กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ – บทที่ 6 ช่างโหดร้ายเหลือเกิน
สายลมยามราตรีพริ้วไหว มันพัดผ่านป่าไม้แห้งจนเกิดเสียงซูซ่า อาจเป็นเพราะซ่งชูอีและเจ้าอี่โหลวเหนื่อยเกินไป จึงเข้าสู่ความฝันอย่างรวดเร็ว ก่อนนอน ซ่งชูอีก็ยังไม่ลืมที่จะเตะเจ้าอี่โหลวไปข้างๆ
วันรุ่งขึ้น ซ่งชูอีนอนหลับจนกระทั่งฟ้าสว่าง
ฟางถูกปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็ง ดวงอาทิตย์ส่องแสงสว่างแต่ไม่อบอุ่นเท่าไรนัก ซ่งชูอีที่ซ่อนตัวอยู่ในกองฟางก็ยังรู้สึกได้ถึงความเหน็บหนาว แต่บัดนี้เจ้าอี่โหลวกำลังนั่งยองๆ อยู่ข้างลำธารเตรียมตัวจะฆ่าไก่ฟ้าตัวหนึ่ง
เมื่อเห็นดังนี้ ซ่งชูอีก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันใด ลุกขึ้นพรวดแล้ววิ่งไปหาเจ้าอี่โหลว “เจ้าจับมารึ?”
เจ้าอี่โหลวมีความรู้สึกว่าเขาแทบไม่มีความจำเป็นต้องตอบคำถามของนาง ก้มหน้าใช้หินปลายแหลมแทงที่คอของไก่ฟ้า ไม่ช้าเลือดก็พุ่งออกมาแต่ไก่ฟ้าตัวนั้นยังคงดิ้นรุนแรง
“โหดร้ายเกินไปแล้ว!” ซ่งชูอีทนไม่ไหว
เจ้าอี่โหลวพ่นลมออกมาทางจมูกเย็นชา ใช้หินแทงต่อไป จำได้ว่าครั้งหนึ่ง หลังจากที่เขาจับกระต่ายตัวหนึ่งมาได้ด้วยความยากลำบาก ก็กลับถูกหญิงชนชั้นสูงคนหนึ่งบังคับให้ปล่อยมันไป แม้ว่าในภายหลังนางจะให้ถุงข้าวเล็กๆ ถุงหนึ่งเพื่อชดเชย แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้เห็นเนื้อมาครึ่งปีแล้ว อีกทั้งเขาต้องกินเนื้อสัตว์เพื่อต้านทานความหนาวเย็นในฤดูหนาว ดังนั้นตั้งแต่นั้นมาเขาจึงไม่มีความประทับใจต่อสาวชนชั้นสูงเท่าไรนัก และด้วยการแสดงออกของซ่งชูอีในตอนนี้เป็นประเภทที่เขาเกลียดที่สุด
ซ่งชูอีย่อตัวลง เลือกก้อนหินที่มีขนาดเหมาะมือจากข้างลำธาร เอื้อมมือไปจับมือของเจ้าอี่โหลว กดไก่ฟ้าในมือของเขาลงไปกับพื้น ง้างหินก้อนใหญ่แล้วกระแทกลงไปอย่างแรง เลือดสาดกระเด็นในทันที ไก่ฟ้าเพียงกระตุกสองทีก็แน่นิ่ง
ใบหน้าของเจ้าอี่โหลวมีเลือดสองหยดกระเด็นติดอยู่ เขาตกตะลึงอยู่ที่เดิม
“พ่อหนุ่ม เวลาที่ควรลงมือก็ลงมือเสีย” ซ่งชูอีโยนก้อนหินทิ้ง ตบๆ มือ นั่งลงไขว่ห้างข้างเขา “เวลาลงมือต้องว่องไว ไม่เช่นนั้นกว่าจะได้กิน ตะวันก็ตกดินพอดี”
เจ้าอี่โหลวมองนางตาค้าง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงดึงสติกลับมา ก้มหน้าจัดการไก่ฟ้าต่อ
ไก่ฟ้าเคลื่อนไหวว่องไว ถ้าหากไร้ซึ่งประสบการณ์และเครื่องมือแล้วก็จับตัวได้ยากมาก คราวนี้เจ้าอี้โหลวเพียงแค่โชคดี จนกระทั่งวินาทีที่ซ่งชูอีใช้ก้อนหินกระแทกหัวไก่ เขาก็ยังรู้สึกตื่นเต้นมาก
“นี่ ฝีมือการทำอาหารของข้าพอใช้ได้ เจ้าอยากลองดูหรือไม่” ซ่งชูอีเห็นว่าเขาแทบไม่มีประสบการณ์ในการจัดการกับไก่ฟ้าเลย จึงเสนอวิธีของตัวเอง
โดยปกติแล้ว เจ้าอี่โหลวยอมตายเสียดีกว่าที่จะหยิบยื่นอาหารให้ผู้อื่น แต่อาจเป็นเพราะเขารู้สึกดีที่ซ่งชูอีคืนผลไม้ให้เมื่อวาน หรืออาจเพราะคิดว่าแม้มันจะอยู่ในมือของนาง นางก็ไม่กล้ากลืนกิน ฉะนั้นเขาจึงลังเลเพียงครู่เดียวแล้วปล่อยมือ หลบไปด้านข้าง
ซ่งชูอีต้มน้ำเดือดอยู่ในหม้อข้างๆ นำไก่ลงไปลวกครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอนขนไก่อย่างรวดเร็ว แม้มีเพียงก้อนหินปลายแหลมก้อนเดียว ซ่งชูอีก็คว้านไส้พุงออกด้วยความชำนิชำนาญ
“ไก่ตัวนี้ พวกเราแบ่งทำเถิด” ซ่งชูอีสับไก่ออกเป็นสองส่วน “ชิ้นโตนี้นำไปย่างไฟ เพื่อเก็บไว้ได้นานขึ้น วันนี้พวกเราเอาชิ้นเล็กไปต้มน้ำแกง เจ้าเห็นว่าเยี่ยงไร?”
“ดี” เจ้าอี่โหลวคิดว่าวิธีนี้เข้าท่าเป็นอย่างยิ่ง สามารถเก็บเนื้อแห้งไว้ได้ อีกทั้งวันนี้ก็ยังสามารถกินดื่มอย่างอิ่มหนำสำราญ
ฝีมือการทำอาหารของซ่งชูอีไม่ได้ดีมากนัก นางก็ทำอาหารด้วยความปราณีตไม่เป็น เพียงแต่ตอนที่ตกระกำลำบาก กินอาหารไม่อิ่มท้อง นางก็พึ่งพาวิธีที่เรียบง่ายเช่นนี้เพื่อช่วยพ่อค้าบางคนย่างเนื้อและทำเนื้อตากแห้ง ใช้วิธีนี้เพื่อแลกโจ๊กเกาลัดหนึ่งชามทุกวัน ถ้าหากทำไว้มาก ก็อาจจะได้แป้งทอดครึ่งลูกขนาดประมาณไข่ไก่มาด้วย ฉะนั้นนางจึงทำงานนี้ด้วยความเรียบร้อยและรวดเร็ว เพียงเพื่อที่จะสามารถแลกกับแป้งทอดขนาดครึ่งลูกได้มากหน่อย
ในฐานะกุนซือ การค้าขายแรงงานเพื่อแลกกับอาหารนั้น เป็นเรื่องที่น่าเศร้าและอัปยศอดสูอย่างไม่ต้องสงสัย
ซ่งชูอีเคยรู้สึกเคียดแค้นบิดามาก่อน แต่ต่อมาเมื่อพิจารณาอีกครั้ง บิดานับว่าเป็นคนมีวิสัยทัศน์มาก นางหน้าตาขี้เหร่ สถานะทางบ้านข้นแค้น ในอนาคตก็เกรงว่าจะออกเรือนได้ไม่ดี ยากที่จะปกป้องตนเองในโลกแห่งความสับสนวุ่นวาย หากมีทักษะติดตัวน่าจะดีเสียกว่า ภายภาคหน้านางจะได้พึ่งพาตัวเองได้บ้าง
แม้ว่าความยากลำบากบนถนนสายนี้ จะยากเกินกว่าที่ผู้อื่นจะจินตนาการ
ซ่งชูอีไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ตัวเองก็นึกถึงเรื่องที่ผ่านมานานนมแล้ว อาจเพราะสถานการณ์ในตอนนี้ช่างเหมือนกับอดีตเสียเหลือเกิน! ในเวลานั้นนางคิดอยู่ทุกวี่วันว่าจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร แต่ว่าบัดนี้นางกลับรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก
ซ่งชูอีก่อไฟขึ้นสองกอง ไม่ช้าไก่ฟ้าก็ถูกปรุงจนสุก
ทั้งสองรุมกินอาหารในหม้ออย่างตะกละตะกลาม ในเวลานี้ไม่มีใครรังเกียจซึ่งกันและกันแล้ว การเอาเนื้อเข้าปากของตัวเองต่างหากจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
ภายในระยะเวลาอันสั้น ในหม้อไม่เหลือแม้แต่หยดน้ำแกง
ไม่มีเกลือหรือเครื่องปรุงรสใดๆ อาหารต้มแน่นอนว่าไม่หอมเย้ายวนเหมือนกับการย่าง วางหม้อดินเผาลง ทั้งคนเผชิญหน้าเข้าหากัน สอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างลำธาร จ้องไก่ย่างครึ่งตัวเบื้องหน้าพร้อมกลืนน้ำลาย หลังจากนั่งตั้งแต่เช้าตรู่จนเที่ยงวัน ซ่งชูอีก็พูดขึ้น “กินสักคำเถอะ”
เจ้าอี่โหลวพยักหน้าลังเล
ทั้งสองฉีกเนื้อชิ้นหนึ่งออก เปรียบเทียบขนาดเล็กใหญ่อยู่ครู่หนึ่ง จำเป็นต้องแบ่งอย่างเท่าเทียมก่อนจึงยัดเข้าไปในปาก แม้ว่าจะกินแกงไก่หนึ่งหม้อในตอนเช้าแล้ว แต่บัดนี้เมื่อได้ยัดไก่ที่ย่างจนน้ำมันเยิ้มเข้าไปในปากก็รู้สึกเปรี้ยวที่โคนลิ้นจนน้ำลายไหลทันที อย่างไรก็ดีเมื่อกินเนื้อไก่เข้าไปชิ้นหนึ่งแล้ว กลับแทบไม่มีความรู้สึกพึงพอใจเลย
เจ้าอี่โหลวห่อเนื้อไก่แล้วเก็บมันไว้ จากนั้นก็เอาโจ๊กข้าวฟ่างที่เหลือจากเมื่อวานออกมา เติมน้ำลงไปนิดหน่อย หลังจากต้มจนเดือดแล้ว พวกเขาก็ดื่มน้ำนั้น
“เอ๊ะ! ที่จริงเนื้อต้องเติมเกลือบ้างถึงจะอร่อย” ซ่งชูอีอุทาน
เจ้าอี่โหลวกินอิ่มแล้วอารมณ์ดีมาก แม้กระทั่งพูดคุยกับนาง “สามปีก่อน ตอนที่อยู่อิ่งเฉิงข้าก็เคยกินครั้งหนึ่ง นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้กิน มันอร่อยมาก”
ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ นางเคยกินของที่แย่ที่สุดมาก่อน และเคยกินอาหารที่ดีที่สุดมาก่อน แต่ว่าในชีวิตคนเรา สิ่งที่ยากจะลืมที่สุดก็คือ มื้อที่อร่อยที่สุดในช่วงที่ตกระกำลำบากที่สุด
“พวกเราไม่มีอะไรเลย หากอยู่ที่นี่ในฤดูหนาวต้องไม่รอดแน่” ซ่งชูอีเปลี่ยนหัวข้อกะทันหัน พูดขึ้น “หลายวันนี้สะสมอาหารป่ามากสักหน่อยเถิด ข้าจะไปกับเจ้าเอง ก่อนฤดูหนาวพวกเราก็ไปจากที่นี่กัน”
ที่นี่แม้แต่ที่หลบฝนก็เล็กมาก นับประสาอะไรกับพายุหิมะที่บ้าคลั่งในฤดูหนาว นอกจากไม่มีที่กำบังจากความหนาวแล้ว ก็ไม่มีเสื้อผ้าหนาๆ ปกคลุมร่างกาย ช้าเร็วก็ต้องแข็งตาย
เจ้าอี้โหลวพยักหน้า
“แต่ว่า” ซ่งชูอีเลิกคิ้ว คว้าตัวเขาหมับแล้วกดลงไปในน้ำ “หลายวันนี้ก่อนเจ้าจะนอนก็ล้างตัวให้สะอาดเสียก่อนเถิด!”
เจ้าอี่โหลวไม่ทันระวังตัว ทำให้ซ่งชูอีอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่า ไม่สามารถสะบัดนางทิ้งได้ในชั่วขณะหนึ่ง
ซ่งชูอีวักน้ำในลำธารมาล้างหน้าของเจ้าอี่โหลว เมื่อเห็นคราบสกปรกที่แตกตัวอยู่ในน้ำ ซ่งชูอีอดไม่ได้ที่จะดุ “เจ้าหมักหมมมากี่ปีแล้ว!”
“ถุ้ย!” เจ้าอี่โหลวเงยหน้าขึ้นมาจากน้ำ พ่นน้ำลาย “เจ้าอย่ามายุ่ง!”
น้ำในลำธารอุ่นเล็กน้อยหลังจากสัมผัมกับแสงอาทิตย์ยามเที่ยง มันไม่เย็นจนเกินไป ซ่งชูอีก็ขยี้ผมให้เขาด้วย
หลังจากต่อสู้กันอยู่ครึ่งชั่วยาม เจ้าอี่โหลวก็สะอาดหมดจดเหมือนกับไก่ฟ้าตัวนั้นเมื่อตอนกลางวัน
“เจ้า…เจ้าเป็นสาวมาจากขุนนางบ้านไหนกันแน่! หยาบคายยิ่งกว่าสาวในหมู่บ้านเสียอีก!” เจ้าอี่โหลวจ้องนางด้วยแววตาขุ่นเคือง
ซ่งชูอีล้างมือในลำธารด้วยความเบิกบานใจโดยไม่มองเขาเลย “ใบหน้าเจ้ามีบาดแผล ถ้าหากไม่ล้างให้สะอาดแล้ว อยากให้มันเน่าหรืออย่างไร?”
เจ้าอี่โหลวอึ้งไป จึงนึกได้ว่าแผลที่มุมปากเริ่มแสดงอาการบวมแดงเล็กน้อย ถ้าหากไม่ทำความสะอาดอย่างทันท่วงที ก็คงจะเน่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีแล้ว ซ่งชูอีลุกขึ้นยืน หันกลับไปมองลักษณะของเจ้าอี่โหลว ตะลึงงันเล็กน้อย จุ๊ปากพูด “หน้าตาไม่เลวนี่นา”
………………………………
คอมเม้นต์