กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ – บทที่ 47 บานประตูแลกงานสังสรรค์
ซ่งชูอีประสานมือคารวะทุกคน เอ่ยขึ้น “ไม่ทราบว่ามีแขก หวยจินเสียมารยาทแล้ว”
“พวกข้ามาโดยมิบอกกล่าว ซ่งจื่ออย่าได้เอาความ” ทุกคนคำนับกลับ
ซ่งชูอีจัดๆ เสื้อผ้า ยิ้มเอ่ย “มีสหายมาเยี่ยมเยียนในวันหิมะตก หวยจินยินดียิ่ง เชิญทุกท่านเข้ามาข้างใน”
ทุกคนตอบรับตามๆ กัน ถอดรองเท้าตรงทางเดิน ตามซ่งชูอีเข้าไปยังห้องโถงหลัก
จีเหมียนเรียกคนใช้สองสามคนให้มายกชา แล้วตามเข้าไป
ก่อนหน้าซ่งชูอี ห้องโถงหลักนี้มีเพียงหนานฉีใช้เพียงผู้เดียว การตกแต่งประณีตเป็นอย่างยิ่ง ค่อนข้างให้ความรู้สึก
สดชื่นโออ่า ในเวลานี้ซ่งชูอียืนอยู่ในห้องโถงด้วยเนื้อตัวยุ่งเหยิง ราวกับเป็นพวกเร่ร่อนว่าบุกเข้าไปในบ้านของผู้อื่นอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากซ่งชูอีนั่งลงแล้ว ก็ทักทายทุกคนก่อน “เรื่องของวันนี้ต้องสะสางวันนี้ รบกวนทุกท่านรอสักครู่ ข้าน้อยจำต้องคิดบัญชีกับคนบางคน”
“ท่านหวยจินตามสบาย” ทุกคนต่างประสานมือคารวะ
ทันทีที่จีเหมียนเห็นท่าทีของซ่งชูอี รีบเอ่ย “หวยจิน ข้ามิได้ออกแรงเลยจริงๆ ใครจะรู้ว่าประตูบานนั้นจะไม่ทนไม้ทนมือ! ข้าจักกลับไปหาคนมาช่วยเจ้าติดตั้งบานใหม่ วันหน้าข้าจะจัดงานเลี้ยงเป็นการปลอบขวัญเจ้า”
“อู้เม่ยช่างเป็นผู้ที่เข้าอกเข้าใจจริงๆ!” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “เช่นนั้นก็เป็นวันนี้เถิด มีเหล่าสหายแวะคารวะพอดี คนยิ่งมากยิ่งครื้นเครง”
รอยยิ้มของจีเหมียนแข็งทื่อเล็กน้อย ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับสายตายี่สิบกว่าคู่ เขาทำได้เพียงกัดฟันเอ่ย “ได้!”
“สบายแล้ว!” ซ่งชูอีมองไปยังทุกคน เอ่ยขึ้น “หวยจินซาบซึ้งสรวงสวรรค์ยิ่งนัก รู้ว่าข้าลำบากใจเพราะทรัพย์ฝืดเคือง บัดนี้แขกผู้มีเกียรติมากมายมาเยี่ยมเยียน จงใจเปลี่ยนบานประตูคู่หนึ่งเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ ไม่ทราบว่าทุกท่านจะยินดีเป็นเกียรติหรือไม่?”
ภายในห้องระเบิดเสียงหัวร่อเสียงดัง มีคนกล่าวขึ้น “’งานสังสรรค์ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ผู้ใดจะกล้าปฏิเสธ”
ทุกคนเห็นด้วยเป็นเสียงเดียวกัน
ซ่งชูอีเข้าห้องนอนเพื่อจัดการกับรูปลักษณ์ของตัวเอง เจอเสื้อคลุมขนสีดำตัวหนึ่งในบรรดาเสื้อผ้าที่พ่อบ้านตระเตรียมไว้ จึงคว้ามันสวมใส่เพื่อบังลมหิมะ
ขณะที่เหล่าบัณฑิตในห้องโถงหลักเห็นซ่งชูอีอีกครั้ง ราวกับว่าได้กลับไปเจอนางเป็นครั้งแรก ผู้คนส่วนใหญ่ต่างประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อครู่ซ่งชูอีแต่งกายไม่เรียบร้อย ผมเผ้ายุ่งเหยิงบดบังใบหน้าไปเสียครึ่งหนึ่ง บัดนี้เมื่อหวีผมขึ้นไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
“คิดไม่ถึงว่าหวยจินจะอ่อนเยาว์เพียงนี้! ทำให้คนรุ่นข้าละอายใจแท้” หนึ่งในบัณฑิตตะโกนขึ้น
ผู้ที่มาแวะคารวะซ่งชูอีในวันนี้ล้วนเป็นคนวัยหนุ่มเช่นกัน ส่วนใหญ่อายุประมาณยี่สิบ น้อยสุดก็อายุสิบแปดแล้ว ตรากตรำเล่าเรียนมาสิบกว่าปียังไม่สู้เด็กวัยสิบห้าสิบหกคนหนึ่ง จะไม่ให้รู้สึกถูกจู่โจมได้เยี่ยงไร
เหตุใดซ่งชูอีจะไม่เข้าใจอารมณ์ของพวกเขา ดังนั้นเพื่อให้หลุดพ้นจากสถานการณ์อันน่าอึดอัด นางจึงประสานมือพร้อมยิ้มเอ่ย “หวยจินเพิ่งดูโลกได้ไม่นาน อาศัยเพียงไหวพริบเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ไม่อาจเทียบทุกท่านที่มากด้วยความสามารถ ภายภาคหน้าหวยจินอยู่ในรัฐเว่ย์ยังต้องขอคำชี้แนะจากพวกท่านแล้ว”
“หวยจินเก่งกาจ พวกข้ามิบังอาจ!” ทุกคนรีบตอบ
แม้นซ่งชูอีไม่กล่าวเยี่ยงนี้ บัณฑิตทั้งหลายก็มิได้มีความไม่พึงพอใจใดๆ คนที่สามารถพูดว่า “ผู้ที่ปฏิบัติตามคุณธรรมจะรุ่งเรือง ผู้ที่กบฏต่อศีลธรรมจะวอดวาย การเปลี่ยนแปลงทางวัฏจักรคือความเคลื่อนไหวของเต๋า ความบอบบางอ่อนแอคือบทบาทของเต๋า” ออกมาได้ จะใช้ไหวพริบเพียงเล็กๆ น้อยๆ ได้เยี่ยงไร? ทว่าพวกเขาเห็นว่าซ่งชูอีไร้ซึ่งความลำพอง ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมยิ่งกว่าเดิม คำที่กล่าวออกมาก็ดูอึดอัดน้อยลงเช่นกัน
ซ่งชูอีเข้าใจเป็นอย่างยิ่งว่าทำนองเพลงอันสง่างามนั้นน้อยคนที่จะร้องตามได้ นางเพียงกล่าวปาฏกถาไม่กี่ประโยคที่สอดคล้องกับสถานการณ์ของรัฐเว่ย์ก็เท่านั้น รากฐานไม่เสถียร ครั้นทำตัวนอกคอกเกินไป คิดจะประสบความสำเร็จเกรงว่าจะเป็นเรื่องลำบากเหลือแสน หากเดินขึ้นภูเขาที่ไม่มีรากฐานมั่นคง ยิ่งปีนสูงเท่าไรตกลงมาก็ยิ่งน่าอนาจ นางคิดจะวางรากฐานในรัฐเว่ย์ ดังนั้นจึงไม่ปรารถนาให้ตัวเองขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งแห่ง “ผู้สูงส่ง”
บัณฑิตใต้หล้าส่วนใหญ่อยู่ในรัฐฉี หลี่ว์ เว่ย์และซ่ง รัฐฉีและหลี่ว์สองรัฐไม่จำเป็นต้องยอมรับในคำพูดเด็กหนุ่มที่บ้าบิ่นของนาง รัฐซ่งก็ไม่ควรอยู่ และนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ซ่งชูอีเลือกรัฐเว่ย์
กลุ่มผู้เดินทางได้ไปที่โรงเหล้าวันนั้นแล้ว ดื่มเหล้าจนสำราญใจ มีคนเอ่ยถามซ่งชูอี “สายตาหวยจินล้ำลึก เช่นนั้นแล้ว
วิพากย์วิจารณ์เว่ยอ๋องกับรัฐเว่ยให้ฟังหน่อยประไร?”
