปี” สุ่ยหลิงกวงรู้สึกละอายใจน้อยๆ
“เจ้าลูกชาย เจ้าก็รู้เรื่องคุณสมบัติร่างกายของน้องสาวเจ้าดี นางมีคุณสมบัติเป็นเตาหลอมที่ยอดเยี่ยม ในเมืองต้าเย่ ข้ายังพอจะสามารถปกป้องน้องสาวเจ้าได้ แต่นกน้อยที่ถูกจองจำนั้นไม่สามารถโบยบินไปไหนได้ คนที่เก่งกว่าข้าก็จะเห็นพื้นฐานร่างกายนาง ข้ากังวลนักเมื่อนางออกไปข้างนอกแล้วจะถูกคนชั่วช้าจับไปเป็นเตาหลอม” พูดถึงตรงนี้แล้วสุ่ยเจิ้นปัวก็รู้สึกเหมือนหัวใจแตกสลาย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เขาสามารถฝึกฝนจนไปจนบรรลุไปถึงช่วงปราณก่อนกำเนิดระยะปลายได้แล้ว แต่เพราะกังวลเรื่องนี้ทำให้ไม่พัฒนาไปเสียที
“ท่านพ่อ” สุ่ยหลิงกวงพูดได้เพียงเช่นนี้
“ลูกชาย เจ้ารู้หรือไม่ ตอนนี้นังเด็กสกุลหูได้ครอบครองวิหคเพลิงแล้ว”
“ข้าเพิ่งจะรู้นี่เอง” หางนังหนูสกุลหูแทบจะชูไปถึงบนฟ้าเสียแล้ว
“เป็นนังเด็กหลิวหลีช่วยจับให้นาง นังหนูคนนี้ไม่แยแสอสูรภูตอัคคีเสียด้วยซ้ำ แปลว่าอย่างน้อยๆอสูรภูตของนางจะต้องเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ หรืออาจจะเป็นอสูรเทพ” สุ่ยเจิ้นปัวเอ่ยการคาดเดาของตนเอง สุ่ยหลิงกวงอึ้งไป เด็กคนนี้ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ
“ดังนั้นท่านพ่อจึงคิดว่านางจะช่วยน้องได้” สุ่ยหลิงกวงจับประเด็นได้ทันที
“ถูกต้อง” บุตรชายที่เลี้ยงดูเพื่อเป็นผู้สืบทอด สุ่ยเจิ้นปัวค่อนข้างจะพอใจ ที่พูดเพียงเล็กน้อยก็สามารถเข้าใจความต้องการของตนเอง เรื่องนี้ไม่สามารถบอกคนในสกุลได้ หากมีคนล่วงรู้เรื่องคุณสมบัติร่างกายของหลิงเอ๋อร์ล่ะก็ คาดว่านางจะถูกมองเป็นสิ่งที่สร้างประโยชน์ให้แก่คนในสกุล
“ท่านพ่อ ข้าจะผูกมิตรกับผู้ถูกเลือกคนนี้ให้ดีๆ” สุ่ยหลิงกวงเอ่ย หากอีกฝ่ายมีความสามารถมากจนตนพอใจ จะผูกสัมพันธ์เป็นทองแผ่นเดียวกันก็ไม่เลว จำต้องยอมรับว่าความคิดนี้ไม่เลวเลยจริงๆ
คอมเม้นต์