บุหลันเคียงรัก – บทที่ 7 ฉลาดแกมอวดดี
ข่าวองค์หญิงถูกรับเข้าเป็นศิษย์มหาเทพไป๋เจ๋อทำให้ฉีหนานมีความสุขจนแทบจะบินได้ ยิ้มไม่หุบไปตลอดทาง
เสวียนอี่เอนตัวพิงหน้าต่างรถ ปั้นดอกไม้หิมะต่อ นางทำปากยื่นบ่นพึมพำ “สมใจเจ้าแล้วสิ แต่ลำบากข้า นับจากนี้ต้องเจอฝูชางหน้าตายนั่นทุกวัน”
ฉีหนานให้กำลังใจภายใต้สีหน้าเคร่งเครียด พูดอย่างไม่พอใจว่า “เทพฝูชางเป็นคนที่องค์หญิงทรงไปล่วงเกินเข้า องค์หญิงไม่ได้มีเรื่องมีราวอะไรกับเขาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ท่านหลอกใช้เขาเพื่อให้ตนเองหลบหนี ถ้าเขาพบท่านแล้วไม่โกรธสิถึงจะแปลก! “
ปากยื่นๆ ของเสวียนอี่บ่นพึมพำขึ้นอีกครั้ง “แต่ข้าอายุเพียงเก้าพันปีเท่านั้น ไยต้องรีบแต่งงานด้วย”
ฉีหนานมองนาง “หรือองค์หญิงคิดว่าถ้าไม่แสดงกิริยาน่ารังเกียจเหล่านี้ออกไป เทพฝูชางจะตกหลุมรักท่านแต่แรกพบหรือไร”
เสวียนอี่เอียงศีรษะใช้ความคิดแล้วพยักหน้า “ถูกต้อง”
…มหาเทพกับฮูหยินให้กำเนิดเด็กสาวที่อวดดีเช่นนี้ออกมาได้อย่างไรกัน ฉีหนานโกรธมากทว่ากลับขำ ยิ่งแน่ใจว่าต้องมีสักวันที่เขาจะต้องถูกนางทำให้โมโหจนตายแน่นอน
“องค์หญิงคิดมากเกินไปแล้ว” ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงเอ่ยอย่างอัดอั้นตันใจ “โบราณกล่าวว่า ความแค้นเคืองพึงละมิพึงผูก อีกอย่างองค์หญิงกับเทพฝูชางเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน ขอให้องค์หญิงรักสหายร่วมสำนัก คบด้วยความจริงใจถึงจะถูก”
เสวียนอี่ใช้เล็บนิ้วจิกกลีบดอกไม้ออกมา เอ่ยเรียบๆ “ข้าเกลียดฝูชางคนนั้น”
เขาเชื่อว่าเทพฝูชางสมควรเกลียดองค์หญิงมากกว่า…ฉีหนานปวดศีรษะอยู่บ้าง อารมณ์ดีเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความกลัดกลุ้มหนักใจขึ้นมาอีกครั้ง เขารู้สึกว่าตนควรพูดอะไรอีกสักนิด แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
องค์หญิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามไม่รู้ว่าคิดอะไรขึ้นมาอีก พยับเมฆอึมครึมเมื่อครู่สลายหายไปแล้ว บนใบหน้าเผยรอยยิ้มกระหยิ่มใจอย่างไร้เดียงสาขึ้นมา
“ข้าต้องเขียนจดหมายถึงชิงเยี่ยน! ” นางดีใจจนดวงตาเป็นประกาย “เรื่องที่ได้ไปกราบมหาเทพไป๋เจ๋อเป็นอาจารย์ต้องทำให้เขาตกใจแน่! “
ฉีหนานเริ่มชินกับอารมณ์อันแปรปรวนของนาง ไม่เคยสลด
