แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 178 ท่านปรมาจารย์หลิวหลี
“ช่างน่าขัน ข้าจำเป็นต้องขโมยด้วยหรือ ของพวกนี้ข้าแค่โบกมือก็มีคนมอบให้ข้าแล้ว” มั่วหลีเหยียดหยาม เพียงแค่ท่านพ่อท่านแม่ไม่ให้นางรับก็เท่านั้นเอง
“สิบแปดมงกุฏ หัวขโมย” ซุนหลิงกับหยางชุ่ยตะโกนขึ้นมาพร้อมกัน
“ข้าไม่ใช่ ของพวกนี้เป็นของข้า” มั่วหลีตะโกน นางสาบานในใจ ความอับอายในวันนี้ นางต้องเอาคืนแน่นอนในสักวัน
“หลี่มั่ว ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว ในเมื่อเจ้าไม่ยอมพูดความจริง ก็อย่าหาว่าข้าใจร้ายแล้วกัน” หวงฉีมองเด็กสาวที่เขาเข้าใจว่าเป็นสิบแปดมงกุฎด้วยความเสียดาย
หลิวหลีกำลังจิบชาอยู่กับอาจารย์ตนเอง อยู่ๆก็สัมผัสได้ถึงบางอย่าง พริบตาเดียวก็หายตัวไป ทิ้งเสวียนหั่วไว้คนเดียว
พลังเซียนของหวงฉีกำลังจะปะทะตัวมั่วหลี ทันใดนั้นก็มีแสงกระแทกตัวหวงฉีกระเด็นออกไปเป็นร้อยเมตร แล้วคนท่าทางสง่างามก็ปรากฏตัวขึ้น อุ้มมั่วหลีไว้ด้วยใบหน้าเย็นชา
“บอกมาใครรังแกเจ้า” หลิวหลีหัวเสีย น้องสาวนาง นางยังไม่กล้าตีแม้แต่ครั้งเดียว แต่กลับมีคนมารังแกนาง ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วใช่หรือไม่ ยิ่งเห็นคราบเลือดตรงมุมปากของนาง ก็ชวนให้โมโหมากยิ่งขึ้น
“ฮือ อึก ฮือ ฮือ ท่านพี่มีคนรังแกข้า แถมยังแย่งแหวนเก็บของที่ท่านแม่ให้ข้าไป กล่าวหาข้าเป็นสิบแปดมงกุฎ เป็นหัวขโมย” ทันทีที่นางมั่วเห็นพี่สาว ก็วิ่งเข้าไปกอดนางแล้วคร่ำครวญ
“หึ กล้ารังแกน้องสาวข้า แล้วยังจะแย่งนาง ข้าอยากจะรู้ใครกันที่กล้าขนาดนี้”
การปรากฏตัวของหลิวหลี ทำให้ทุกคนทรุดตัวคุกเข่าลง พลังที่รุนแรงทำให้พวกเขาตัวสั่นงก ไม่กล้าแม้แต่จะถอนหายใจแรงๆออกมา ใครจะรู้ว่าหลี่มั่วที่ดูเหมือนเด็กกำพร้าไม่ได้โกหก นางมีพี่สาวจริงๆ แถมเป็นพี่สาวที่ทรงพลังนัก ยังไม่ทันได้ลงมือ ผู้ดูแลก็กระเด็นออกไปไกลเป็นร้อยเมตรแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น ใครก่อเรื่องอะไรในสำนัก?” คนจากหอคุมกฏได้ยินเสียงเอะอะจึงรีบรุดมา ตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อนที่ถูกหลิวหลีเย้ยหยัน หอคุมกฎก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ผู้คุมหอคุมกฎคนใหม่เที่ยงตรงยิ่งกว่าผู้ใด คนที่มาเป็นผู้คุมคนหนึ่งในหอคุมกฎ มีความเที่ยงตรงไม่ต่างจากหัวหน้าผู้คุมหอ เขานามว่า เว่ยเจิง