ทุกคนล้วนมีท่าทีตั้งใจฟัง
ซ่งชูอีลูบๆ ปลายคิ้ว เมื่อวานเพิ่งกล่าวคำวิจารณ์รัฐเว่ยอันไร้ประโยชน์ให้เว่ย์โหวฟัง…วันนี้ก็พูดตามความจริงแล้วกัน…
เงียบงันครู่หนึ่ง ซ่งชูอีเอ่ย “ได้ เช่นนั้นแล้วหวยจินก็จะพูด”
ซ่งชูอีนั่งตัวตรง เอ่ยขึ้น “หวยจินเคยได้ยินคนกล่าวว่า เว่ยอ๋องเป็นคนฉลาด เพียงแต่ชะตาไม่เข้าข้าง ตัดสินใจครั้งใหญ่ผิดพลาดหลายต่อหลายครั้ง นำพารัฐเว่ยไปสู่ความอับจนหนทาง หวยจินเคยคิดว่ามันเป็นเช่นนั้น ทว่าเว่ยอ๋องมิใช่โชคชะตาไม่เข้าข้าง เพียงแต่ไม่รู้จักใช้คนต่างหาก!”
“นั่นก็จริง! เชื่อใจผังเจวียนแต่ละเลยซุนปิ้น” มีคนยกตัวอย่างทันควัน
ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “ผังเจวียนก็เป็นดาบคม ทว่าเว่ยอ๋องใช้ไม่เป็น สุดท้ายจึงทำร้ายตัวเอง”
“กงจื่ออั๋งเป็นอัครมหาเสนาบดี แต่ก็ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม” จีเหมียนตะโกน
เมื่อวานซ่งชูอีวิพากย์วิจารณ์กงจื่ออั๋งจนไม่เหลือชิ้นดี ข้อหนึ่งเป็นเพราะมันคือสิ่งที่เขาทำในเวลานี้จริงๆ ข้อสองเพราะอยากให้เว่ย์โหวทรงฟังแล้วพอพระทัย ในอดีตกงจื่ออั๋งยังเป็นแม่ทัพที่ค่อนข้างมีเกียรติและมีชื่อเสียงผู้หนึ่ง สิบปีก่อนในสงครามแห่งเหอตง ซางยางวางแผนหลอกให้กงจื่ออั๋งเจรจาสงบศึก พาเขากลับไปยังรัฐฉิน ทหารเว่ยจึงพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย
เว่ยอ๋องถูกคนเป่าหู คิดว่ากงจื่ออั๋งก่อกบฏ บันดาลโทสะสั่งสังหารครอบครัวของเขาจนสิ้น
ในทางกลับกันรัฐฉินปฏิบัติต่อกงจื่ออั๋งเป็นอย่างดี อีกทั้งมอบหมายงานสำคัญให้เขา ในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งในรัฐฉิน ได้นำทหารฉินบุกเอาชนะรัฐฉู่ได้ถึงสองครั้ง ต่อมาเว่ยอ๋องรู้ว่าตอนนั้นเป็นแผนการชั่วร้ายของซางยาง เสียใจและเคียดแค้นยิ่ง ตัดแบ่งดินแดนเพื่อแลกเปลี่ยนให้กงจื่ออั๋งกลับมายังรัฐเว่ย
หลังจากกลับมายังรัฐเว่ย กงจื่ออั๋งจิตใจเศร้าหมอง ทั้งวันเอาแต่ดื่มสุราหาความสำราญ ว่าราชการก็ทำอย่างขอไปที การงานยิ่งเหลวแหลกลงเรื่อยไป ทว่าเพราะเว่ยอ๋องมีความผิดติดใจ และกล่าวว่าบัดนี้รัฐเว่ยไม่มีผู้ใดที่จะสามารถดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีได้ จึงยังคงให้กงจื่ออั๋งรับหน้าที่ต่อไป
กงจื่ออั๋งสามารถประพันธ์บทกวีได้ตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ ความรู้สูงส่ง เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านขงจื้อคนหนึ่ง ก่อนที่จะก้มหัวให้รัฐฉิน เขาดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีและได้สร้างความดีความชอบไว้มากมาย ให้คำแนะนำเกษตรกร สนับสนุนพ่อค้า เพิ่มความแข็งแกร่งโดยรวมของรัฐเว่ยในระดับหนึ่ง เพียงแต่น่าเสียดายที่เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นเกินไป เว่ยอ๋องฆ่าล้างครอบครัว เกรงว่าแม้กระทั่งตายก็ยากจะบรรเทา บัดนี้รับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีเปล่าๆ โดยมิได้ทำอันใดเลย
ซ่งชูอีจิบชาพลางเอ่ย “รัฐเว่ยเสื่อมถอยลงอย่างมาก เคราะห์ดีที่เว่ยอ๋องมิใช่คนเลอะเลือน จะฟื้นฟูรัฐได้หรือไม่นั้น ต้องดูว่าจะมีบัณฑิตผู้เก่งกาจที่จะสามารถพลิกวิกฤติกลับมาได้หรือไม่”
“ท่านกล่าวได้ดี!” ทันใดนั้นมีเสียงสรรเสริญของเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นข้างโอกงาม
ซ่งชูอีเลิกคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ได้ยินเขาเอ่ยต่อ “มิทราบว่าท่านคู่ควรกับสถานะบัณฑิตผู้เก่งกาจหรือไม่?”
มีความโอ้อวดในคำพูด
จากนั้นก็ตามติดมาด้วยเสียงฝีเท้า ทุกคนหันไป เห็นเพียงเด็กหนุ่มแต่งกายดียื่นมือเลิกผ้าม่านออก ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ตินั้นเจือปนยิ้มน้อยๆ ดุจสายลมพัดผ่านต้นหลิวแผ่วเบา
“ชื่อเสียงของท่านหวยจินขจรขจายดุจหิมะหนักในชั่วข้ามคืน ครอบคลุมไปทั่วผูหยาง วันนี้โชคดีได้พบเจอ” สายตาของเด็กหนุ่มมองสำรวจซ่งชูอี “ข้าคิดว่ายังไม่สู้ได้ยินชื่อแต่มิอาจพบหน้า”
จีเหมียนกล่าวเยาะเย้ย “กงซุนอิ๋งจี่ เจ้าก็อาศัยตอนที่หยุ่นซื่อไม่อยู่กล้าวางอำนาจบาตรใหญ่ ข้าจะบอกให้ ฉายาฝีปากแก่กล้าของพวกข้าจวนหลงกู่ได้เปลี่ยนเจ้าของแล้ว”
“งั้นหรือ ข้าอยากมาดูไว้เป็นประสบการณ์เสียหน่อย” กงซุนอิ๋งจี่ยิ้มอวดฟันขาว
กงซุนอิ๋งจี่เป็นบุตรชายของเสนาบดีกงซุนเจี้ยน อายุสิบแปด ค่อนข้างมีคารมคมคาย ครั้นถกเถียงกับหนานฉีมักตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่บ่อยครั้ง แต่ยิ่งผิดหวังยิ่งฮึกเหิม ทุกครั้งที่มีข้อถกเถียงก็จะอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับหนานฉี
“หวยจิน ด่ามัน!” จีเหมียนจิ้มๆ ซ่งชูอี
……………………………
คอมเม้นต์