เขาเป็นขุนนางเทพเจ้ามาหลายแสนปี เคยพบทวยเทพมานับไม่ถ้วน พวกเจ้าชู้มากรักอย่างมหาเทพจงซาน โอหังถือดีและแปลกประหลาดแบบมหาเทพเสวียนหมิง มีเมตตามากกว่าคนทั่วไปอย่างเทพีวั่งซู อย่างน้อยเทพพวกนั้นก็ยังทำตัวมีกฎมีระเบียบ แต่จนถึงตอนนี้เขายังไม่พบลักษณะเฉพาะตัวหลักๆ ขององค์หญิงเลย
บางครั้งเขานึกว่าเรื่องคงไม่เลวร้ายไปกว่านี้แล้ว นางก็สามารถทำให้เขาตาค้างได้ บางครั้งเขานึกว่าจะไร้สิ้นหนทางแล้ว นางก็สามารถพลิกแพลงให้เดินต่อไปได้
บางครั้งเขารู้สึกว่า เป็นไปได้ว่าถ้าขังนางไว้ในเขาจงซานตลอดชีวิตจึงจะเป็นการตัดภาระทางจิตใจที่ดีที่สุด
เมื่อกลับถึงเขาจงซาน เรื่องแรกที่ฉีหนานวิตกกังวลคือการไปหามหาเทพจงซานที่ตำหนักฉางเซิง
พอรู้ว่าเสวียนอี่ผ่านการทดสอบของมหาเทพไป๋เจ๋อ แม้แต่มหาเทพจงซานก็ยังรู้สึกทึ่ง “อาอี่ได้เข้าสำนักมหาเทพไป๋เจ๋อจริงๆ หรือ”
ตอนแรกตนกับฉีหนานช่วยกันเลือกอาจารย์ให้เสวียนอี่จำนวนมาก แต่เดิมตามแผนการอันเรรวนนั้น แม้ว่ามหาเทพไป๋เจ๋อจะเป็นตัวเลือกแรก แต่ว่าโอกาสที่เขาจะรับเสวียนอี่เป็นศิษย์นั้นมีน้อยมาก อีกทั้งเขาเองก็ไม่ได้รับศิษย์มานานมากแล้ว คาดไม่ถึงว่าเพียงไปครั้งแรกก็สำเร็จลุล่วงแล้ว
ฉีหนานยิ้มขื่น “เนื้อแท้ขององค์หญิงนั้นเฉลียวฉลาด ดวงตาอันเฉียบแหลมของมหาเทพไป๋เจ๋อย่อมเลือกนางเป็นธรรมดา มหาเทพ…ข้าน้อยยังมีเรื่องกลุ้มใจอีกเรื่องพ่ะย่ะค่ะ”
เขาเล่าเรื่องที่เสวียนอี่กับฝูชางเกิดปะทะกันให้ฟังรอบหนึ่ง สุดท้ายเอ่ยขึ้นอย่างกังวลใจ “ครั้งนี้องค์หญิงมีความแค้นกับเทพฝูชางโดยสิ้นเชิง อีกทั้งพวกเขายังเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันอีก หลังจากนี้คงยากที่จะป้องกันไม่ให้เกิดความบาดหมางขึ้นในภายหน้า เช่นนี้แล้ว…ความพยายามของมหาเทพกับจักรพรรดิสวรรค์ก็เปล่าประโยชน์ นับแต่นี้ต่อไป ชื่อเสียงขององค์หญิงก็จะย่อยยับไม่มีชิ้นดี ยิ่งไปกว่านั้น ยังกระทบถึงความสัมพันธ์ของท่านกับท่านเทพบูรพาอีกด้วย”
ใครจะคิดว่าพอฟังจบมหาเทพจงซานก็หัวเราะขึ้นมาเสียงดัง หลังจากที่ฮูหยินของตนดับสูญ เขาก็ไม่เคยหัวเราะแบบนี้อีกเลย ฉีหนานจึงอดตะลึงงันไม่ได้
“ข้าเอาแต่กลัวว่านางจะอ่อนแอเกินไป คาดไม่ถึงว่าลูกสาวข้าจะมีความสามารถขนาดนี้! “
บนใบหน้าซีดเซียวของมหาเทพปรากฏรอยยินดีปนประหลาดใจขึ้นมา เทียนในมือสว่างไสวขึ้นมาทันที “ดี! นี่สิถึงจะเป็นลูกหลานตระกูลจู๋อินของข้า! “
หลังจากอาชุ่ยดับสูญ ใจของเขาก็ราวกับขี้เถ้า ไม่สนใจเรื่องภายนอก ไม่สนใจดูแลลูกชายลูกสาวเช่นกัน ชิงเยี่ยนเกลียดเขา ดังนั้นจึงหนีจากเขาจงซานไปอยู่ยังแดนไกล เสวียนอี่ยังเล็ก ไม่เคยจากบ้านไปไหน เขาจึงกังวลกับลูกสาวมาก อยากปูทางที่ดีที่สุดให้กับนาง ให้นางเดินไปได้อย่างราบรื่น
หากไม่ใช่เพราะคำพูดของฉีหนาน เขาก็คงยังไม่เข้าใจ เสวียนอี่ไม่ใช่เด็กหัวอ่อน ว่านอนสอนง่ายที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำของเขาอีกแล้ว
ความยินดีระคนประหลาดใจและความตื่นเต้นทำให้มหาเทพจงซานนึกถึงความหลังขึ้นมานับไม่ถ้วน เขานึกถึงตอนยังเป็นเด็ก มหาเทพจงซานรุ่นก่อนก็คือบิดาของเขา ซึ่งไม่เคยพอใจในตัวเขาสักครั้งประโยคที่บิดาเขามักจะพูดบ่อยที่สุดคือ “เจ้าไม่เหมือนลูกหลานแห่งตระกูลจู๋อินแม้แต่นิดเดียว”
ไม่ว่าจะเป็นความมั่นใจในตัวเองถึงขีดสุด ฉลาดหลักแหลม อหังการในตนไม่สนใคร นิสัยเหล่านี้เขาล้วนไม่มีเลยสักอย่าง กลับขี้อายด้วยซ้ำ ทำให้ท่านพ่อต้องถอนใจนับครั้งไม่ถ้วน ถ้าหากว่าบิดาได้พบชิงเยี่ยนกับเสวียนอี่ บิดาจะไม่ต้องทอดถอนใจแน่นอน พวกเขาทั้งสองสมเป็นลูกหลานตระกูลจู๋อินอย่างแท้จริง คนนิสัยธรรมดาสามัญอย่างเขา กลับสามารถให้กำเนิดลูกชายลูกสาวที่ดีทั้งคู่ได้
“ฉีหนาน เจ้าอย่ากังวลเกินไปนักเลย จู๋อินไม่เคยต้องกลัวใคร ให้นางทำเรื่องที่อยากทำเถิด”
ฉีหนานคิดไม่ถึงว่ามหาเทพจะพูดแบบนี้ เขาไม่เข้าใจ แต่ก็แนะนำอีกไม่ได้ ทำได้เพียงพูดอย่างจนใจว่า “หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ มหาเทพไม่กลัวว่าองค์หญิงจะขายไม่ออกจนถึงอายุห้าหมื่นปีหรือ”
มหาเทพจงซานยิ้มพลางส่ายหน้า “เรื่องในอนาคต ไว้ค่อยพูดวันหลังเถอะ ขอเพียงเสวียนอี่ไม่ถูกข่มเหงรังแกเท่านั้น ต่อให้ไม่ได้แต่งงานไปชั่วชีวิต แล้วจะเป็นไรไป”
ฉีหนานไร้คำพูด ประสานมือคำนับลา ทว่าจู่ๆ มหาเทพก็เรียกเขาอีกครั้ง “ช้าก่อน ฉีหนาน ขอข้าดูหน่อยว่าคราวนี้มหาเทพไป๋เจ๋อรับศิษย์เข้าสำนักมากน้อยเท่าไหร่”