เว่ยเจิงมองเด็กหนุ่มที่อุ้มเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขนด้วยความรู้สึกคุ้นตา แล้วมองมุมปากที่ยกเย้ยหยันเสมือนหนึ่งเคยรู้จักกันมาก่อน นึกอยู่นาน เว่ยเจิงก็รีบร้อนคุกเข่า เมื่อเขาคุกเข่าสมาชิกหอคุมกฏทุกคนก็ทำตามทันที แต่สับสนไปว่าหัวหน้าพวกเขาเป็นอะไรไป หรือคนผู้นี้จะมีสถานะสูงส่งหรือ
“สมาชิกหอคุมกฏเว่ยเจิง คารวะ ท่านปรมาจารย์หลิวหลี” เว่ยเจิงตื่นเต้นเล็กน้อย เขาได้เจอกับต้นแบบของเขาแล้วจริงๆ
“ท่านปรมาจารย์หลิวหลี” เมื่อชื่อนี้หลุดออกมา ทุกคนต่างตื่นตกใจ นี่คือผู้ถูกเลือกอันดับหนึ่งปรมาจารย์หลิวหลีหรือนี่ คิดไม่ถึงว่าพวกเขาได้เห็นตัวเป็นๆ แต่มีคนเพียงสองคนเท่านั้นที่หน้าซีดเผือด เนื้อตัวสั่นเทิ้ม พวกเขาหาเรื่องน้องสาวของท่านปรมาจารย์หลิวหลี ไม่เคยได้ยินว่าปรมาจารย์ท่านนี้จะมีน้องสาวอยู่ที่สำนักนอก น้องสาวผู้นี้ช่างถ่อมตัวจริงๆ
หยางชุ่ยตัวสั่นเทิ้มไป เมื่อนึกถึงคำพูดที่มั่วหลีพูดกับนาง นางบอกว่าท่านปรมาจารย์หลิวหลีไม่มีวันเลือกนางเป็นศิษย์ ตอนนั้นนางแค่ฟังผ่านๆ ถึงจะไม่พอใจ แต่ก็นึกว่ามั่วหลีเพียงจิกกัดเท่านั้นเอง ใครจะไปคิดว่านางเป็นน้องสาวของท่านปรมาจารย์หลิวหลี
“ลุกขึ้นเถอะ เจ้าจำข้าได้ ไม่กลัวว่าจะจำคนผิดหรือ?” หลิวหลีมองเว่ยเจิงด้วยความสนใจ คนผู้นี้มีชื่อเดียวกับขุนนางตงฉินในสมัยของจักรพรรดิถังไท่จง ไม่รู้ว่าทั้งสองจะมีลักษณะคล้ายกันหรือไม่
“เรียนท่านปรมาจารย์หลิวหลี ตอนนั้นข้าโชคดีได้ฟังบรรยายของท่าน ทำได้ความรู้กลับมาไม่น้อย” เว่ยเจิงพูดอย่างตื่นเต้นน้อยๆ
“เช่นนั้นหรือ ข้าจำได้ว่าข้าไม่ได้พูดอะไรเลย” หลิวหลีรู้สึกว่าตัวเองไม่ทำให้คนอื่นออกนอกลู่นอกทางก็พอแล้ว
“ไม่เลย มิได้ สิ่งที่ท่านปรมาจารย์พูดล้วนมีความหมาย ข้าปฏิบัติตามคำสอนของท่าน ก็เจอข้อผิดพลาดที่เคยมองข้ามไป พลังบำเพ็ญเพียรก็มั่นคงขึ้นมาก ทำให้สามารถแตะขอบพลังของช่วงต่อไปได้อย่างง่ายดาย” เว่ยเจิงพูดอย่างตื่นเต้นต่างจากปกติที่มักเป็นคนเงียบไม่พูดจา
“รู้สึกว่าได้ประโยชน์ก็ดี ใช่แล้ว พวกท่านมาที่นี่ด้วยสาเหตุอันใด” หลิวหลีมองสมาชิกของหอคุมกฏ ตนเองทำอะไรลงไป พวกหอคุมกฏถึงได้แห่มา
“อ้อ เมื่อครู่เห็นคนผ่านมา จึงมาตรวจสอบดู ไม่ทราบว่าท่านปรมาจารย์หลิวหลีมาที่นี่ด้วยสาเหตุอันใด อีกอย่าง เด็กในอ้อมแขนของท่านคือ…” ไม่เคยได้ยินว่าท่านปรมาจารย์หลิวหลีแต่งงานแล้ว
“นี่น่ะหรือ ข้าสัมผัสได้ว่าหยกคุ้มครองที่ข้าให้น้องสาวไว้เกิดขยับไหว ข้าจึงมาที่นี่ แต่ยังไม่ได้ถามให้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น” นางรู้แค่มีคนรังแกน้องสาวนาง แต่ยังไม่ได้รายละเอียด
“พวกเจ้ามีใครบอกได้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น?” เว่ยเจิงถามกลุ่มลูกศิษย์ในช่วงฝึกฝนลมปราณ ผลคือทุกคนตัวสั่นราวกับลูกนก ไม่มีใครกล้าตอบ หลิวหลีนึกถึงคนที่ถูกตนเองกระแทกออกไป จึงออกแรงดึงที่มือ ดึงให้หวงฉีกลับมา
“ตอนข้ามา คนผู้นี้คิดจะลงมือทำร้ายน้องสาวข้า ถามเขาแล้วกัน” หลิวหลีชี้หวงฉีที่ยังไม่ได้สติ เอ่อ เหมือนนางจะออมมือแล้ว หรือเกิดข้อผิดพลาดกันนะ นางดีดนิ้วเบาๆ แล้วพลังลูกหนึ่งก็ลอยเข้าตัวหวงฉี หวงฉีค่อยๆ ได้สติ เขามองหลิวหลีอย่างหวาดกลัว คนผู้นี้เป็นใคร อายุก็น้อยแต่ทำไมจึงมีพลังบำเพ็ญเพียรที่แกร่งกล้าเช่นนี้
“เจ้าฟื้นแล้วหรือ ข้าคือสมาชิกหอคุมกฎเว่ยเจิง ไหนเจ้าลองบอกหน่อย เพราะเหตุใดเจ้าจึงต้องลงมือกับน้องสาวของท่านปรมาจารย์หลิวหลี” เว่ยเจิงเห็นว่าเขาฟื้นได้สติจึงรีบเอ่ยปากถาม
“น้องสาวของท่านปรมาจารย์หลิวหลี ข้าไม่เคยเห็นนางมาก่อน หรือหลี่มั่ว” หวงฉีพูดจบก็เห็นคนอายุไม่มากผู้หนึ่งอุ้มมั่วหลีอยู่ แล้วเมื่อย้อนนึกถึงคำพูดของเว่ยเจิงเมื่อครู่ ท่านปรมาจารย์หลิวหลีหรือ คนผู้นี้คือท่านปรมาจารย์หลิวหลี ถ้าเช่นนั้น น้องสาวของท่านปรมาจารย์หลิวหลี หวงฉีตกใจจนเหงื่อท่วมตัว ถ้าอย่างนั้น หากคนผู้นี้คือท่านปรมาจารย์หลิวหลี พี่สาวของหลี่มั่วคือปรมาจารย์หลิวหลี ล่ะก็ เช่นนั้นเรื่องที่นางมีพี่สาวเป็นนักปรุงยาก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าประหลาดใจ อีกอย่าง เรื่องที่หลี่มั่วบอกว่าพวกเขาไม่สมควรจะได้เห็นพี่สาวของนาง นางก็พูดถูกแล้ว แสดงว่าตอนนั้นอาจารย์อาจื่ออีแต่งเรื่องเพื่ออำพรางสถานะของหลี่มั่ว
“รายงานท่านปรมาจารย์ รายงานหอคุมกฎ ข้าน้อยหวงฉีเป็นผู้ดูแลที่นี่ เมื่อเช้าหยางชุ่ยมาบอกกับข้าน้อยว่าหลี่มั่วมีแหวนเก็บของ อีกทั้งมียาผงจำนวนมาก ข้าน้อยก็เลยมีความคิดไม่ดีขึ้นมา ใครจะไปเชื่อว่าลูกศิษย์ช่วงฝึกฝนลมปราณจะมียาผงจำนวนมากขนาดนี้ ข้าน้อยจึงยึดแหวนเก็บของของหลี่มั่วมา พบว่าด้านในมียาผงจำนวนมาก แล้วก็ยังมีหินวิญญาณชั้นเลิศอีกด้วย แล้วไม่ว่าลูกศิษย์จะถามหลี่มั่วอย่างไร นางก็ไม่ตอบ ข้าถึงได้ลงไม้ลงมือ ก่อนที่ข้าน้อยจะมาถึง ซุนหลิงกำลังหาเรื่องหลี่มั่วอยู่” หวงฉีรู้ว่าตัวเองหนีไม่พ้นแน่ จึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมา ใครเป็นคนรายงาน ใครด่าว่าหลี่มั่ว ก็พูดออกมาหมด เพียงแค่หวังว่าท่านปรมาจารย์จะเมตตา
“มั่วหลี สิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริงหรือไม่” หลิวหลีถามน้องสาวในอ้อมแขน
“คือเรื่องจริงเจ้าค่ะ แต่เสี่ยวหู่ก็ช่วยข้าไว้เช่นกัน” มั่วหลีหยุดร้องไห้ แล้วเอนกายอยู่ในอ้อมแขนของหลิวหลี
“เสี่ยวหู่?” เป็นใครกันอีก? เพื่อนของน้องสาวงั้นหรือ
“ข้าน้อยหยางจิงหู่ คารวะท่านปรมาจารย์หลิวหลี” หยางจิงหู่นึกไม่ถึงเลยว่าสหายของตัวเองจะมีสถานะสูงส่งเช่นนี้
“จิงหู่?” น่าสนใจ เหมือนจะเป็นคนสกุลฮัว แต่แซ่หยาง
“ใช่ คือเสี่ยวหู่”
“หยางชุ่ยกับซุนหลิงเป็นใคร?” สองคนที่รังแกน้องสาวของนางอยู่ที่ไหน
“ศิษย์หยางชุ่ย/ซุนหลิน คารวะท่านปรมาจารย์หลิวหลี ท่านปรมาจารย์ได้โปรดไว้ชีวิต ศิษย์แค่หลงผิดเพราะความวู่วามเท่านั้น” ทั้งสองโขกศีรษะให้หลิวหลีไม่หยุด พวกนางช่างกล้ามากจริงๆ ที่กล้ารังแกน้องสาวของท่านปรมาจารย์หลิวหลี คาดว่าคงจะไม่ได้รับความเมตตาใดแล้ว
“ข้าจะไม่ลงโทษพวกเจ้าหรอก ปล่อยให้หอคุมกฏเป็นผู้จัดการเถอะ แต่น้องสาวข้าเติบโตท่ามกลางความรัก ที่ข้าให้นางอยู่สำนักนอกก็เพื่อฝึกฝน แม้แต่จื่ออีที่เป็นคนพานางมา ก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วข้าพาน้องสาวของข้ามา ถึงแม้ข้าอยากจะพูดว่าคนไม่รู้ย่อมไม่ผิด แต่ว่าความเหยียดหยามที่น้องสาวข้าได้รับ ไม่อาจปล่อยผ่านไปได้ นี่คือบทลงโทษที่ข้าจะให้พวกเจ้า จดจำว่าเป็นมนุษย์ต้องใจเที่ยงตรง การบำเพ็ญเพียรต้องพึ่งพาตนเอง เก็บเกี่ยวไปทีละก้าว และผลที่ได้รับจึงถือว่าเป็นของพวกเจ้าจริงๆ ของนอกกายทุกสิ่งเป็นเกียรติยศเพียงชั่วคราวเท่านั้น” หลิวหลีสัมผัสตัวคนทั้งสามเบาๆ เวลาพวกเขาบำเพ็ญฝึกฝน ก็จะรู้สึกเจ็บปวดที่เส้นลมปราณ ไม่ได้มีผลเสียอะไรต่อร่างกาย ขอเพียงแค่บรรลุขั้นอาการก็จะหายไปเอง อยู่ที่ว่าพวกเขาจะสามารถอดทนได้หรือไม่
“ขอบคุณท่านปรมาจารย์” ทั้งสามคนทำท่าราวได้รับอภัยโทษ
“ถ้าเป็นเช่นนั้นต้องขอรบกวนคนในหอคุมกฏด้วย หยางจิงหู่ เจ้ายินดีจะตามข้าไปหรือไม่” หลิวหลีพยักหน้าให้เว่ยเจิง แล้วหันมาถามความเห็นจากหยางจิงหู่
“ข้าหรือ” หยางจิงหู่ตกใจนิ่งไป
“ใช่แล้ว เจ้ามีส่วนคล้ายกับคนรู้จักของข้า ไปกับข้าดีหรือไม่” ดูอย่างไรก็รู้สึกเหมือนกับคนสกุลฮัว ลองถามดูหน่อยน่าจะปลอดภัยกว่า
“ขอบคุณท่านปรมาจารย์มาก” หยางจิงหู่รู้ว่าตัวเองถูกสกุลหยางรับเลี้ยง เขาก็อยากรู้เช่นกันว่าครอบครัวตนเองเป็นใคร
หยางชุ่ยมองดูน้องชายด้วยความริษยาน้อยๆ น้องชายที่เก็บมาเลี้ยงกำลังจะบินไปไกลแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะจำพี่สาวอย่างนางได้หรือไม่
หลังจากที่หลิวหลีพาน้องสาวกับหยางจิงหู่จากไป เว่ยเจิงทำสีหน้าเคร่งขรึม
“หวงฉี ในฐานะที่เป็นผู้ดูแล แต่กลับเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ไม่ถามที่มาที่ไปลงมือโดยพลการ ลงโทษให้เจ้าไปที่เหมืองแร่ของสำนักเมฆาคล้อย นอกเสียจากจะอภัยโทษครั้งใหญ่มิเช่นนั้นต้องอยู่ไปจนพลังบำเพ็ญเพียรเข้าสู่ช่วงอมตะ จึงจะสามารถออกมาได้ เจ้ายอมรับโทษนี้หรือไม่”
“ศิษย์พร้อมรับโทษ” หวงฉีรู้สึกว่าการลงโทษแบบนี้ถือว่าพอรับได้
“หยางชุ่ย ซุนหลิน” เว่ยเจิงมองผู้บำเพ็ญหญิงตัวน้อยทั้งสอง เสียดายที่ใจคดไปเสียได้
“อาจารย์” ถึงตาพวกเขาแล้วหรือ
“พวกเจ้าทั้งสองคนละโมบ เห็นแก่ที่อยู่สำนักเดียวกัน ข้าจะลงโทษให้พวกเจ้าไปสำนึกผิดอยู่ที่ผาส่องตนเป็นเวลา 20 ปี พวกเจ้ายอมรับหรือไม่?”
“ข้าน้อยน้อมรับ” สีหน้าของทั้งสองแย่กว่าเดิม สำนึกผิดเวลา 20 ปี พวกเขาได้พลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการบำเพ็ญเพียร จนพวกเขาออกมา ก็จะตามคนอื่นไม่ทันยิ่งกว่าเดิม ใครใช้ให้พวกนางตาถั่ว สมควรได้รับโทษแล้วจริงๆ
…………………………..
คอมเม้นต์