แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 64 สมาชิกครอบครัวคนใหม่
หลิวหลีเดินอยู่ในเรือนที่แม่นางเคยอยู่ ลูบหน้าอกตัวเอง ตรงนั้นคือที่ที่มารดาอยู่ในตอนนี้ เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย หลิวหลีก็รู้ว่าตานางจะต้องรักมารดานางมากแน่
“นังหนู เจ้าสำเร็จแน่นอน” เอ๋าเลี่ยเห็นหลิวหลีเศร้าสร้อย จึงอดที่จะพูดขึ้นไม่ได้
“ข้าก็รู้สึกว่าข้าทำได้ แต่อาเลี่ยพวกเราควรจะหาเพลิงอัคคีอันต่อไปที่ไหนดี” หลิวหลีรู้สึกแค่เพียงว่าตัวเองจะต้องรีบหาเพลิงอัคคีชนิดต่อไปให้เจอโดยเร็ว เพื่อที่จะได้แข็งแกร่งขึ้น
“ไม่รู้เหมือนกัน ในเมื่อสวรรค์ให้เจ้าฝึกเคล็ดวิชานี้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะต้องเจอเพลิงอัคคีอีกแน่” เอ๋าเลี่ยอธิบาย เพียงแต่ว่าเพลิงอัคคีที่นังหนูต้องการค่อนข้างพิเศษ คือจำเป็นต้องใช้เพลิงอัคคีในธาตุที่ต่างกันออกไป พอเป็นเช่นนี้สุดท้ายแล้วจะกลายเป็นแกนวิญญาณอัคคีที่หลากหลายด้วย เอ๋าเลี่ยคิดแล้วพูด
“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น” หลิวหลีรู้สึกถึงความเร่งด่วนที่ตัวเองจำเป็นต้องสร้างความแข็งแกร่งโดยเร็ว
ณ ดินแดนขั้วโลกเหนือ หนานกงเวิ่นเทียนผู้มีสีหน้าเย็นชายืนอยู่บนยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ ข้างๆคือเฟิ่งอิงเสวี่ยในชุดสีขาวสะอาดตา
“เวิ่นเทียน พวกเราควรกลับได้แล้ว” เฟิ่งอิงเสวี่ยพูดขึ้น
“จริงด้วย ลองคำนวนเวลาดูแล้ว การประลองระหว่างสกุลกำลังจะเริ่มขึ้น ข้าก็ควรจะกลับไปสะสางชำระเรื่องเก่า” หนานกงเวิ่นเทียนพูดขึ้น แน่นอนว่าเขาไม่มีทางลืมสิ่งที่ตัวเองต้องเจอในช่วงหลายปีมานี้ หนานกงเวิ่นเทียนควรจะกลับไปชำระความได้แล้ว
หลงจิ่งอู๋ หลงจิ่งหนาน หลงจิ่งหลิน ได้ยินข่าวจากท่านพ่อก็รู้สึกตื่นเต้นมาก หลงจิ่งหลินตื่นเต้นน้อยหน่อย เพราะเขาเคยเจอหลิวหลีมาบ้างแล้ว
ตกกลางคืน ตอนพวกเขาทั้งสามไปยังเรือนรับรองที่น้องสาวเขาเคยอาศัยอยู่ ก็เห็นหลิวหลีที่นำแถบผ้าคาดผมมามัดผมเอาไว้ ท่าทางแบบนั้น
“น้องน้อย” หลงจิ่งอู๋กับหลงจิ่งหลินพูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
“เอ่อ? พวกท่านคือลุงจิ่งอู๋กับลุงจิ่งหนาน คารวะเจ้าค่ะ ข้าคือหลิวหลี ลุงจิ่งหลินไม่เจอกันนานเลยนะเจ้าคะ” หลิวหลีเห็นชายวัยกลางคนสามคนเดินเข้ามา พูดขึ้นด้วยความตื่นเต้น
“ดีดีดี” หลงจิ่งอู๋พูดคำว่าดีออกมาสามคำ
“นังหนู เริ่มกินได้แล้วใช่ไหม” เอ๋าเลี่ยที่ยืนพิงประตูอยู่พูดขึ้น
คนที่ให้ความรู้สึกที่น่าเกรงขามคนนี้ จะใช่คนที่ท่านพ่อบอกว่าคือเทพแห่งสงครามของเผ่ามังกรเอ๋าเลี่ยใช่หรือไหม
“อืม ได้แล้วล่ะ อาเลี่ย เจ้ากินให้น้อยหน่อย ไหนบอกว่ายอดฝีมือไม่จำเป็นต้องกินอาหารเข้าไปเยอะไม่ใช่หรอ” หลิวหลีเอ่ยกับเอ๋าเลี่ยอย่างเหนื่อยหน่าย นี่ไม่ใช่งานเลี้ยงต้อนรับของนางหรอกหรือ
“นังหนู อย่าเอามุกนี้มาใช้กับข้า อีกอย่าง เลิกซนได้แล้ว” เอ๋าเลี่ยย่นจมูกใส่ นังหนูคนนี้เลิกกวนสักทีจะได้ไหม
“อ้าว ถูกจับได้แล้วหรอ” หลิวหลีแลบลิ้นใส่ด้วยความซุกซน
“ท่านลุง พวกเราไปกันเถอะ” หลิวหลีเดินทางออกไปก่อน เอ๋าเลี่ยเคาะหัวของหลิวหลีเบาๆ บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองออกจะ…
“พี่ใหญ่ ทำไมข้ารู้สึกเหมือนนังหนูกับผู้อาวุโสเอ๋าเลี่ยเป็นคู่รักกัน” หลงจิ่งหนานพูดขึ้นพลางมองคนทั้งสอง
“ไม่หรอก ข้ารู้สึกว่ามันคือความประคบประหงมของผู้อาวุโส” หลงจิ่งหลินพูดพลางส่ายหัว
“รีบไปเถอะ เดี๋ยวอีกครู่หนึ่งก็จะไม่มีอะไรเหลือแล้ว” น้องชายโง่งมสองคน ไม่ได้กลิ่นหอมลอยมาหรืออย่างไร คาดว่าอีกครู่หนึ่งคงจะไม่เหลือสักหยดแล้ว นานครั้งจะได้มากินข้าวร่วมโต๊ะกับหลานสาว น้องชายเบาปัญญาทั้งสองจะทำเสียเวลาไปถึงไหน!
เมื่อเห็นพี่ใหญ่ของตนเดินไป ทั้งสองก็ประสานสบตา แล้วก็รีบเดินตามไป
ภายในห้องเงียบสงบอย่างผิดปกติ ทุกคนต่างก็กำลังกิน ชักจะอร่อยมากเกินไปแล้ว คนท้ัง 4 มองดูเอ๋าเลี่ยที่กินอาหารด้วยความสง่างามและรวดเร็วชวนตกใจ อาหารที่มีพลังเซียนเช่นนี้ นับว่าท่านปรมาจารย์ช่างโชคดีนัก
“นังหนู เจ้ามีความมั่นใจในการประลองครั้งนี้ไหม?” หลงจิ่งอู๋ถาม。
“มีแน่นอนอยู่แล้ว” หลิวหลีมั่นใจเต็มที่ เดิมไม่ได้มีความมั่นใจขนาดนี้ เกรงว่าสู้ไม่ได้คงต้องใช้เพลิงอัคคี แต่เมื่อกลับมาจากเผ่ามังกรแล้ว หลิวหลีก็มีความมั่นใจขึ้นมาก พลังบำเพ็ญเพียรช่วงอมตะของนางก็มั่นคงขึ้น ร่างกายนางตอนนี้แข็งแกร่งเท่ากับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับกลาง อีกทั้งข้อได้เปรียบของนางคือนางเป็นนักปรุงยา ถ้าไม่ไหวขึ้นมาจริงๆก็ใช้ยาพิษจัดการเขาให้ตายๆไปเสีย ตอนนี้เพลิงอัคคีถือเป็นไม้ตายของนาง
“มั่นใจขนาดนั้นเลย?” หลงจิ่งอู๋เลิกคิ้ว หลานสาวช่างไม่ถ่อมตัวเลยจริงๆ อย่างนี้สิถึงจะเหมือนกับคนบ้านสกุลหลงหน่อย
“ท่านลุงใหญ่ ข้าไม่ได้ชมตัวเองนะ แต่ผู้บำเพ็ญที่อยู่ในช่วงปราณก่อนกำเนิดระยะกลางไม่ใช่คู่แข่งของข้า ช่วงปราณก่อนกำเนิดระยะปลาย หากข้าใช้เพลิงอัคคีก็พอจะสู้ได้อยู่” ยิ่งไปกว่านั้นคือนางมีเพลิงอัคคีตั้ง 3 ชนิด
“นังหนู เจ้ามีคู่หมั้นหมายหรือยัง” หลงเหวินเซวียนถามขึ้น
“ยังไม่มีเจ้าค่ะ” หลิวหลีส่ายศีรษะ แต่ในหัวกลับคิดว่าหนานกงเวิ่นเทียนอยู่ที่ไหน
“นังหนู เจ้าคิดว่าชายหนุ่มบ้านสกุลหลงเป็นอย่างไรบ้าง?” หลงเหวินเซวียนลองคำนวนอัตราส่วนที่จะรั้งหลิวหลีให้อยู่ต่อ
“แค่ก แค่ก ท่านตาเพื่อความปลอดภัยของคนสกุลหลง ข้าว่าอย่าเลย” การเรียกท่านตาก็เหมือนจะไม่ได้ยากขนาดนั้น
“นังหนู ชายหนุ่มบ้านสกุลหลงรูปงามทำไมหรือ?” หลงเหวินเซวียนอึ้งไปกับคำว่าท่านตา แต่ก็ยังถามอีกสักหน่อย ชายหนุ่มในสกุลหลงของเขาเป็นที่หมายปองของสาวๆมากทีเดียว
“ท่านตา ข้าคือร่าง้ะลิงสุริยา ท่านอยากจะให้ชายหนุ่มพวกนั้นต้องจากไปก่อนวัยอันควรหรือเจ้าคะ” นางเป็นธาตุหยางล้วน คิดจะเติมเชื้อเพลิงเช่นนั้นหรือ
“เอ่อ” เรื่องนี้เขาลืมไปแล้วจริง ๆ
“ถ้าอย่างนั้นนังหนู เจ้าจะต้องโสดไปจนแก่แล้วล่ะ” หลงจิ่งหลินพูดด้วยความเสียดาย
“คงไม่ถึงขนาดนั้นเจ้าค่ะ” หลิวหลีพูดพลางเท้าคาง ตอนนี้นางกับหนานกงเวิ่นเทียนยังอยู่ในช่วงคุยๆกัน ไม่แน่ว่าอนาคตอาจได้อยู่ด้วยกันก็ได้
“ใครกัน?” 3 พี่น้องพูดขึ้นมาพร้อมกัน พวกเขาจะต้องลองไปตรวจสอบดูให้ดี ๆ
“เรื่องนี้น่ะเป็นความลับเจ้าค่ะ” ใครจะไปรู้อนาคตล่ะ ค่อยพูดแล้วกัน เอ๋าเลี่ยย่อมรู้ว่าคือเด็กหนุ่มน้ำแข็งคนนั้น เมื่อครู่เขาได้ติดต่อกับอิงเสวี่ยโดยใช้ช่องทางการติดต่อพิเศษของอสูรเทพ หนานกงเวิ่นเทียนใกล้จะกลับมาแล้ว อีกไม่นานก็จะมาถึงบ้านสกุลหนานกง ครั้งนี้มีเรื่องสนุกๆแน่ ยังไม่บอกนังหนูดีกว่า นางจะได้ประหลาดใจ
ไม่ว่าทั้ง 3 พี่น้องจะหลอกล่ออย่างไร หลิวหลีก็ไม่ยอมบอก ทำให้ทั้ง 3 เกิดไม่ชอบหน้าเด็กหนุ่มที่ยังไม่ทันได้เอาตัวนังหนูไปเลยด้วยซ้ำ หลงจิ่งหลินพอจะรู้อะไรอยู่บ้าง จึงร้องโอดโอยมั่วๆไปอย่างนั้น เหมือนเขาจะเคยบอกท่านพี่และท่านพ่อไปแล้วกระมัง คาดว่าพวกเขาคงลืม รอดูต่อไปละกัน คิดจะมาเอาตัวองค์หญิงของพวกเขาไป มันไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น
“นังหนู นี่คือป้ายแสดงสถานะของเจ้า” หลงเหวินเซวียนมอบป้ายหยกรูปมังกรให้หลิวหลี
หลิวหลีมองดูหยกรูปมังกรแล้วก็รู้สึกปวดหัว มันทำให้นึกถึงมิติล้างผลาญของนางอันนั้น นางไม่เอาได้ไหม แต่เมื่อเห็นสีหน้าคาดหวังของหลงเหวินเซวียน ช่างเถอะ เก็บไว้ก็ได้ เคยล้างผลาญไปแล้วหนึ่งครั้ง ไม่สนใจหรอกหากมันจะเกิดเป็นครั้งที่สอง หลิวหลีรับป้ายแสดงสถานะของตัวเองมา ข้างบนมีเขียนว่า หลงหลิวหลี เป็นของนาง ใช่แล้ว ทำไมหยกของท่านแม่ถึงไม่มีตัวอักษรล่ะ นี่มันผิดปกตินี่นา! จากนี้ค่อยถามละกัน ตอนนี้หยกกลายเป็นรอยสักของนางไปแล้ว จะเอาออกมาก็เอาออกมาไม่ได้ ลืมเรื่องนี้ไปก่อนจะดีกว่า
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านตา เมื่อมีของชิ้นนี้ข้าก็สามารถเข้าร่วมการประลองภายในสกุลได้แล้วใช่ไหมเจ้าคะ”
“ใช่แล้ว มีคนเข้าร่วมประลองทั้งหมด 33 คนแต่จะมีเพียงแค่ 10 อันดับแรกเท่านั้นที่จะสามารถเข้าร่วมการประลองระหว่างสกุลได้” หลงจิ่งอู๋กล่าว
“10 อันดับแรกก็ได้แล้วเหรอเจ้าคะ” หลิวหลีลองคำนวน ขอเพียงแค่ได้เข้าร่วมก็พอ เรื่องอันดับไม่สำคัญ
“คนที่ได้ที่หนึ่งจะได้เป็นผู้นำของผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด” หลงจิ่งหนานพูดปลุกกำลังใจ แต่เขากลับไม่รู้ว่าหลานสาวของเขาไม่ได้คิดที่จะเอาอันดับหนึ่งเลยแม้แต่น้อย
“อ่อ เจ้าค่ะ” นางไม่เอาที่หนึ่งหรอก ในฐานะที่เป็นคนนอก พวกเขาต้องตัดนางออกแน่ อีกทั้งตัวนางเองก็ไม่คิดที่จะไปเป็นผู้นำอะไรอยู่แล้ว คิดว่าตอนนี้บ้านสกุลหลงน่าจะรับรู้การมีตัวตนของนาง น่าจะต้องถูกเพ่งเล็งแน่ ในใจของหลิวหลีก็เริ่มวางแผนรับมือ
หลงเหวินเซวียนกลับรู้สึกพอใจอย่างมาก ถ้าทุกคนเป็นเหมือนหลานสาวของเขาก็ดีสิ ไม่ต้องพึ่งพาคู่พันธสัญญาเพื่อคว้าชัยชนะ
เอ๋าเลี่ยก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง นังหนูคนนี้ตั้งแต่ต่อสู้ก็ไม่เคยเรียกเขาออกมาสู้ด้วยเลยสักครั้ง เดาว่าคงจะยังไม่มีความรู้สึกนั้นกระมัง
…………………………………………
ตอนที่ 65 ไม่มีนะครับ
คอมเม้นต์