กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ – บทที่ 68 ในที่สุดก็สงบลงแล้ว
ซ่งชูอีถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ออก ปัดๆ เกล็ดหิมะบนศีรษะ นั่งลงหน้าโต๊ะ อุ้มลูกหมาป่าหิมะไว้ในมือ
ภายในรถเงียบสงัด สามารถได้ยินเสียงกึกกักๆ ของเกือกม้าและล้อรถจากด้านนอก ซ่งชูอีหยิบสมุดไม้ไผ่ขึ้นมาจากโต๊ะแล้วคลี่เปิด กวาดสายตาลวกๆ รอบหนึ่ง พึมพำกับตัวเอง “อืม ไป๋เริ่น (ดาบขาว) เยี่ยม!”
ซ่งชูอีเงยหน้าขึ้นมา เอ่ยกับหลงกู่ปู้วั่ง “ต่อไปข้าจะเรียกเจ้าขนปุยตัวน้อยนี้ว่าไป๋เริ่น”
หลงกู่ปู้วั่งหัวเราะ มองดูเจ้าตัวน้อยที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ด้วยความสงสัย สอดมือเข้าไปในแขนเสื้อพร้อมถาม “นั่นก็เป็นเจ้าตัวน้อยที่ปล่อยเบาใส่เตียงของข้า ตั้งชื่อให้มันเช่นนี้เป็นการเอาใจเกินไปแล้ว”
ไป๋เริ่นมีความหมายของคำว่าดาบแฝงอยู่ ฟังดูน่าเกรงขามและเฉียบคม หลงกู่ปู้วั่งไม่เห็นว่ามันมีบุคลิกที่คู่ควรตรงไหน
“โตขึ้นก็ดีเอง ข้าไม่เชื่อว่าตอนเด็กเจ้าไม่เคยฉี่รดที่นอน” ซ่งชูอีกล่าว
“ไม่เคยอยู่แล้ว” หลงกู่ปู้วั่งเอ่ยด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ
ซ่งชูอีรู้สึกว่าไอเย็นยะเยือกบนตัวหายไปเกือบหมดแล้ว จึงเอ่ยขึ้น “ไม่รู้ว่าเจ้าเห็นเรื่องเมื่อคืนว่าเยี่ยงไร?”
หลงกู่ปู้วั่งเงียบไป สักพักจึงเอ่ยขึ้น “เพราะว่าข้าวู่วามเกินไป”
ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ พยักหน้าอย่างพออกพอใจ “เยี่ยม สามารถคิดถึงปมของปัญหาได้ก็ดี ปู้วั่ง จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของเจ้าคือความวู่วาม กระทำการโดยใช้อารมณ์ เจ้าต้องเข้าใจว่าการต่อสู้ระหว่างกองทัพสองฝ่ายนั้น หากเจ้าไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ ต่อให้กลยุทธ์แยบยลเพียงใดก็ไร้ประโยชน์”
หลงกู่ปู้วั่งมิใช่คนเขลา แต่อารมณ์ถูกกระทบกระเทือนได้โดยง่าย ครั้นเผชิญกับเหตุการณ์ใดเขาจะใช้อารมณ์ก่อน ไม่คำนึงถึงเรื่องอะไรทั้งสิ้น เอาการล้างแค้นเป็นที่ตั้ง บางทีช่วงเวลาที่เขาไม่ได้ใช้สมองอาจเป็นเพียงช่วงสั้นๆ ทว่ามันก็เพียงพอสำหรับผู้ที่ต้องการจะฆ่าเขา