คราวก่อนจิตใจเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ได้แต่มองเพียงผ่านๆ คราวนี้จึงดูรายชื่ออย่างละเอียดอีกครั้ง พบว่าสองหมื่นปีที่ผ่านมา มหาเทพไป๋เจ๋อรับศิษย์เพียงสิบสองคนเท่านั้น ยามนี้พอเพิ่มฝูชางกับเสวียนอี่เข้าไปก็กลายเป็นสิบสี่คน ในนั้น ศิษย์ที่อาวุโสสุดคือโอรสองค์ที่เก้าของจักรพรรดิสวรรค์ ศิษย์คนที่หก คือบุตรชายคนที่สามของราชาบุปผา ศิษย์คนที่เก้าคือองค์หญิงของราชางูแห่งเขาถูเซียง ศิษย์คนที่สิบเอ็ดคือองค์หญิงน้อยของจักรพรรดิแดง…ดูๆ ไป ลูกศิษย์ของเขาแต่ละคนล้วนมีชื่อเสียง ชาติตระกูลสูงส่งเป็นที่สุด
สายตาของมหาเทพจงซานหยุดลงที่ชื่อศิษย์คนที่สิบสอง หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน “ตระกูลชิงหยาง? สายเลือดหงส์ฟ้าเก้าสวรรค์รึ”
ก่อนหน้านี้เขาไม่คิดว่าจะมีสายเลือดแห่งหงส์ฟ้าเก้าสวรรค์เข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักมหาเทพไป๋เจ๋อ
ฉีหนานเอ่ยเสียงต่ำ “ข้าน้อยเห็นอยู่ก่อนแล้ว และก็เคยนึกกังวลใจอยู่ แต่ว่า เรื่องความบาดหมางของตระกูลจู๋อินกับตระกูลชิงหยางเป็นเรื่องของมหาเทพสองรุ่นก่อน เวลาผ่านไปเนิ่นนานแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยกเรื่องนี้ขึ้นมา อีกอย่าง มหาเทพทั้งสองในตอนนั้นก็หุนหันพลันแล่นเกินไปจริงๆ ดังนั้นความเกลียดชังที่เคยมีมาต่อกันก็ควรยุติลงเสียที ให้คงไว้เป็นเพียงปริศนาเท่านั้น นอกจากนี้ มหาเทพทั้งสองก็ดับสูญไปแล้ว เรื่องผ่านมาเนิ่นนานแล้ว ดังนั้นข้าน้อยจึงคิดว่าองค์หญิงกับลูกหลานตระกูลชิงหยางกราบอาจารย์อยู่สำนักเดียวกัน จึงไม่มีอะไรไม่เหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ”
มหาเทพจงซานคิดอยู่ครู่หนึ่ง พยักหน้าตอบ “ไม่เลว ตอนนี้ยังไม่ต้องสนใจพวกนั้นก่อนแล้วกัน การจะมาทำเกรงกลัวหัวหดนั้นไม่ใช่วิสัยของตระกูลจู๋อินของข้า เดี๋ยวพวกนั้นจะคิดว่าเรากลัวมันจนตัวสั่น”
เขาไม่เคยคิดมากเช่นนี้มานานมากแล้ว เสียงหัวเราะอันดังเพราะอารมณ์ที่แปรปรวนเมื่อครู่ราวกับทำให้เขาเหนื่อยล้า แสงเทียนในฝ่ามือไหววูบ ค่อยๆ มืดสลัวลง
ฉีหนานลอบถอนหายใจ ตอนนั้นมหาเทพแช่แข็งเผ่าถงชานด้วยโทสะอันบ้าคลั่ง ทำให้สูญเสียพลังเทพมากเกินไป จนถึงวันนี้ก็ยังฟื้นฟูกลับมาได้ไม่หมด
เขาเก็บใบรายชื่อลง พูดเสียงต่ำ “มหาเทพโปรดสงบใจ ข้าน้อยทูลลา”
มหาเทพจงซานค่อยๆ เลื่อนตาขึ้นสบ พูดเบาๆ “ไปเถอะ หากชิงเยี่ยนมีข่าวคราวมา ต้องเอามาแจ้งข้า”
ฉีหนานโค้งตัวแล้วถอยไปยังประตูตำหนัก มองเข้าไปข้างในอีกครั้ง ความมืดมิดได้กลืนกินแสงเทียนสลัวรางนั้นอย่างเงียบเชียบเสียแล้ว
คอมเม้นต์