กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ – บทที่ 85 กลยุทธ์ของท่านเยี่ยมนัก

อ่านนิยายจีนเรื่อง กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ ตอนที่ 85 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.
บทที่ 85 กลยุทธ์ของท่านเยี่ยมนัก

สีหน้าอิ๋งซื่อไร้ความประหลาดใจ ไม่รู้ว่าพอพระทัยหรือไม่ ได้แต่เปลี่ยนหัวข้ออย่างไม่แยแส “ท่านราชทูตมีนามว่ากระไร อาจารย์คือผู้ใด”

“กระหม่อมมีนามว่าซ่งชูอี นามรองหวยจิน นามรองเดิมอิ๋นเยวี่ย” ซ่งชูอีลังเลครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ส่วนเรื่องอาจารย์นั้น…ได้โปรดฉินกงประทานอภัย กระหม่อมมิอาจเอ่ยได้”

อิ๋งซื่อตอบรับด้วยความเฉยเมย ผลักสิ่งที่เขียนเมื่อครู่ให้นาง ส่งสัญญาณให้นางอ่าน

ซ่งชูอีลุกขึ้น สองมือรับผืนผ้าไหมไว้ ก้มหน้ากวาดตาอ่านรอบหนึ่ง นี่คือหนังสือที่อ๋องฉีเขียนให้อิ๋งซื่อ ด้านบนยังมีวันเวลาเพื่อหารือเกี่ยวกับการโจมตีรัฐเว่ยอย่างน่าประทับใจ อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมาด้วยความทึ่ง “หนังสือรับรองแห่งรัฐฉี?”

อิ๋งซื่อเอามือสอดไว้ในแขนเสื้อ “ท่านราชทูตเห็นเยี่ยงไร?”

“ฉินกงทรงพระปรีชานัก!” ซ่งชูอีอุทาน

ทำได้แม้กระทั่งปลอมแปลงหนังสือรับรองเช่นนี้! น่ารังเกียจเกินไปแล้ว!

อิ๋งซื่อราวกับมองทะลุความคิดของนาง แต่มิได้เอ่ยปาก เพียงแต่ตรัสว่า “ท่านราชทูตเห็นเวลาชัดแล้วหรือยัง?”

ซ่งชูอีวางแผ่นผ้าไหมกลับไปที่ชั้น พยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “เห็นชัดแล้ว ทว่ากระหม่อมมองว่าผ้าไหมนี้กับผ้าไหมฉีไม่ต่างกัน มีเพียงตราประทับที่ขาดหายไป”

เมื่อเช้าอิ๋งซื่อค้นหาหนังสือที่แลกเปลี่ยนระหว่างรัฐฉีและรัฐฉิน ค้นคว้าอย่างละเอียดรอบหนึ่งแล้วก็เริ่มงานปลอมแปลงหลังจากประชุมราชสำนัก การปลอมแปลงหนังสือรัฐค่อนข้างยุ่งยาก ส่วนสำคัญเป็นเพราะความพิเศษของผ้าไหมที่ใช้ การทอผ้าไหมในแต่ละรัฐนั้นถูกทอโดยผู้เชี่ยวชาญ เนื้อผ้าและคุณภาพล้วนมีความแตกต่างอันละเอียดอ่อน อีกเรื่องหนึ่งก็คือตราประทับ

อิ๋งซื่อได้ยินดังนี้ ลุกขึ้นค้นหาในกล่องด้านหลังอยู่ครู่หนึ่งก็พบกล่องขนาดเล็ก นำตราประทับออกมาจากด้านใน จุ่มด้วยหมึกแล้วประทับลงไป

ซ่งชูอียื่นศีรษะออกไปดู เป็นตราประทับของรัฐฉีจริงๆ! แม้นเป็นหยกคุณภาพต่ำ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นของปลอม แต่ว่าเพราะแกะสลักได้เหมือนจริงมาก ตราที่ประทับออกมาจึงไร้ข้อแตกต่าง

ที่จริงแล้วตามปกติอิ๋งซื่อมีงานอดิเรกที่ไม่มีใครล่วงรู้ นั่นก็คือความชอบในตราประทับ เขาเคยเรียนรู้กับช่วงฝีมือนายหนึ่งขณะที่ถูกเนรเทศ ในเวลานั้นเขาได้แกะตราประทับของรัฐและตราประทับของมหาเสนาบดีนานาชนิด ครั้นกลับเสียนหยาง นอกเหนือจากเสื้อผ้าหลุดลุ่ยบนตัวแล้วก็เหลือเพียงสิ่งของเหล่านี้

“‘ทฤษฎีโค่นรัฐ’ ของท่านราชทูตที่ว่า เป็นทฤษฎีของสำนักไหนรึ?” อิ๋งซื่อไม่สนใจแผ่นผ้าไหมอีก จากนั้นก็ถามสิ่งที่เขาสนใจที่สุด

ซ่งชูอีดึงความคิดกลับมา ประสานมือเอ่ย “ของกระหม่อมเองพะย่ะค่ะ”

อิ๋งซื่อแสดงอาการประหลาดใจ เขาคิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มอายุเพียงสิบห้าตรงหน้าคนนี้ จะมีความบังอาจถึงเพียงนี้!

หากซ่งชูอีแนะนำให้เขาโค่นทั้งรัฐก่อนที่จะได้อ่าน “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ไม่ว่าใครก็คงคิดว่าเป็นคำพูดที่บ้าบิ่นสิ้นดี ทว่าเมื่อคืนอิ๋งซื่อได้อ่านบทความนั้นแล้ว ถ้อยคำด้านในสงบนิ่งและเปี่ยมด้วยพุทธิปัญญา มีความฮึกเหิมโดยตลอด ตอนนั้นเขานึกว่าผู้เขียนอายุสักสามสิบเป็นอย่างน้อยด้วยซ้ำ

ซ่งชูอีเห็นว่าเขาดูมีความสนใจเรื่องนี้มาก จึงไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย พูดขึ้น “ในโลกแห่งความขัดแย้ง ใครบ้างจะซ่อนเร้นความทะเยอทะยาน? แต่ละรัฐล้วนแข่งขันกันเพื่อเป็นใหญ่ หลังจากหลายร้อยปีแห่งความวุ่นวายจะสามารถรวมเป็นหนึ่งได้หรือไม่นั้น ก็ต้องดูว่าในบรรดาเจ็ดรัฐนี้ผู้ใดจะสามารถยึดครองใต้หล้า ส่วนทฤษฎีการโค่นรัฐก็คือความคิดที่กระหม่อมต้องการจะเดินทางไปยังรัฐต่างๆ เพื่อทำการส่งเสริม”

ในยุคชุนชิวมีแต่ความวุ่นวาย โดยทั่วไปก็ยังคงรักษาเค้าโครงของราชวงศ์โจวไว้ แม้นจูโหวจะมิได้อยู่ภายใต้การควบคุมของราชวงศ์โจวอีกต่อไป ทว่าด้วยศีลธรรมและจริยธรรมแล้ว อย่างมากที่สุดก็แต่งตั้งองค์จักรพรรดิเป็นจูโหว อย่างไรเสียทุกคนก็ต่างยังคงเคารพตระกูลราชวงศ์โจวอยู่

ทว่าเมื่อมาถึงยุคจั้นกั๋ว พระราชวังของราชวงศ์โจวใกล้จะล่มสลายไปจนสิ้น แต่ละรัฐแต่งตั้งอ๋องเพื่อแสดงให้เห็นว่าต้องการจะแยกตัวออกมาจากราชวงศ์โจว มิใช่จูโหวที่อยู่ภายใต้การปกครองของเขาอีกต่อไป หากแต่เป็นอาณาจักรที่เป็นอิสระ

ยุคแห่งสายโลหิตและเปลวเพลิงของจั้นกั๋วเช่นนี้ สิ่งที่สำคัญคือสติปัญญา แผนลวงและความรุนแรง เจ็ดมหานครรัฐล้วนมุ่งมั่นที่จะทำลายระบอบการปกครอง รวมทั้งแย่งชิงผู้คนและดินแดนของรัฐอื่น ความทะเยอทะยานถูกเขียนอยู่บนเปลือกนอก ขาดเพียงคำพูดอันชัดเจนว่า “ข้าต้องการเป็นเจ้าโลก” เท่านั้น “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ของซ่งชูอีจึงสอดคล้องกับสถานกาณ์ปัจจุบันมากอย่างไม่ต้องสงสัย

อิ๋งซื่อเข้าในเรื่องนี้เป็นอย่างดี เขายังเข้าใจอีกว่าซ่งชูอีคงจะอุทิศทฤษฏีการโค่นรัฐนี้ให้เขา โดยกล่าวว่ามันคือหนึ่งเดียวในใต้หล้า ทว่าจะไม่เดินทางไปยังรัฐต่างๆ เพื่อส่งเสริมทฤษฏีนี้ตามที่นางพูด

อีกอย่าง แม้นทฤษฎีนี้จะสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ทว่าความทะเยอทะยานนั้นเป็นสิ่งที่วีรบุรุษในหลายรัฐเห็นพ้องกันโดยปริยายและจะไม่ป่าวประกาศความคิดนี้ออกไป เพราะว่าอาจจะนำไปสู่การถูกรุมโจมตีได้

“ท่านเต็มใจที่จะเข้ารัฐฉินหรือไม่?” อิ๋งซื่อพูดจาตรงๆ ตามความเคยชิน การเรียกจาก “ท่านราชทูต” เป็น “ท่าน” นั้นแสดงให้เห็นว่าเขาต้องการจะคุยเรื่องนี้โดยไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างสองรัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง

ซ่งชูอียิ้มสดใส ในใจยิ่งชื่นชอบความเถรตรงของเขามากขึ้นทุกที อากัปกิริยาของนางเช่นนี้แสดงจุดประสงค์ให้เห็นอย่างเด่นชัด ดังนั้นจึงมิได้ซ่อนเร้นอีกต่อไป “ฉินกงทรงพระปรีชา การเดินทางของกระหม่อมครานี้ก็เพื่อมายังรัฐฉิน ทว่าเรื่องการไหว้วานและความจงรักภักดีนั้น กระหม่อมได้รับปากท่านจวินแห่งเว่ย์ไว้แล้ว ก็ต้องกระทำการอย่างสุดความสามารถ”

“กลยุทธ์ของท่านเยี่ยมนัก” ไม่มีอารมณ์ใดๆ ในคำพูดของอิ๋งซื่อ ไม่รู้ว่าสรรเสริญหรือว่าดูหมิ่น

ซ่งชูอีอาศัยงานการทูตดำเนินการเรื่องส่วนตัว เรียกได้ว่าเป็นการเหยียบรัฐเว่ย์เพื่อก้าวไปยังจุดหมายของตนซึ่งได้ผลกว่าการที่จางอี๋เข้าไปยังรัฐฉินตามลำพังมาก อย่างไรก็ตามหากเขาไม่รู้ความจริง เกรงจะคิดว่าการกระทำของซ่งชูอีเป็นการละทิ้งสหายเก่าก็เป็นได้

ไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่ควรอธิบายก็ควรอธิบายให้ชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด “ตั้งแต่กระหม่อมออกมาจากสำนักอาจารย์ ก็พิจารณาว่ามีโอกาสอันดีในรัฐฉินและต้องการจะเข้ารัฐฉินนานแล้ว แต่เพราะติดค้างบุญคุณคน จึงรับปากที่จะอยู่ในรัฐเว่ย์เป็นเวลาสามปี หลังจากสามปีจึงจะเข้ารัฐฉิน”

สามปีก็เพียงพอสำหรับอิ๋งซื่อที่จะจัดการกิจการภายในรัฐฉินโดยสมบูรณ์แล้ว

อิ๋งซื่อพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้กล่าวกระไรอีก เคาะนิ้วอยู่บนโต๊ะ ไม่ช้าก็มีสาวใช้ยกสาโทร้อนๆ เข้ามา

อิ๋งซื่อยกสาโทขึ้น คารวะซ่งชูอี แล้วจิบคำหนึ่ง

ซ่งชูอีก็ยกขึ้นมาดื่มคำหนึ่ง

ภายในห้องเงียบสงัดไร้คำพูด ซ่งชูอีแอบปาดเหงื่อ ‘ถ้าฝ่าบาทไม่มีอะไรจะพูด ก็ปล่อยข้าไปเถิด? เหตุใดจึงรั้งให้ข้าดื่มสุราอย่างจืดชืดเยี่ยงนี้ ดนตรีและการเต้นรำก็ไม่มี’

“ฉินกงเคยกลัวบ้างหรือไม่?” ซ่งชูอีวางจอกสุราลง เอ่ยถามฉับพลัน

ท่านจวินหนุ่มในวัยสิบเก้าคนหนึ่ง ต้องเผชิญหน้ากับบรรดาขุนนางผู้มีอำนาจ ผ่านประสบการณ์ทางโลก และเปี่ยมด้วยเล่ห์เหลี่ยมซับซ้อน จะเกิดความหวาดกลัวบ้างหรือไม่?

นี่นับว่าเป็นคำถามส่วนตัว อิ๋งซื่อสามารถปฏิเสธที่จะตอบก็ได้ ทว่าเขากลับครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “มันไม่มีอะไรมากไปกว่าไม่ข้าก็เจ้าที่ตาย มีสิ่งใดน่ากลัว?”

ก็อาจจะใช่ ความหวาดกลัวเลือนรางอาจเคยเกิดขึ้นในบางคราว ทว่าครั้นเวลาผ่านไปเขาจะไม่มีวันยอมรับ

“ท่านรู้เรื่องราวของรัฐฉินหรือ?” อิ๋งซื่อเอนกายบนที่เท้าแขน ท่าทางผ่อนคลาย

ฉลองพระองค์สีดำยาวจรดพื้น ความเยือกเย็นบนใบหน้าอันหล่อเหลาจางหายไปเล็กน้อย แสงหิมะนอกหน้าต่างสะท้อนอยู่ในดวงตาที่ชัดเจนดุจหุบเขาลึกเงียบสงบ ริมฝีปากบางๆ ที่ถูกเคลือบด้วยหยดสุราทอแสงประกายเจือจาง ซ่งชูอีจ้องมองฉากตรงหน้าจนลืมไปแล้วว่ายังมีสุราอยู่ในปากตน สาโทสีขาวไหลย้อยออกมาตามมุมปาก

อิ๋งซื่อเพิ่งจะปรับท่าให้สบาย เหลือบตาขึ้นก็เห็นพฤติกรรมของซ่งชูอีเช่นนี้ ความประหลาดใจวูบผ่านแววตา

“แค่ก!” สุราพ่นออกมาจากโพรงจมูกกะทันหัน มันเจ็บจนนางน้ำตาไหล

สาวใช้ด้านนอกไม่กล้าเข้ามาหากไม่มีคำสั่งของอิ๋งซื่อ

ซ่งชูอีไออยู่ครู่ใหญ่ หยิบผ้าออกมาเช็ดปาก จัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก็ประสานมือเอ่ย “เสียมารยาทต่อหน้าท่าน

จวิน หวยจินผิดไปแล้ว”

“เหตุใดท่านจึงเสียมารยาท?” อิ๋งซื่อนึกสงสัยในใจ เห็นชัดๆ ว่าซ่งชูอีจ้องมองเขาจึงเสียมารยาท หรือว่าเขามีอะไรผิดปกติเช่นนั้นหรือ?

“ได้โปรดให้อภัยที่กระหม่อมเสียมารยาท” ซ่งชูอีรู้สึกหวั่นไหว ลุกขึ้นโน้มตัวหาอิ๋งซื่อ ใช้นิ้วเช็ดริมฝีปากของเขา กล่าวขอโทษ “เรื่องเล็กน้อย กระหม่อมเป็นกระต่ายตื่นตูมไปเอง หวังว่าฉินกงจะให้อภัย”

ความหมายในคำพูดนี้คืออิ๋งซื่อเสียมารยาทก่อน นางเห็นแล้วจึงเสียมารยาทตาม ตามแบบฉบับฉวยโอกาสแล้วเอาใจทีหลัง ที่จริงถ้าหากอีกฝ่ายไม่ใช่องค์จวิน นางก็อาจจะหน้าด้านกว่านี้อีกหน่อย

นิสัยของอิ๋งซื่อตามที่ซ่งชูอีรู้จักนั้นไม่จุกจิกกับเรื่องเล็กน้อย และจะไม่บันดาลโทสะเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้เด็ดขาด

อิ๋งซื่อไม่ติดใจกับเรื่องนี้ตามคาด พลันเรียกสาวใช้เข้ามาพาซ่งชูอีไปเปลี่ยนเสื้อ

หลังจากที่เดินออกไป ใบหน้าของซ่งชูอีเปี่ยมด้วยรอยยิ้มสดใสเป็นอย่างยิ่ง! เพียงแต่ตอนนั้นมีสิ่งรบกวนจิตใจมากเกินไป การสัมผัสก็รวดเร็วนัก จำความรู้สึกอะไรไม่ใคร่ได้แล้ว

อิ๋งซื่อนั่งเงียบอยู่ในห้อง การกระทำของซ่งชูอีเมื่อครู่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาอย่างแท้จริง เด็กหนุ่มคนหนึ่งช่วยเขาเช็ดปากงั้นหรือ? รู้สึกพิลึกพิลั่นโดยแท้…

เขายกนิ้วเรียวยาววาดผ่านจุดที่ซ่งชูอีเช็ดเมื่อครู่ ก้มหน้ามองนิ้วแต่ไม่พบอะไรเลย จากนั้นก็มิได้เอามาใส่ใจอีก เก็บหนังสือไหมแห่งรัฐฉีม้วนนั้นเข้ากระบอกทองสัมฤทธิ์ ลุกขึ้นยืนและไปยังหอพระอักษร

เมื่อมาถึงหน้าประตูก็หยุดยืนอยู่ครู่หนึ่ง สั่งกำชับสาวใช้ “ประเดี๋ยวก็พาท่านราชทูตเว่ย์ออกจากวังด้วย”

“เพค่ะ” สาวใช้ถอนสายบัวตอบรับ

ซ่งชูอีเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ไปพบกับจี๋อวี่ จากนั้นก็ออกจากวังโดยมีสาวใช้นำทาง

วันนี้นางอารมณ์ดี ไม่ใช่เพียงเพราะได้ถึงเนื้อถึงตัวฉินกง หัวข้อทั้งหมดที่นางกล่าวในวันนี้ แม้นดูคล้ายการสนทนาที่ไร้จุดหมาย แต่ในความเป็นจริงแล้วมันคือการได้รู้จักฉินกงเพิ่มมากขึ้น

คำถามแรกของนางเพียงถามว่า “ฉินกงเคยกลัวบ้างหรือไม่” แต่กลับไม่ได้ชี้เฉพาะว่ากลัวอะไร ทว่าสิ่งที่อิ๋งซื่อตอบนั้นเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งของเหล่าขุนนาง เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นว่านี่คือเรื่องจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องสะสาง

นอกเหนือจากนั้น วิธีการถามเช่นนี้เป็นการถามเรื่องส่วนตัวอย่างเห็นได้ชัด อิ๋งซื่อในฐานะองค์จวินแห่งรัฐ ไม่มีความจำเป็นต้องหารือเรื่องเหล่านี้กับขุนนางผู้น้อยโดยเฉพาะราชทูตต่างรัฐคนหนึ่ง ทว่าเขากลับตอบนาง บางทีนี่อาจเป็นข้อพิสูจน์ว่าทฤษฎีของนางได้เข้าไปอยู่ในความคิดของเขาแล้ว

อิ๋งซื่อสังหารซางยางนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และเป็นสิ่งที่มีโอกาสเป็นไปได้สูง นอกจากสิ่งที่คุกคามสถาบันจักรพรรดินี้แล้ว ยังมีจุดสำคัญอีกอย่าง ซางยางกับฉินเซี่ยวกงมีเป้าหมายร่วมกัน จวินกับขุนนางจับมือกันเพื่อเสริมสร้างรัฐฉินให้ยิ่งใหญ่ ทว่าหลังจากที่รัฐฉินยิ่งใหญ่แล้วก็ถึงคราวเปลี่ยนมือให้อิ๋งซื่อ บัดนี้เป้าหมายจึงมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้เหล่าขุนนางที่เคยเป็นกำลังสำคัญก็หมดประโยชน์

ซ่งชูอีคาดเดาว่าแท้จริงแล้วภายในใจส่วนลึกของอิ๋งซื่อก็หวังว่าจะสามารถหา “ซางยาง” อีกคนที่มีความคิดเหมือนกับตนเจอ อีกทั้งเป็นผู้ที่สามารถช่วยเหลือเขาต่อสู้เพื่ออำนาจได้ และนางก็โชคดีมากที่อยู่ในรายชื่อสำหรับการพิจารณา

ครั้นกลับถึงจวนที่พัก

ซ่งชูอีเรียกหนิงยาให้เอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยน แล้วไปแช่น้ำร้อนอย่างสบายใจ ครั้นกลับถึงห้องนอน ก็เห็นหลงกู่ปู้วั่งนั่งหน้าบึ้งตึงอยู่ข้างเตาเผาฟืน ขนบนหัวของไป๋เริ่นถูกเผาเป็นหย่อมเล็กๆ จึงหัวเราะถาม “ว่าเยี่ยงไร เจ้าทะเลาะกับไป๋เริ่นรึ?”

ไป๋เริ่นเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้ามืดมนและน้อยอกน้อยใจ ส่งเสียงครางอิ๋งอิ๋ง

สีหน้าของหลงกู่ปู้วั่งมืดมนยิ่งกว่า สัตว์เลี้ยงมีนิสัยเหมือนกับเจ้าของจริงๆ เห็นชัดๆ ว่ามันเป็นตัวก่อเรื่อง เผาขนบนหัวของตัวเอง แต่บัดนี้กลับทำคล้ายว่าคนอื่นรังแกมันอย่างไรอย่างนั้น อดมิได้ที่จะกล่าวเสียงเย็นชา “เจ้าเป็นหมาป่า มิใช่สุนัข! ช่างเสียเกียรติของหมาป่าจริงๆ!”

“ไหนข้าดูซิ” ซ่งชูอีดึงๆ ขนบนหัวของมัน

ไป๋เริ่นกระโดดโลดเต้นตลอดทั้งวัน ทำเอาผู้คนในจวนวุ่นวายไปหมด ครั้งนี้นับว่าซื่อสัตย์มากจริงๆ

……………………………

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด