บุหลันเคียงรัก – บทที่ 17 สีฟ้าใสราวน้ำในฤดูใบไม้ร่วง

อ่านนิยายจีนเรื่อง บุหลันเคียงรัก ตอนที่ 17 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมามหาเทพไป๋เจ๋อปรารถนาจะได้เส้นผมของเทพเฟยเหลียน จึงมักใช้ให้ศิษย์ใหม่แต่ละคนไปเอาเส้นผมของเทพเฟยเหลียนมา เทพทุกองค์ที่อยู่ ณ ที่นี้ล้วนเคยลำบากมาก่อน ยามนี้เมื่อเห็นหัวปีศาจมาตะโกนร้องเรียก ทุกคนไหนเลยจะยังรักษาท่าที ต่างหนีเอาตัวรอดอย่างไม่คิดชีวิต คิดเพียงว่าตัวเองน่าจะมีปีกงอกออกมาจะได้เหาะหนีได้เร็วยิ่งขึ้น

 

 

เสวียนอี่เหาะตามหลังไปอย่างไม่รีบร้อนทว่าก็มิได้ช้า ได้ยินเสียงบริภาษของเทพเฟยเหลียนดังไล่หลังมาแต่ไกล “นังเด็กอวดดีตระกูลจู๋อิน! หยุดเดี๋ยวนี้! เจ้ากล้าหลอกข้า! ข้าจะสับเจ้าให้เป็นชิ้นๆ! “

 

 

ยามที่เขาระเบิดโทสะออกมา เส้นผมบนศีรษะล้วนตั้งขึ้นเหมือนงูสีเทา ภาพนั้นน่าขบขันเป็นที่สุด เสวียนอี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

 

 

จื่อซีเห็นนางหัวเราะ จึงเกรี้ยวกราดยิ่งกว่าเดิม “ทั้งหมดเป็นดาวโชคร้ายที่เจ้าแส่หามาทั้งนั้น! ทำให้เขาตะโกนfjkตามหลังมา มีอะไรน่าขำกัน?! “

 

 

เสวียนอี่ยิ้มจนตาหยีมองนาง “เขาไล่ตามแค่ข้า ศิษย์พี่ทั้งหลายจะหนีทำไม”

 

 

ไท่เหยาส่ายหัว “ล้วนเคยถูกเขาทำให้ลำบากมาทั้งนั้น เรื่องนี้ไว้ค่อยพูดกัน เหตุใดเขายังไล่ตามเราอีก ตกลงเจ้าใช้วิธีใดนำผมของเขามากันแน่”

 

 

ทุกคนล้วนรู้ว่าเทพเฟยเหลียนนิสัยโมโหร้าย แต่ท่าทางบ้าคลั่งขนาดนี้เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าองค์หญิงประหลาดแห่งตระกูลจู๋อินไปทำอะไรไว้กันแน่

 

 

เสวียนอี่ลูบเส้นผมสีเงินที่พันระหว่างนิ้ว ตอบอย่างสง่างาม “ข้าใช้วิธีที่เหมาะสมที่สุด”

 

 

วิธีสกปรกชัดๆ ! กู่ถิงย่นจมูก เขายืนยันได้ รับไม่ได้กับวิธีเจ้าเล่ห์ของนางเป็นที่สุด พอหันกลับไปมองจึงพบว่าผมสีดำแต่เดิมของเทพเฟยเหลียนเปลี่ยนกลับเป็นสีเงินอีกครั้ง กำลังชี้โด่ชี้เด่ไม่เป็นทรง เขาอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “เจ้าเปลี่ยนสีผมเขาให้กลับเป็นเหมือนเดิมอีกครั้งได้อย่างไร”

 

 

มิน่าเล่าเทพเฟยเหลียนถึงได้เหาะไล่หลังมาราวกับคนบ้าเช่นนี้! นางเล่นลูกไม้หลอกลวงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!