“ปู้วั่ง ในเมื่อเจ้าชอบอ่าน ‘จวงจื่อ’ ก็ต้องอ่านให้ทะลุปรุโปร่ง มันสามารถชดเชยจุดอ่อนของเจ้าได้” การแสดงออกที่เข้มงวดของซ่งชูอีเปลี่ยนไปกระทันหัน หัวเราะเอ่ย “ทว่าเมื่อเทียบกับ ‘อิสระจร’ ข้าแนะนำให้เจ้าอ่าน ‘ต้าจงซือ (ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่)’ อย่างละเอียดจะดีกว่า”
หลงกู่ปู้วั่งคุ้นชินกับท่าทีพิลึกประเภทนี้ของซ่งชูอีแล้ว ไม่สิ ไม่ว่านางจะทำเรื่องใดเขาก็ไม่รู้สึกว่ามันพิลึก ด้วยเหตุนี้จึงได้แต่เอ่ยด้วยความนอบน้อม “ปู้วั่งน้อมรับคำสอน”
สำหรับผู้ที่มีความทะเยอทะยานนั้น ไม่จำเป็นต้องควบคุมมากจนเกินไป ซ่งชูอีแนะนำให้หลงกู่ปู้วั่งอ่าน ‘ต้าจงซือ’ เขาก็จะไปอ่านอย่างละเอียด
‘จง’ หมายถึงความเคารพนับถือ ‘ต้าจงซือ’ หรือปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่นั้น หมายถึงอาจารย์ที่คู่ควรแก่การเคารพนับถือเป็นที่สุด หากดูตามชื่อของความเรียงแล้วก็จะนึกว่าเป็นหลักเหตุผลที่สอนการทำสิ่งต่างๆ ให้ผู้อื่น ทว่าแท้จริงแล้ว นี่เป็นความเรียงที่ว่าด้วย ‘วิถีแห่งเต๋า’
จวงจื่อเชื่อว่า ‘วิถีแห่งเต๋า’ ต่างหากที่เป็นปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ วิถีแห่งเต๋าคือสิ่งใดเล่า? ประเด็นสรุปในความเรียงกล่าวว่า หัวใจอันบริสุทธิ์ ละซึ่งสติปัญญา ลืมสิ้นความเป็นและความตาย ปล่อยไปตามธรรมชาติ นี่จึงเรียกว่า ‘วิถีแห่งเต๋า’
ซ่งชูอีอ่านความเรียงนี้แล้ว ยังมิอาจหล่อรวมตนเข้ากับธรรมชาติแล้วลืมอัตตาได้ ทว่าก็ได้รู้แจ้งถึงหลักเหตุผลมากมาย จิตใจจึงค่อยๆ กลับสู่ความเงียบสงบ
หิมะตกหนักติดต่อกันสองวัน การเดินทางบนถนนหนทางยากลำบากขึ้นทุกที โชคดีที่ใกล้ถึงนครเล็กๆ แห่งหนึ่งของรัฐเว่ยที่ชื่อว่าไป๋หม่าแล้ว
หลังจากถึงไป๋หม่า เดินทางเพียงวันเดียวก็จะถึงแม่น้ำเหลือง จากนั้นเมื่อเดินเลียบแม่น้ำเหลืองไปทางทิศตะวันตก ก็จะสามารถเข้าใกล้ด่านหานกู่ของรัฐฉิน
ทันทีที่ขบวนรถเข้านครไป๋หม่าก็ดึงดูดสายตาผู้คนจำนวนมาก จี๋อวี่เพิ่งจะเลือกสถานที่ว่างเปล่าเพื่อพักผ่อน ก็มีคนนำสิ่งของเข้ามาถามว่าต้องการจะแลกเปลี่ยนหรือไม่
สิ่งของที่ราษฎรนำมาแลกเปลี่ยนล้วนเป็นเสื้อผ้าและธัญพืช
“ท่าน ต้องการแลกหรือไม่?” จี๋อวี่ไม่เคยทำการค้าขายมาก่อน ตัดสินใจไม่ใคร่ถูก
ซ่งชูอีเอ่ยถาม “ในขบวนรถขาดของเหล่านี้หรือ?”
จี๋อวี่ตอบ “พวกเราเพิ่งออกจากผูหยางสามวัน หากไม่มีเหตุไม่คาดคิด อาหารของเรายังสามารถประทังได้สิบวัน เพียงพอในการเดินทางสู่นครถัดไป”
“บอกพวกเขาว่าพวกเราค้าขายมนุษย์ หากในบ้านมีลูกชายหรือลูกสาวที่ไม่ต้องการแล้ว สามารถพามาแลกเปลี่ยนได้” ซ่งชูอีเอ่ย
มุมปากจี๋อวี่สั่นเล็กน้อย แม้นจะเป็น “ลูกชายหรือลูกสาวที่ไม่ต้องการแล้ว” จริง ก็ไม่จำเป็นต้องพูดตรงเช่นนี้กระมัง
ซ่งชูอีเสริมต่อ “ตรวจให้ละเอียด หากป่วยไม่เอา เด็กผู้หญิงจำต้องหน้าตาดี เด็กผู้ชาย…เจ้าตัดสินใจเถิด”
“รับทราบ!” จี๋อวี่รับคำสั่งแล้วถอยออกไป ประกาศเสียงดังกับราษฎรเหล่านั้นด้วยคำพูดของซ่งชูอีเมื่อครู่
ทันทีที่ทุกคนได้ยินว่าไม่แลกเปลี่ยนสิ่งของแต่แลกเปลี่ยนมนุษย์ ก็ส่งเสียงหึ่งๆ แยกย้ายกันไปทันที จี๋อวี่ทอดถอนใจ บัดนี้มีสงครามวุ่นวาย สถานที่หลายแห่งต่างถูกทิ้งร้าง จะยังเหลือคนมากมายที่ไหนกัน!
อย่างไรก็ตามด้วยเหตุนี้ การค้าขายมนุษย์จึงทำกำไรสูงมาโดยตลอด จำนวนประชากรของทุกปีลดลงฮวบฮาบสืบเนื่องมาจากสงคราม ทว่าความต้องการบ่าวคนใช้ในตระกูลสูงศักดิ์กลับมิได้ลดน้อยลงเลย ฉะนั้นตลาดการค้าทาสระหว่างรัฐจึงคล่องตัวเป็นอย่างมากเสมอมา
จี๋อวี่กำลังสั่งคนให้เตรียมเตาหุงข้าว ทันใดนั้นก็เห็นคนกลุ่มใหญ่ส่งเสียงอื้ออึงบนถนน บ้างร่ำไห้ดิ้นรน บ้างสะอื้นเสียงเบา ยังมีผู้หญิงเดินตุปัดตุเป๋ไล่ตามอยู่ข้างหลังพร้อมตะโกนปานจะขาดใจ
คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงกับเด็ก มีผู้ชายรูปร่างกำยำเพียงไม่กี่คน พวกเขาหยุดอยู่ไม่ไกลจากขบวนรถ มีเด็กคนหนึ่งก้าวออกมาข้างหน้าด้วยความกล้าหาญ เอ่ยถาม “ข้า เยี่ยงข้าได้หรือไม่?”
พวกเขามาขายตัวเองเป็นทาส
ในบรรดาคนกลุ่มนี้ บ้างขายตัวเอง บ้างก็ขายลูกชายลูกสาว บ้างก็จับเด็กที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องมาขาย
ซ่งชูอีเปิดหน้าต่างออก ดึงม่านลง จ้องมองคนกลุ่มนั้นผ่านช่องว่าง ดวงตาทั้งคู่ที่เปล่งประกายกวาดมองรอบหนึ่ง
“‘การใช้ทหารของปราชญ์นั้นหนา โค่นรัฐทว่าไม่สิ้นความนิยม ประโยชน์นั้นทั่วถึง หาใช่เพียงคนรัก’ อาจารย์ ประโยคนี้หมายความว่ากระไร?” หลงกู่ปู้วั้งเอ่ยถาม
ซ่งชูอีตอบโดยไม่หันมามอง “ปราชญ์ใช้ประโยชน์จากกองกำลังเพื่อทำลายรัฐศัตรู แต่กลับไม่สูญเสียความนิยมของราษฎรในรัฐศัตรู ผลประโยชน์และพระคุณถูกนำไปใช้กับทุกวัย มิใช่เป็นการเลือกที่รักมักที่ชัง”
หลงกู่ปู้วั่งขมวดคิ้ว แน่นอนว่าเขาเข้าใจความหมายของคำเหล่านั้น จ้องมองซ่งชูอีที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่กลับถามด้วยความอดทน “เหตุใดใช้กองกำลังแล้วยังได้ใจราษฎร? เหตุใดใช้ผลประโยชน์และพระคุณแล้วจึงไม่นับว่าเป็นการเลือกที่รักมักที่ชัง?”
“ความเมตตากรุณา ความถูกต้องเที่ยงธรรม ขนบจารีต ความเชื่อ” สายตาของซ่งชูอีหยุดอยู่ที่เด็กผู้หญิงอายุราวๆ เจ็ดแปดขวบคนหนึ่ง สำรวจโดยละเอียดอยู่หลายรอบ
นี่คือแนวคิดของสำนักขงจื้อ หลงกู่ปู้วั่งถาม “ความเมตตากรุณา ความถูกต้องเที่ยงธรรม ขนบจารีต ความเชื่อที่อาจารย์กล่าวถึง ความหมายเดียวกันกับที่สำนักขงจื้อกล่าวหรือไม่?”
“ความหมายเดียวกัน แต่ว่า…เอ๊ะ?” ซ่งชูอีเห็นว่ามีหนุ่มวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังดึงเด็กหญิงที่นางถูกใจเมื่อครู่ รีบตะโกนเรียก “จี้ฮ่วน! จี้ฮ่วน!”
“ท่าน!” จี้ฮ่วนก้าวเท้ายาวๆ เข้ามา
ซ่งชูอียื่นมือ ชี้ไปยังตรงข้ามพร้อมเอ่ย “ไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น หาวิธีซื้อเด็กผู้หญิงคนนั้นมาให้ได้”
“รับทราบ!”
“อาจารย์ แต่ว่ากระไร?” หลงกู่ปู้วั่งเอ่ยถาม
ซ่งชูอีหันกลับมา “หืม? แต่ว่ากระไร?”
“เรื่องความเมตตากรุณา ความถูกต้องเที่ยงธรรม ขนบจารีต ความเชื่อที่ท่านกล่าวให้ข้าฟังเมื่อครู่” หลงกู่ปู้วั่งเอ่ย
ซ่งชูอีหวนระลึกครู่หนึ่ง สอดมือไว้ในแขนเสื้อกล่าว “เจ้ามิได้หลอกข้ากระมัง เรื่องความเมตตากรุณา ความถูกต้องเที่ยงธรรม ขนบจารีต ความเชื่อนั่นมัน…”
หลงกู่ปู้วั่งหรี่ตา เสียงทุ้มต่ำเล็กน้อย “ท่านอย่าบอกข้านะ ว่าเมื่อครู่ท่านเพียงกล่าวส่งเดช!” พูดไปพูดมา จู่ๆ เขาก็คำราม “เป็นถึงอาจารย์! เล่นเป็นเด็กเช่นนี้ได้เยี่ยงไร!”
ซ่งชูอีแคะๆ หู เอ่ยขึ้นอย่างเฉยเมย “ข้าจำได้น่า ข้าเพียงอยากทดสอบว่าที่สอนเจ้าไปเมื่อเช้ามีประโยชน์หรือไม่ ”
หลงกู่ปู้วั่งนิ่งไป ไม่นานก็กุมศีรษะด้วยความเจ็บปวด ครุ่นคิดครู่หนึ่ง บอกแล้วว่าให้สงบสติอารมณ์ แต่สุดท้ายก็ยังโมโหง่ายเหลือเกิน
ซ่งชูอีเลิกคิ้วเล็กน้อย หันไปมองด้านนอกต่อ พลันคิดในใจ ‘ในที่สุดก็สังเกตการณ์อย่างสงบได้เสียที’
…………………………………
คอมเม้นต์