กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ – บทที่ 55 สอนวิธีการเล่นให้เจ้า
“หึหึ ไม่บ้าไปกับเจ้าหรอก!” เดิมทีซ่งชูอีไม่ต้องการเสียเวลากับหลงกู่ปู้วั่ง แต่บัดนี้นางกินอยู่ในตระกูลหลงกู่ ก็ควรจะทำงานให้พวกเขาอย่าจริงจังเสียหน่อย
แม้นรู้ว่าต่อให้นางเย่อหยิ่งกว่านี้สักหน่อย หลงกู่ชิ่งก็ไม่ไล่ไปไหน ในเมื่อนางตั้งใจที่จะทำงานอย่างจริงจัง แม้แต่ความพยายามภายนอกก็ต้องทำให้เพียงพอ
ซ่งชูอีพบเจอเด็กหนุ่มเช่นหลงกู่ปู้วั่งมามากแล้ว ครั้นถูกโจมตีซึ่งหน้า เขาก็จะตอกกลับอย่างรุนแรง ดังนั้นซ่งชูอีจึงกลับไปยังห้องหนังสือ หลังจากกล่าวทักทายกับทุกคนแล้วก็นั่งลงที่นั่งของตนเอง หยิบสมุดไผ่ขึ้นมาหนึ่งเล่ม รอคอยหลงกู่ปู้วั่งอย่างสงบนิ่งท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย
เป็นไปตามคาด นางเพิ่งนั่งได้ไม่ทันไร ประตูห้องหนังสือก็ถูกคนถีบเปิดอย่างแรง
ทุกคนหันไปมองหลงกู้ปู้วั่ง แล้วเบือนหน้าหนี มิใช่เพราะเกรงกลัวเขา แต่เมื่อเห็นแล้วก็รู้สึกปวดศีรษะ
ซ่งชูอีทำเป็นมองไม่เห็น อ่านสมุดไผ่ในมืออย่างตั้งอกตั้งใจราวกับว่ามันเป็นหนังสือลับบางอย่างที่ยอดเยี่ยม
หลงกู่ปู้วั่งแย่งสมุดไผ่ในมือของนางฉับพลัน โยนไปด้านข้าง แล้วคว้าคอเสื้อของนางขึ้น
ครานี้ซ่งชูอีจึงชำเลืองเขาด้วยความไม่พอใจ เอ่ยอย่างเชื่องช้า “ว่าเยี่ยงไร คิดจะลงมือกับข้างั้นรึ? ข้าน้อยไม่มีกำลังแม้จะจับไก่มัด ถ้าหากตีข้าน้อยแล้วสามารถทำให้คุณชายภูมิใจได้มาก เช่นนั้นก็ตีให้เต็มที่เถิด! หากตีไม่ดีมันก็จะไม่ดี อย่าคิดใช้กำหมัดเพื่อให้ข้าน้อยศิโรราบ”
หลงกู่ปู้วั่งกัดฟัน ปล่อยมือโยนนาง หายใจหอบพร้อมเอ่ย “ดีมาก! ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะอดทนไปถึงไหน! ข้าให้เวลาเจ้าสามวัน หากข้าคิดว่าเจ้าไร้ความสามารถ เจ้าก็รีบไสหัวออกไปจากจวนหลงกู่เสีย!”
“ครึ่งเดือน” ซ่งชูอีกล่าวโดยไม่ลังเล นางจัดแจงเสื้อผ้าของตนเอง นั่งลงตรงที่นั่ง “ความอดทนของข้าน้อยมีขีดจำกัด หากคุณชายคิดว่าครึ่งเดือนนานเกินไป เช่นนั้นก็ไปหาผู้ที่มีความสามารถดีหรือไม่? ถ้าหากทนรอไม่ไหว จะอัดข้าน้อยสักคราก็ย่อมได้”
“เจ้ายอมข้ารึ?” แววตาที่เปี่ยมด้วยเพลิงโทสะของหลงกู่ปู้วั่ง แสดงความดูถูกเหยียดหยาม
“หากท่านอัดข้าน้อยจริง…ข้าน้อยไม่มีความกล้ามาตั้งแต่ไหนแต่ไร เจอกันคราหน้าก็ต้องก้มศีรษะเชื่อฟังเพื่อความอยู่รอด” ซ่งชูอีเก็บสมุดไผ่ที่อยู่บนพื้นขึ้นมา ม้วนอย่างระมัดระวัง มองดูเขาพร้อมหัวเราะแผ่วเบา “ทว่าคนหยาบก็คือคนหยาบ คนต่ำต้อยก็คือคนต่ำต้อย ข้าน้อยมีดวงตา มีหัวใจ สามารถแยกแยะเองได้ ต่อให้ท่านฆ่าข้าน้อยก็มิอาจเปลี่ยนแปลงความคิดนี้”
ได้ยินคำพูดนี้ของซ่งชูอี เพลิงโกรธของหลงกู่ปู้วั่งก็บรรเทาลงไม่น้อย กล่าวอย่างสบายใจ “เยี่ยม! มิได้ขี้ขลาดตาขาว ข้าจะได้เวลาเจ้าครึ่งเดือน! เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป!”
อันที่จริงแล้ว บัณฑิตผู้มีความกล้ามิได้มีเพียงซ่งชูอี ผู้ที่นิสัยดุดันกว่านางก็มีไม่รู้ตั้งเท่าไร ทว่าหลงกู่ปู้วั่งชอบคำพูดครึ่งแรกของนาง ตระหนักในความอ่อนแอและยืดหยัดในความคิดเห็นของตนเอง ทำในสิ่งพึงกระทำ ละวางในสิ่งพึงละวาง น่าสนใจกว่าเหล่าบัณฑิตที่หัวแข็งเข้มงวดไม่น้อย
“ข้าน้อยมีนามว่าซ่งชูอี ชื่อรองหวยจิน ชื่อรองเดิมอิ๋นเยวี่ย เป็นศิษย์สำนักเต๋า ทว่ามิได้เข้าใจคำสอนเต๋าที่สุด” ซ่งชูอีแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการกับเขา
หลงกู่ปู้วั่งเป็นคนโมโหง่ายและหายง่ายเช่นกัน หลังจากที่ระบายด้วยกำลังเมื่อครู่แล้ว บัดนี้ก็มิเหลือความขุ่นเคืองอยู่เท่าใดนัก ทว่ายังคงปิดใจต่อซ่งชูอี ครั้นได้ยินคำแนะนำตัว อดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจเอ่ย “เป็นศิษย์สำนักเต๋ากลับไม่เข้าใจคำสอนของเต๋า? งั้นเจ้าเข้าใจกระไร!”
ซ่งชูอีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย กวักมือบอกให้เขาเข้ามาใกล้อีกหน่อย
หลงกู่ปู้วั่งเป็นคนที่รักษาสัญญา บอกว่าจะให้เวลาครึ่งเดือน จึงให้ความร่วมมือโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อทำการสำรวจ
ซ่งชูอีเข้าใกล้เขา พ่นคำหนึ่งแผ่วเบา “เล่น”
เมื่อครู่หลงกู่ปู้วั่งนึกถึงความเป็นไปได้หลายอย่าง ทว่ามิได้คาดหวังเลยว่านางจะกล่าวเยี่ยงนี้! อดไม่ได้ที่จะตะลึงงันไปครู่หนึ่ง เสียงของซ่งชูอีดังขึ้นข้างหูเบาๆ อีกครั้ง “ใช้ใต้หล้าเป็นกระดานหมาก ใช้รัฐเป็นตัวหมาก การละเล่นเช่นนี้คุณชายสนใจหรือไม่?”
ทันทีที่ได้ยินดังนี้ คลื่นขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นภายในใจของเด็กหนุ่ม ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาชื่นชอบผังเจวียนเป็นที่สุด และปรารถนาที่เป็นดังผังเจวียนในฐานะท่านแม่ทัพผู้กล้าหาญเจ้าแผนการ สามารถฝ่าโจมตีศัตรูอีกทั้งเป็นกุนซือในค่ายผู้บัญชาการได้
แม้นในที่สุดผังเจวียนพ่ายแพ้ ผู้คนใต้หล้ากล่าวเพียงว่าเขามีจิตใจคับแคบ ริษยาผู้ที่มีความสามารถมากกว่าเท่านั้น ทว่าหลงกู่ปู้วั่งมิได้มองเขาผังเจวียนเป็นเป้าหมาย หากแต่เป็นภูเขาลูกใหญ่ที่เขาต้องการก้าวข้าม
ซ่งชูอีมองดูการแสดงออกของหลงกู่ปู้วั่ง รู้ว่าคำพูดของตนนั้นได้กระตุ้นความฮึกเหิมภายในใจของเด็กหนุ่ม จึงมิได้พูดมากอีก เพียงแต่มองเขาอย่างเงียบๆ
ซ่งชูอีมีความสามารถนี้หรือไม่ ในเวลานี้จะยังมิเอ่ยถึง คำพูดเหล่านี้เป็นเพียงหนึ่งในแผนการของนางที่ต้องการให้เด็กหนุ่มคนนี้เชื่อฟังก็เท่านั้น
จะต้องวาดขนมชิ้นใหญ่นี้ให้เขาอย่างดี ผู้มีความทะเยอะทะยานนั้นคู่ควรต่อความเคารพ ในโลกใบนี้ไม่กีดกันผู้มีความทะเยอทะยานอันสูงส่ง
หลงกู่ปู้วั่งดึงสติกลับมา มองดูซ่งชูอี
ซ่งชูอีศึกษาคำสอนของสำนักเหล่าจวงมาตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นจึงมิได้ยึดติดกับกฎระเบียบจนเข้ากระดูก มีอิสระไร้กังวล ด้วยเหตุนี้จึงมิเคยเสียมารยาท แต่ก็แตกต่างจากบัณฑิตท่านอื่นที่จารึกกฎเกณฑ์ลงในโลหิตของพวกเขา แววตาของนางเผยให้เห็นความเสรีนั้น ชวนให้น่าอิจฉา
“สำนักเต๋ากล่าวว่าวิถีของเต๋านั้นเป็นธรรมชาติ ท่านคิดว่าใต้หล้านี้ควรมีกฎระเบียบหรือไม่?” หลงกู่ปู้วั่งพิจารณาแล้วหลุดถามออกมาโดยที่ตัวเองก็มิได้ตระหนักด้วยซ้ำ ท่าทีของเขานอบน้อมขึ้นมากโดยไม่รู้ตัว
“หากผู้คนไร้ซึ่งกฎระเบียบ เกรงว่าใต้กล้าก็จะวุ่นวายยิ่งนัก!” ซ่งชูอีไม่รังเกียจที่จะถือเอาสิ่งนี้เป็นบทเรียนแรกสำหรับเขา “กฎระเบียบเป็นสิ่งที่ชักนำผู้คนสู่ความกลมเกลียว สำนักเต๋าของข้ากล่าวว่าวิถีเต๋านั้นเป็นธรรมชาติ ครั้นกฎระเบียบเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสม มันจะทำให้ผู้คนไม่หยาบโลนเช่นโบราณกาล ทำให้ผู้คนรู้จักละอายใจ ผู้คนต้องการกฎระเบียบเพื่อที่จะสามารถดำเนินต่อไปได้”
หลงกู่ปู้วั่งเกลียดชังการเขียนพรรณายืดยาวและเคยอ่านคำสอนของลัทธิเต๋า ทว่าทุกครั้งที่เห็นลัทธิเต๋ากล่าวกระไรที่ว่าความสอดคล้องกับธรรมชาติ ความเงียบสงบและการวางเฉย ก็รู้สึกว่ามันไม่สมจริง หากผู้คนใต้หล้าล้วนไม่แก่งแย่งไม่ทำสงครามกันแล้ว เช่นนี้โลกใบนี้จะมีความหมายอันใดเล่า? แต่คิดไม่ถึงว่าที่แท้ “ลัทธิเต๋านั้นเป็นธรรมชาติ” สามารถอธิบายได้ง่ายถึงเพียงนี้
หลงกู่ปู้วั่งนั่งตัวตรง ประสานมือคำนับด้วยความนอบน้อม “ศิษย์รับคำสอนแล้ว เช่นนั้นหากใต้หล้ามีกฎระเบียบเป็นข้อบังคับ เหตุใดท่านจึงได้อิสระเพียงนี้?”
ซ่งชูอีนิ่งไปครู่หนึ่ง หัวร่อออกมาทันใด คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มบ้าบิ่นผู้นี้มิใช่คนหยาบคายกระไร เขาสามารถมองเห็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ได้อย่างง่ายดาย
“โลกมีกฎเกณฑ์ ทว่าหัวใจของข้าเป็นอิสระ กฎระเบียบมีไว้เพื่อชี้แนะและควบคุมพฤติกรรมของผู้คน ขอเพียงรู้จัก เข้าใจ และเคารพในกฎระเบียบ ถ้าหากรับเอามันมาเหนี่ยวรั้งหัวใจของตนก็เท่ากับโง่เขลา” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย
วาจาและการประพฤติตนของซ่งชูอีล้วนตรงกับความนึกคิดของหลงกู่ปู้วั่งพอดิบพอดี คล้ายกับว่าที่เขามิได้คารวะผู้ใดเป็นอาจารย์ ก็เพราะรอการมาถึงของซ่งชูอี บัดนี้จึงยินดีอย่างยิ่ง
หนานฉีมองดูทุกการกระทำของซ่งชูอี ครั้นได้ฟังคำพูดของนางแล้วในใจพลันชื่นชมความสามารถในการอ่านคนของอี๋ซือขุย รวมทั้งความกล้าหาญในการใช้คน เห็นท่าทีของหลงกู่ปู้วั่ง เกรงว่าคงมิต้องรอถึงครึ่งเดือนแล้ว อันที่จริงอาจารย์ที่หลงกู่ชิ่งหามาให้หลงกู่ปู้วั่งก่อนหน้านี้ล้วนเป็นบุคคลผู้รอบรู้อย่างแท้จริง บางคนมีความรู้มากกว่าซ่งชูอีเสียอีก ทว่าการไหว้คารวะอาจารย์ต้องดูดวงวาสนา มีความรู้หรือไม่นั้นนับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เข้ากันได้หรือไม่ต่างหากที่สำคัญที่สุด
ความรู้ของอี๋ซือขุยนั้นอยู่ในระดับทั่วไป ทว่าความสามารถในการใช้คนให้ถูกกับงานนั้นยอดเยี่ยม การใช้คนของเขาไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว บ่อยครั้งที่ดูแล้วเสี่ยงอันตราย ไร้แรงโน้มน้าวโดยสิ้นเชิง ยกตัวอย่างเช่นการใช้ซ่งชูอีในครานี้ ใครจะกล้าใช้เด็กหนุ่มคนหนึ่งเพื่อเป็นอาจารย์ให้กับเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งกันเล่า? เรื่องนี้ดูไร้สาระเกินไป อย่างไรเสียเขาก็ทำเช่นนี้แล้ว
และเป็นเพราะรูปแบบการทำงานของเขาเช่นนี้ ทำให้เขาพบทางตันทุกที่ จนท้ายที่สุดได้มาเป็นคนรับใช้ให้กับจวนหลงกู่ แม้นมีหน้าที่รับผิดชอบด้านการศึกษาเล่าเรียนของบุตรหลานตระกูลหลงกู่ ทว่าก็มิได้มีตำแหน่งสูงกว่าอาจารย์ทั่วไป
…………………………
คอมเม้นต์