 

 

เสวียนอี่ยิ้มซุกซน “ข้าทำใจใช้พลังมืดจู๋อินบนร่างของเขาไม่ได้ มันเปลืองเกินไป”

 

 

กู่ถิงจ้องนางอย่างเคร่งเครียด “ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปย่อมยากที่จะหยุดได้! รีบหยุดเถอะ! แล้วไปขอโทษเทพเฟยเหลียนเสีย! “

 

 

เสวียนอี่ทำเพียงยิ้มหวานให้เขา ไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง

 

 

กู่ถิงโกรธจนได้แต่กระทืบเท้า กัดฟันหมุนตัวกลับทันที ประจันหน้ากับเทพเฟยเหลียนที่โมโหร้ายป่าเถื่อน

 

 

ฝูชางที่อยู่ด้านข้างเอ่ยกับไท่เหยาทันที “ศิษย์พี่ไท่เหยา ไม่ทราบว่าข้าขอยืมกระบี่ที่เอวของท่านได้หรือไม่”

 

 

ไท่เหยาลังเลใจอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็ส่งกระบี่นั้นไปให้ พูดเสียงต่ำ “ศิษย์น้องฝูชาง เทพเฟยเหลียนขึ้นชื่อมานานแล้ว จะทำอะไรก็จงไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน”

 

 

ฝูชางไม่เอ่ยอะไรอีก ค่อยๆ ชักกระบี่ออกจากฝัก ดีดนิ้วบนตัวกระบี่สีฟ้าใสเบาๆ คราหนึ่ง กระบี่วิเศษปรากฏเสียงดังสะท้อนมาแผ่วเบา ราวกับมีชีวิตก็มิปาน

 

 

ส่วนกู่ถิงนั้นได้หยุดลงตรงหน้าเทพเฟยเหลียนแล้ว รีบประสานมือคำนับแล้วเอ่ย “เทพเฟยเหลียนโปรดระงับโทสะด้วย! ข้าน้อยขออภัยแทนศิษย์น้องผู้ไม่รู้เรื่องด้วย! นางยังเยาว์นัก ไม่เข้าใจเหตุผล หวังว่าท่านเทพจะให้อภัย อย่าได้ถือสาหาความนางเลย”

 

 

“ไสหัวไป! ” เทพเฟยเหลียนไหนเลยจะได้ยินคำขอร้องงึมงำไร้สาระของชายหนุ่ม สายตาเขามองเพียงนังเด็กอวดดีตระกูลจู๋อินคนนั้น หากไม่สามารถจับนางมาสับเป็นชิ้นได้เขาก็คงไม่สาแก่ใจ!

 

 

ฝูชางยังคงบินเฉียดไปมาอยู่เบื้องหน้ากู่ถิงอย่างน่ารำคาญ ในใจของชายหนุ่มมีเพียงความโกรธขีดสุด กระบี่ขนาดมหึมาจ่อไปที่เฟยเหลียนอย่างไร้ความเมตตา กู่ถิงคาดไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะลงมือในทันที ในชั่วเวลาอันตรายนั้น ศิษย์ทุกคนพากันร้องเรียกชื่อเขาด้วยความตกใจ

 

 

ทันใดนั้น ความมืดมิดก็เข้าปกคลุมอาณาบริเวณโดยรอบ ความมืดเหล่านี้ปรากฏขึ้นกะทันหันนัก เทพเฟยเหลียนผู้เคยแพ้ในครั้งก่อนย่อมแพ้อีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ มือที่เคลื่อนไหวหยุดในพริบตา เพียงแวบเดียวเท่านั้น หูได้ยินเสียงลมพัดผ่านดังหวีดแหลม พลังเย็นจากกระบี่วิเศษเล่มนั้นทำให้เขาขนลุกไปทั่วทั้งตัว เหนือศีรษะเบาโหวงไปหลายส่วน

 

 

ความมืดนั้นมาเร็ว ทว่าจากไปเร็วกว่า เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ก็กลับมาสว่างดังเดิม

 

 

เห็นเพียงฝูชางกับกู่ถิงถอยหลังมาหลายก้าว มือยังคงกุมกระบี่วิเศษสีฟ้าใสราวน้ำในฤดูใบไม้ร่วงเล่มนั้น ค่อยๆ วาดเส้นตรงอันงดงามลงไป ทุกครั้งที่ตวัดวาดทำให้ผมสีเงินปลิวออกไปตามลม กระจายออกช้าๆ

 

 

เทพเฟยเหลียนจับศีรษะตนอย่างตื่นตระหนก ผมเสี้ยวหนึ่งของเขาถูกกระบี่วิเศษเล่มนั้นตัดไป

 

 

ฝูชางผลักให้กู่ถิงไปอยู่ข้างหลัง กุมกระบี่มั่น มองไปที่เทพเฟยเหลียน ไม่พูดไม่จา

 

 

“เจ้า…เจ้ากล้า…” เทพเฟยเหลียนเดือดดาลจนพูดไม่เป็นคำ เทพบุตรหนุ่มคนหนึ่ง กลับกล้าใช้กระบี่ค่อยๆ ตัดผมเขา! แล้วยังตัดจนสั้นเสียด้วย!

 

 

“ท่านมันก็แค่อาศัยความอาวุโสมาเที่ยวดูถูกคนอื่น” เสียงฝูชางเยือกเย็น “พอพูดจาไม่เข้าหูก็ใช้กำลังลงไม้ลงมือแต่กับเด็ก วันนี้ข้าให้บทเรียนแก่ท่าน หากท่านยังก้าวเข้ามาอีกก้าว ต่อไปก็เป็นคนหัวล้านเสียเถอะ แก้ไขเรื่องน่าปวดหัวของท่านได้พอดี”

 

 

เทพเฟยเหลียนสิ้นความอดทน คำรามเสียงดัง ทรายจันทรา พายุกระบี่ พายุมีด ล้วนปะทะเข้ามา พุ่งใส่ชายหนุ่มห่าใหญ่

 

 

คราวนี้ไม่มีเสวียนอี่มาเกะกะ ทั้งยังมีกระบี่อยู่ในมือ ฝูชางไม่หลบแม้แต่นิดเดียว ยกกระบี่เล่มยาวขึ้น วาดลายเส้นตามที่คิดขึ้นมาวงหนึ่งระดับช่วงอก แผนภูมิปากว้าหยินหยางที่ทอแสงโชติช่วงราวกับเกราะสัมฤทธิ์ ป้องกันอาวุธที่พุ่งตรงเข้ามาคร่าชีวิตฝูชางไว้ด้านนอก ชายหนุ่มเหาะขึ้นไป เพียงชั่วพริบตาเดียว ร่างของเขาก็ร่อนลงกลางทะเลเมฆทันที กระบี่วิเศษเล่มนั้นตวัดอีกเบาๆ ทำให้ผมสีเงินร่วงอีกครั้ง

 

 

เทพเฟยเหลียนผู้อยู่ฝั่งตรงข้ามเสียปอยผมไปสองครั้ง ผมสีเงินยุ่งเหยิงราวถูกสุนัขแทะยิ่งมองยิ่งตลก เสวียนอี่ผู้มองภาพสนุกสนานอยู่ด้านข้างอดไม่ได้หัวเราะเสียงดัง

 

 

“เป็นเพราะเจ้า นังเด็กอวดดี! “

 

 

เทพเฟยเหลียนหันศีรษะมาแยกเขี้ยวแล้วพุ่งตรงมาหานาง หากไม่ชำระแค้นนี้ เขาจะยังมีหน้าอยู่ได้อย่างไร!

 

 

เสวียนอี่กลับยังนิ่งเฉย หัวเราะสนุกสนานรอเขาตรงเข้ามา พูดอย่างเบิกบานใจ “ท่านนี่มันแกล้งง่ายจริงๆ “

 

 

มือของเทพเฟยเหลียนห่างจากตัวนางเพียงสามฉื่อ[1]แต่กลับจับนางไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถสัมผัสตัวนาง เขาโกรธจนคำรามเสียงดัง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงมหาเทพไป๋เจ๋อดังมาจากบริเวณไม่ไกลนักในเบื้องหน้า “เทพเฟยเหลียนโปรดระงับโทสะ ศิษย์ของข้ายังเยาว์นัก เกรงว่าจะรับโทสะท่านไม่ไหว”

 

 

ฉากกำบังไร้รูปที่อยู่ห่างจากเสวียนอี่สามฉื่อปล่อยพลังอันอ่อนโยนแต่กลับมิอาจต้านทานได้ง่ายๆ นั้นออกมา เทพเฟยเหลียนถูกพลังนั้นผลักจนถอยร่นไปหลายจั้ง[2] ตกลงกลางทะเลเมฆด้วยสีหน้าดำทะมึน

 

 

ยามนี้ลูกศิษย์ทุกคนถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าไท่เหยาไปตามมหาเทพไป๋เจ๋อที่ตำหนักหมิงซิ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อาจารย์ในร่างเทพบุตรน้อยใส่รองเท้าเพียงข้างเดียว อีกข้างเป็นเท้าเปล่า แสดงให้เห็นว่าต้องถูกไท่เหยาบังคับให้ออกมาแน่นอน ที่แท้ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ศิษย์พี่ใหญ่ก็ยังพึ่งพาได้ที่สุด

 

 

เห็นได้ชัดว่ามหาเทพไป๋เจ๋อยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก มองไปรอบด้าน แล้วมองไปยังผมราวถูกสุนัขแทะของเทพเฟยเหลียน อดตกใจเล็กๆ ไม่ได้ “ข้าบอกให้พวกเจ้าไปยืมมาแค่สามเส้น เหตุใดจึงตัดผมของท่านเทพบุตรมากว่าครึ่งเสียได้”

 

 

เสวียนอี่นำผมสองเส้นที่พันอยู่รอบนิ้วออกมา รวมทั้งแก่นจันทราและประกายสุริยันส่งให้ต่อหน้าเขา ยิ้มพลางเอ่ย “ท่านอาจารย์ โชคไม่ดีนัก เส้นผมเส้นที่สามอยู่ที่ศิษย์พี่กู่ถิง ท่านอย่าลืมไปทวงที่เขาเสียล่ะ”

 

 

มหาเทพไป๋เจ๋อทั้งแปลกใจระคนดีใจ เจ้าเด็กคนนี้ที่แท้ก็มีความสามารถ นึกไม่ถึงว่าจะไปเอาเส้นผมเทพเฟยเหลียนมาได้!

 

 

เขารีบยื่นมือไปรับผมสีเงินสองเส้นนั้น แต่เมื่อเห็นว่าจากโคนผมถึงปลายผมยาวสามฉื่อ เรียบร้อยเป็นระเบียบ ไม่มีร่องรอยของการถูกของมีคมตัด เนื่องเพราะยังมีพลังของเทพเฟยเหลียนหลงเหลืออยู่ในนั้น เส้นผมนั้นจึงคล้ายกับกำลังบิดพลิ้วไปมาอยู่

 

 

มหาเทพคลี่ยิ้ม “ดีๆ ๆ! ผมที่ดี! ศิษย์ที่ดี! “

 

 

เสวียนอี่เตือน “อาจารย์ ท่านเทพยังโกรธอยู่นะเจ้าคะ”

 

 

มหาเทพไป๋เจ๋อค่อยๆ เก็บเส้นผมใส่ในแขนเสื้ออย่างระมัดระวังก่อน แล้วจึงทำหน้าขึงขังจริงจัง มือประสานที่หน้าท้องแล้วน้อมคำนับเทพเฟยเหลียนอยู่ห่างๆ “ท่านเทพใจกว้างนัก ไป๋เจ๋อขอบคุณมาก วันหน้าจะต้องมอบของกำนัลที่ท่านพอใจอย่างแน่นอน”

 

 

ครั้นเทพเฟยเหลียนเห็นว่ามหาเทพผู้อาวุโสกว่าก็ประหม่าขึ้นมาบ้าง ที่ฝูชางพูดก็ไม่ผิด ที่แท้เขาก็กล้าออกฤทธิ์แค่ต่อหน้าพวกเทพที่เด็กกว่าเท่านั้น ความแค้นฝังใจที่มหาเทพไป๋เจ๋ออยากได้เส้นผมของเขานักหนา พอมาอยู่ต่อหน้ามหาเทพกลับไม่กล้าพูด ทำได้เพียงคำรามอยู่ในคอ “มหาเทพไป๋เจ๋อ ข้าไม่ต้องการของกำนัลตอบแทนอะไรทั้งนั้น ท่านแค่ส่งนังเด็กอวดดีคนนี้ให้ข้าก็พอ”

 

 

 

 

 

 

 

 

[1]ฉื่อ มาตรวัดความยาวของจีน โดย 1 ฉื่อเท่ากับ 10 ชุ่น หรือประมาณ 1 ฟุต

 

 

[2]จั้ง มาตรวัดความยาวของจีน โดย 1 จั้งเท่ากับ 10 ฉื่อหรือประมาณ 3.33 เมตร

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด