กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ – บทที่ 40 กลยุทธ์ปลุกปั่นสี่รัฐ

อ่านนิยายจีนเรื่อง กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ ตอนที่ 40 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.
บทที่ 40 กลยุทธ์ปลุกปั่นสี่รัฐ

ในบรรดาสำนักปรัชญาหลายร้อยสำนักอันเป็นที่นิยมในยุคจั้นกั๋วชุนชิวนั้น ลัทธิขงจื้อเป็นที่แพร่หลายที่สุดระหว่างดินแดนเว่ย์และซ่ง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะปกครองบ้านเมืองด้วยวิถีขงจื้อเพียงอย่างเดียว นอกเหนือจากการปกครองและรูปแบบแล้ว จำเป็นต้องมี “คุณธรรม” และ “ระเบียบแบบแผน” เข้าช่วย อีกทั้งควรได้รับการยกย่องว่าเป็นวิธีหลักในการปกครองรัฐ

ขงจื้อเกิดในขณะที่บ้านเมืองระส่ำระส่ายของปลายยุคสมัยชุนชิว การแสวงหาตลอดชีวิตของเขาคือการเปลี่ยนความเป็นจริงด้วยความสามารถของเขาเอง ครั้นวิเคราะห์มาถึงขั้นสุดท้ายก็หนีไม่พ้น “การฟื้นฟู” ส่วนการใช้ “คุณธรรม” ปกครองบ้านเมืองนั้นเป็นสภาวะในอุดมคติ หากสามารถบรรลุผลได้จริง แน่นอนว่าจะสมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่สังคมของจั้นกั๋วได้พังทลายลงอย่างสมบูรณ์นั้น มันคือยุคสมัยของพวกหัวรุนแรงทางการเมืองอันไม่มีที่สิ้นสุด ไร้ซึ่งความน่ารังเกียจที่สุดมีเพียงความน่ารังเกียจยิ่งกว่า ไร้ซึ่งความน่าละอายที่สุดมีเพียงความน่าละอายยิ่งกว่า! ชาวเว่ย์ผู้ได้รับการศึกษาอย่างลึกซึ้งจากลัทธิขงจื้อ อารมณ์อ่อนโยนยิ่ง อีกทั้งมีจริยธรรมสุดโต่ง ทว่าด้านอื่นๆ นั้นกลับหละหลวมเกินไป

ภายใต้สถานการณ์บ้านเมืองเช่นนี้ หากคิดจะรบ ยากนัก!

วันนั้นที่ตี้ชิว เหล่าทหารถูกกระตุ้นจนเกิดโทสะ ซ่งชูอีตกตะลึงเป็นอย่างมาก แต่ทว่าทันทีที่โทสะผ่านพ้นไปแล้วเล่า?

ดังนั้นซ่งชูอีจึงถามหลงกู่ชิ่งว่าความประสงค์ในการสู้รบนี้จะยืนหยัดได้นานเพียงใด หากตัดสินจากตัวบ่งชี้ต่างๆ ในบัดนั้น แผนของหลงกู่ชิ่งเป็นการมองในแง่ดีมากเกินไปแล้ว ความโศกเศร้าของชาวเว่ย์นั้นหนักหนากว่าความโกรธเสียอีก

ทหารที่สู้รบด้วยความโศกเศร้าจะพ่ายแพ้ นี่คือหลักความจริงแห่งพิชัยยุทธ์

ซ่งชูอีกำลังครุ่นคิด พลันได้ยินคำตอบของซีหง “ครานี้เว่ยอ๋องกระทำการไร้ความเป็นธรรม ทหารของข้ามีเหตุผลที่จะต่อสู้ หากสามารถรกระตุ้นให้ทหารข้ามุ่งหมายที่จะเข้าสงครามก็อาจต่อสู้ได้ ที่สำคัญที่สุดคือมติมหาชนและพระประสงค์ของท่านจวิน”

ซ่งชูอีหลุบตาลง ได้ยินซีหงเอามติมหาชนมากเป็นอันดับแรก ก็รู้ได้ว่าเขาเป็นศิษย์สำนักขงจื้อ อีกทั้งเกรงว่าเป็นผู้สนับสนุนหลักความคิดที่ว่า “ไพร่ฟ้าล้ำค่า ราชาต่ำต้อย” ของเมิ่งจื่ออีกด้วย

หนานฉีหัวเราะเยาะ “เว่ยอ๋องเคยยุติธรรมเมื่อใดกัน? ในตอนต้นหกรัฐร่วมกันแสวงหาฉิน เนื่องด้วยแบ่งสรรกันไม่ลงตัว ยังไม่ทันสิ้นสงครามก็ต่างแยกย้ายกันไปแล้ว เหตุการณ์เหล่านี้มีกี่เรื่องกันที่เกิดจากความอยุติธรรมของเว่ยอ๋อง? หากไปขอกำลังเสริมจากรัฐอื่นในเวลานี้ แน่นอนว่าเป็นไปได้ แต่หากจะใช้เหตุผลนี้ในการเกลี้ยกล่อมท่านจวินก็ควรจะมีความมั่นใจอยู่บ้าง”

“ถูกต้อง” อาการที่เคร่งเครียดของหลงกู่ชิ่งก่อนหน้านี้ผ่อนคลายลง พยักหน้าเล็กน้อย แล้วหันมาเอ่ยกับซ่งชูอี “ข้าจำได้ว่าหวยจินเคยเอ่ยในตี้ชิวว่าสามารถทำให้เว่ยอ๋องได้ลิ้มรสการสูญเสียดินแดน ไม่ทราบว่ารายละเอียดเป็นเยี่ยงไร?”

ซ่งชูอีเงยหน้า เห็นว่าทุกคนต่างมองมาที่นาง ไตร่ตรองเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้น “หยิบยืมกองทัพ เพียงแต่ว่ามิได้หยิบยืมในเวลานี้ ตามความเห็นของข้า สิ่งที่พวกเราต้องรีบทำในเวลานี้คือการกล่าวโทษถึงพฤติกรรมอันน่ารังเกียจของเว่ยอ๋องต่อหน้าพระพักตร์โจวเทียนจื่อ (กษัตริย์แห่งโจว) ทันที อีกทั้งตีฆ้องร้องป่าวในแต่ละรัฐ เรื่องนี้น่าจะทำได้ไม่ยาก เพราะบัณฑิตรัฐเว่ย์นั้นมีมาก

จากนั้นก็ส่งคนไปปลุกปั่นจวินองค์ใหม่แห่งรัฐฉินให้โจมตีรัฐเว่ย ฉินเว่ยมีความแค้นต่อกัน ชาวฉินมีเลือดนักสู้แรงกล้า ขอเพียงใช้คำที่เหมาะสม หากต้องการยั่วยุสองรัฐให้ทำสงครามกันมิใช่เรื่องยาก ครั้นสองรัฐเปิดสงครามกันแล้ว เว่ยอ๋องจะต้องเบี่ยงเบนความสนใจทั้งหมดไปที่รัฐฉินเป็นแน่ พวกเราสามารถใช้โอกาสนี้ละทิ้งรัฐเว่ยไว้เบื้องหลัง มุ่งหน้าไปยังรัฐหาน เจ้า ฉู่ และซ่งเพื่อหยิบยืมกำลัง เงื่อนไขคือ พวกเราไม่ต้องการนครใดๆ ของรัฐเว่ยที่อยู่ภายใต้การยึดครองทั้งสิ้น หลายรัฐออกทัพในเวลาเดียวกัน อาศัยช่วงที่เว่ยอ๋องไม่มีเวลาพิจารณา รัฐเว่ย์ของพวกเราก็ฉวยโอกาสส่งทัพ และเสริมด้วยแผนการอันรัดกุม ยึดนครที่เสียไปกลับคืนมาด้วยการเสียราคาที่น้อยที่สุด”

ทุกคนฟังแล้วตกตะลึง นี่ช่างเป็นการทำให้ใต้หล้าเป็นกระดานหมากและรัฐเป็นตัวหมากโดยแท้! อีกทั้งวิธีนี้โหดร้ายยิ่งนัก!

หลงกู่ชิ่งปรบมือเชยชม เอ่ยด้วยความตื่นเต้น “เยี่ยม! หากดำเนินแผนการอย่างเหมาะสมแล้ว ไม่แน่ว่าอาจทำให้รัฐเว่ยล้มลงจนไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีก!”

ซ่งชูอีแอบส่ายหัวอยู่ในใจ ใช่สิ! แม้นบัดนี้อำนาจของรัฐเว่ยลดลง แต่ก็ยังเป็นพยัคฆ์ผู้ยิ่งใหญ่ อีกทั้งชาวรัฐเว่ย์เพิ่งประสบความสูญเสียร้ายแรง การดำเนินงานแผนการนี้จำต้องใช้คน บัดนี้รัฐเว่ย์ไร้ซึ่งความแข็งแกร่งปานนั้น การที่สามารถนำกลับมาได้สองสามนครก็นับว่าไม่เลวแล้ว!

“เยี่ยม!” ทุกคนได้สติกลับมา โห่ร้องยินดีเป็นเสียงเดียว

อย่างไรก็ดี หนานฉีกลับเริ่มจับผิด “เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าฉินกับเว่ยจะเปิดสงคราม แล้วเว่ยอ๋องจะเพิกเฉยต่อการป้องกันที่อื่นรึ?”

“คำกล่าวนี้ห่างไกลนัก มิใช่การเพิกเฉย หากแต่เป็นความหละหลวม เว่ยอ๋องมีจิตใจฝักใฝ่อำนาจอยู่เสมอ หากแต่ในความเป็นจริงแล้วกลับจับจ้องอยู่ที่รัฐฉินไม่ปล่อย! หากเขาจะฉวยโอกาสในขณะที่รัฐเว่ยมีอำนาจสูงสุดเพื่อเป็นเจ้าโลกและสร้างความเป็นเอกภาพก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าหลายปีมานี้ผู้เฒ่าเว่ยอ๋องกระทำการใดบ้าง? มัวแต่กัดเนื้อที่ผอมแห้งติดกระดูกเยี่ยงรัฐฉินไม่ปล่อย!” ซ่งชูอีกล่าว

รัฐฉินผ่านความโกลาหลถึงสี่ชั่วอายุคน มีสงครามภายนอกภายในไม่หยุดหย่อน ในยุคของฉินเซี่ยวกงก็กลายเป็นสถานที่ที่ยากจนข้นแค้นแม้กระทั่งนกไม่อึและกระต่ายไม่ทำรังแล้ว!

แม้นดินแดนของรัฐฉินครอบคลุมพื้นที่หล่งซี ครั้นแข็งแกร่งแล้วจะเป็นความคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อรัฐเว่ย อย่างไรก็ดีหากรัฐเว่ยสามารถสร้างตนให้แข็งแกร่งจนถึงจุดที่อำนาจไม่อาจสั่นคลอนแล้ว รัฐฉินจะสามารถทำเยี่ยงไรได้?

ซ่งชูอียิ้มเอ่ยเชื่องช้า “บัดนี้กระดูกเช่นรัฐฉินได้กลายเป็นเนื้ออ้วนพีแล้ว แต่ตาเฒ่าเว่ยอ๋อง! ฟันโยกเยกจนไม่สามารถกัดเนื้อได้แล้ว”

จีเหมียนมองซ่งชูอีดวงตาเป็นประกาย “ฮ่า! ช่างกล่าวได้น่าสนใจยิ่งนัก!”

“จวินองค์ใหม่แห่งรัฐฉินเพิ่งก้าวขึ้นสู่อำนาจ ข้าได้ยินว่าปัญหาภายในไม่สงบ จะฟังคำและออกทัพเผชิญหน้ากับเว่ย

อย่างง่ายดายได้เยี่ยงไร?” จี้เยี่ยนถามด้วยความสงสัย

ตอนนั้นซ่งชูอีอยู่ใกล้กับรัฐฉินมาก ด้วยเหตุนี้จึงมีประสบการณ์ส่วนตัว อีกทั้งยังเข้าใจชาวฉินมากเช่นกัน “แผนการของข้าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในระยะเวลาครึ่งปี ทุกท่านจงไปเยี่ยมรัฐฉินหากเป็นไปได้ ชาวฉินทั่วทั้งรัฐ หากเอ่ยถึงรัฐเว่ยแล้วไม่มีผู้ใดไม่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แทบทนไม่ไหวที่จะตัดขาดด่านหานกู่ในทันทีเพื่อสู้รบกับรัฐเว่ยจนถึงที่สุด กล่าวได้ว่าความแค้นล้ำลึกดุจมหาสมุทร ส่วนสิ่งที่เรียกว่า ‘ปัญหาภายใน’ นั้น เป็นเพียงการที่ตระกูลเก่าแก่ได้ยกเรื่องพลิกร่างกฎหมายใหม่ อีกทั้งตระกูลเก่าแก่เหล่านี้เกลียดรัฐเว่ยเป็นที่สุด หากมีโอกาสเพียงเล็กน้อย พวกเขาไม่มีทางปล่อยไปแน่”

“หวยจินดูเหมือนจะรู้สึกรัฐฉินเป็นอย่างดี?” ฮุ่ยซูอวิ๋นเอ่ยถาม

“รู้เพียงผิวเผิน” ซ่งชูอีไม่ยินยอมที่จะเปลืองแรงไปกับการดัดแปลงประสบการณ์ชีวิตของตนเอง

“วิเศษนัก! ข้าจะไปเกลี้ยกล่อมท่านจวินบัดนี้ ทุกท่านก็หารือว่าจะดำเนินแผนการนี้เยี่ยงไรเถิด!” หลงกู่ชิ่งไม่อาจยับยั้งอารมณ์ตื่นเต้นได้ ก้าวเท้ายาวๆ ออกไปแล้ว

ซ่งชูอียังไม่ทันจะมีปฏิริยาตอบสนอง เขาก็ไม่อยู่ในห้องแล้ว

ขณะนี้แววตาของทุกคนที่มองซ่งชูอีไม่ใคร่จะเหมือนเดิม เดิมทีนึกว่านางยังเยาว์ แม้นฉลาดแต่ความรู้และกลยุทธ์ก็ไม่เทียบเท่าผู้ใหญ่เป็นแน่ อย่างไรก็ดีคำพูดเมื่อครู่ กลับทำให้พวกเขารู้สึกว่าประเมินนางต่ำเกินไปแล้วจริงๆ!

“หวยจินอายุยังน้อยกลับมีความรู้เช่นนี้ หาได้ยากยิ่งนัก!” ซีหงเดินเข้ามาตบๆ ไหล่ของนาง

หนานฉีเอ่ยยิ้มเย็นชา “แผนการก็ดีอยู่ แต่ทั้งๆ ที่เจ้าก็รู้ว่ารัฐเว่ย์อาจไร้ความสามารถนี้! เจ้าเพียงสร้างชื่อเสียงจอมปลอมก็เท่านั้น!”

ซ่งชูอีเหลือบตาขึ้นมองเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “หากไม่กล้าแม้แต่ต่อกรกับชีวิตและความตาย สู้เกลี้ยกล่อมให้ท่านจวินอุทิศแผ่นดินทั้งหมดให้แก่เว่ยอ๋องยังดีเสียกว่า จากนั้นก็ลดตำแหน่งของตน เช่นนี้ก็จะปลอดภัยยิ่งยวด คุณชายเห็นว่ากระไร?”

จีเหมียนตบโต๊ะ ลุกขึ้นพรวด จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความฮึกเหิม “ถูกต้อง! ยึดติดกับรูปธรรมเดิมโดยไม่แสวงหาความก้าวหน้า มัวแต่คิดวิธีรอดพ้นจากปัญหาภายใต้ความกดดัน แต่กลับไม่กล้าคิดถึงปัญหาและเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่ง อนาคตของรัฐเช่นนี้น่าเป็นห่วง! รัฐเว่ยกดขี่รัฐฉินไม่น้อยไปกว่ารัฐเว่ย์ สิ่งที่แตกต่างกันคือ ชาวฉินยอมตายดีกว่ายอมแพ้ วางแผนสร้างความแข็งแกร่งตน ชาวเว่ย์กลับโอนอ่อนอย่างต่อเนื่อง พึงพอใจกับสภาพที่เป็นอยู่ ดังนั้นรัฐฉินจึงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่รัฐเว่ย์ถดถอย”

“อู้เม่ยเป็นศิษย์สำนักนิตินิยมกระมัง จึงได้เฉียบคมและฮึกเหิมเช่นนี้” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย

……..………………………

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด