ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸] – ตอนที่ 36 ตลาดของเก่า
บทที่ 36 ตลาดของเก่า
“ไสหัวไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันฆ่าแกแน่!”
หลังจากตบหลี่จิงเทียนจนลงไปนอนกองกับพื้น อวี้ฮ่าวหรานก็จ้องเขม็งไปที่ฝั่งตรงข้ามและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
หลี่จิงเทียนนั้นไม่เชื่อแน่นอนว่าฝั่งตรงข้ามจะกล้าฆ่าเขาจริง ๆ เขาจึงเตรียมที่จะอ้าปากเถียงกลับ แต่ก่อนที่เขาจะทันได้อ้าปากพูดอะไรออกไป เขาก็ได้เห็นสายตาที่มันน่าหวาดกลัวราวกับไม่ใช่ของมนุษย์ แต่มันกลับอยู่ในดวงตาของอวี้ฮ่าวหราน!
เมื่อเผชิญกับการจ้องของอดีตจักรพรรดิเทพ แน่นอนว่ามนุษย์ธรรมดาอย่างหลี่จิงเทียนจะกล้าอ้าปากพูดอะไรออกมาได้ยังไง
ไม่เพียงแค่หลี่จิงเทียนจะพูดอะไรไม่ออกและขยับตัวไม่ได้เพราะความกลัว แต่ความกลัวนี้มันถึงขนาดทำให้เขาหายใจไม่ออกเหมือนกับมีวิญญาณร้ายกำลังบีบคอเขาอยู่
โชคยังดีที่อวี้ฮ่าวหรานต้องการแค่สั่งสอนเขาเท่านั้น ดังนั้นเมื่อผ่านไปครู่หนึ่งหลี่จิงเทียนก็รู้สึกว่าตัวเองสามารถหายใจออกได้แล้ว และสามารถขยับตัวได้ตามเดิม ซึ่งเป็นโอกาสให้เขารีบหนีออกไปแบบล้มลุกคลุกคลาน
“ฮ่าวหราน ๆ ใจเย็น ๆ ก่อน ลูกชายของพ่อเป็นคนไม่มีเหตุผลแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว เอาไว้เดี๋ยวหลังจากนี้พ่อจะสั่งสอนเขาเอง ลูกอย่าโกรธเขาเลย!”
เมื่อเห็นว่าลูกชายของตัวเองกลัวอวี้ฮ่าวหรานจนวิ่งหนีออกไปในสภาพน่าอนาถ หลี่ชงซานก็ได้สติจากความโกรธ เขารีบพูดให้อวี้ฮ่าวหรานใจเย็นทันที
หลังจากนั้นทุกคนก็นั่งลงและดื่มกันไปอีกหลายอึกเพื่อทำให้ใจเย็นลง
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศกลับมาเป็นปกติแล้วหลี่ชงซานก็อดไม่ได้ที่จะถามอวี้ฮ่าวหรานในสิ่งที่ยังคาใจเขาอยู่ “ฮ่าวหราน บอกพ่อตาคนนี้หน่อยได้ไหมว่าลูกทำยังไงถึงสามารถช่วยบริษัทของพ่อได้แบบนั้น พ่อไม่โง่เหมือนลูกชายของพ่อที่จะเชื่อว่าหากปราศจากการแทรกแซงโดยบริษัทยักษ์ใหญ่บริษัทของพ่อจะพ้นวิกฤตมาได้แบบนี้ มันไม่มีทางเป็นไปได้เลย”
“อ้อ บังเอิญว่าผมได้มีโอกาสไปรู้จักกับเจ้าของบริษัทในเมืองนี้อยู่คนหนึ่ง อันที่จริงผมเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเขาจะช่วยขนาดนี้”
ถึงแม้ว่าคำตอบของอวี้ฮ่าวหรานมันจะฟังดูลวก ๆ แต่จากท่าทีการพูดที่สงบนิ่งของอวี้ฮ่าวหราน มันกลับทำให้ผู้คนในห้องโถงต่างไม่มีใครคิดว่าอวี้ฮ่าวหรานพูดจาไร้สาระ
สิ่งนี้มันทำให้ผู้คนของตระกูลหลี่มองอวี้ฮ่าวหรานเปลี่ยนไป เขาดูเป็นคนที่ลึกลับและน่าหวาดเกรงมากกว่าเดิม
“อืม…เด็กคนนี้มีคนหนุนหลังที่ไม่ธรรมดาเลย คนหนุนหลังของเขาจะต้องเป็นเจ้าของบริษัทอันดับต้น ๆ ในเมืองแน่นอน”
“ใช่…ว่าแต่คนคนนั้นเป็นใครกัน และอวี้ฮ่าวหรานไปรู้จักได้ยังไง และทำไมคนคนนั้นถึงยอมช่วยอวี้ฮ่าวหรานทันทีที่เขาโทรไปแบบนั้น?”
“…”
ผู้คนในห้องโถงต่างกระซิบกระซาบกันเบา ๆ ซึ่งหลี่ชงซานก็ได้ยินบทสนทนาเหล่านั้นทั้งหมด
“เอาล่ะ ๆ ในเมื่อลูกพูดมาแบบนี้พ่อตาคนนี้ก็ไม่สงสัยอะไรแล้ว มาเถอะ! วันนี้พวกเรามาดื่มฉลองกัน วันนี้ฉันหลี่ชงซานขอดื่มกับลูกเขยที่น่าภาคภูมิใจคนนี้ให้เมาจนหัวราน้ำไปเลย ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เมื่อเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานไม่ต้องการที่จะเปิดเผยข้อมูลอะไรมากมายนัก หลี่ชงซานจึงไม่อยากรบเร้ามากเกินไปให้ฝั่งตรงข้ามเสียอารมณ์ เพราะไม่ว่ายังไงตอนนี้บริษัทของเขาก็ปลอดภัยแล้ว เรื่องที่ว่าอวี้ฮ่าวหรานขอให้ใครช่วยนั้นมันจึงไม่ได้สลักสำคัญอะไรจนถึงขนาดที่เขาต้องรู้ให้ได้
ทางด้านของอวี้ฮ่าวหรานเองก็ยกแก้วพร้อมกับพยักหน้าให้กับหลี่ชงซานเล็กน้อยเพื่อให้เกียรติ แต่แล้วจู่ ๆ เขาก็นึกถึงไข่มุกเม็ดที่หลี่ชงซานฝากหลี่หรงเอามามอบให้เขา เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามเรื่องราวเกี่ยวกับมัน
“เอ่อ…พ่อตาครับ ไข่มุกที่พ่อฝากหลี่หรงเอามามอบให้ผมคราวก่อนมันสวยมาก ๆ เลย พ่อได้มันมาจากที่ไหนงั้นเหรอ?”
“ฮ่าฮ่า พ่อก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบรรพบุรุษของตระกูลพ่อไปได้มันมาจากไหน แต่พอพ่อเห็นว่ามันดูล้ำค่าดีพ่อก็เลยฝากหลี่หรงมอบให้ลูกนั่นล่ะ”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเมื่อได้ยินคำตอบนี้ของหลี่ชงซาน
ดูเหมือนว่าทางเดียวที่จะหาของแบบนี้เจอ คงต้องไปหาดูตามตลาดขายของเก่าสินะ?
หลังจากดื่มกันไปได้อีกเกือบ 2 ชั่วโมง งานเลี้ยงก็เลิกรา
ทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน
เช้าวันถัดมา
วันนี้ก็ยังคงเป็นวันหยุดของถวนถวนเหมือนเดิม และด้วยการดูแลของหลี่หรงและพี่เลี้ยงหนิง อวี้ฮ่าวหรานจึงไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรมากมายเกี่ยวกับเทพธิดาน้อยของเขา วันนี้เขาจึงตั้งใจว่าจะใช้เวลาว่างออกไปตระเวนหาของวิเศษที่ตลาดขายของเก่าสักหน่อย
เขาอยากได้อะไรที่มันเหมือนกับไข่มุกที่เขาได้รับมาจากหลี่ชงซาน เพื่อเอามาบ่มเพาะตัวเอง
การที่เขาจะฆ่าล้างตระกูลอู๋ได้โดยที่ไม่โดนกฎหมายเล่นงานนั้นเขาจำเป็นต้องมีพลังที่สามารถต่อกรกับรัฐบาลได้!
…
ไม่นานอวี้ฮ่าวหรานก็ขับรถมาถึงตลาดขายของเก่าแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้บ้านเขามากที่สุด ร้านค้าที่นี่ส่วนใหญ่เป็นแบบตั้งโต๊ะขายกันง่าย ๆ ซึ่งบนโต๊ะก็จะมีสินค้าที่เป็นพวกของเก่าวางระเกะระกะซ้อนกันอยู่มากมายราวกับว่าพวกมันเป็นของไร้ค่า
แน่นอนว่าของที่วางขายแทบทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นของปลอมที่เพิ่งถูกทำขึ้นมาใหม่เลียนแบบกับของเดิม
อวี้ฮ่าวหรานเดินตระเวนไปทั่วตลาดทั้งช่วงเช้า แต่เขาก็ยังไม่เจอของชิ้นไหนที่มีพลังวิญญาณแฝงอยู่เลยสักชิ้น
ในขณะที่อวี้ฮ่าวหรานกำลังจะถอดใจไปที่ตลาดอื่น จู่ ๆ เขาก็เห็นว่าไม่ไกลนักมีกลุ่มคนกำลังยืนมุงดูอะไรสักอย่างอยู่แถมยังมีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นในกลุ่มคนด้วย
เมื่อเห็นเช่นนี้อวี้ฮ่าวหรานจึงรีบเดินเข้าไปใกล้ ๆ ทันทีด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น
“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ขายมันแล้ว นังหนูรีบ ๆ คืนของของฉันมาซะดี ๆ ไม่งั้นฉันจะไม่เกรงใจละนะ!”
ชายวัยกลางคนพุงพลุ้ยตะโกนลั่นด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“นี่…นี่คุณพูดแบบนี้ได้ยังไง! ฉันจ่าย…ฉันจ่ายเงินให้คุณไปแล้วนะ!”
หญิงสาวอายุราว 20 ต้น ๆ ที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับชายตัวอ้วนเถียงกลับด้วยสีหน้าไม่ยินยอม แต่มันก็ปกปิดสายตาที่กำลังหวาดกลัวของเธอไม่มิด เพราะฝั่งตรงข้ามเป็นผู้ชายแถมทำสีหน้าท่าทางขึงขังใส่เธออีกต่างหาก
อวี้ฮ่าวหรานที่เห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดเขาไม่ได้สนใจกับชายตัวอ้วนหรือหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย สายตาของเขาเอาแต่จับจ้องไปที่จี้หยกในมือของหญิงสาวเพียงอย่างเดียว
จี้หยกชิ้นนี้มีพลังวิญญาณสถิตอยู่!
นี่มันคือของที่เขาพยายามตามหามาทั้งช่วงเช้า!
“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ขายมันแล้ว! รีบเอาเงินของตัวเองคืนไปซะ แล้วคืนของของฉันมาเดี๋ยวนี้!” ชายอ้วนตะโกนขึ้นอีกรอบด้วยสีหน้าไม่พอใจมากกว่าเดิม เพราะตอนนี้มันเริ่มมีคนมามุงดูเหตุการณ์เยอะแล้ว ซึ่งเขาคือเจ้าของร้านขายของเก่า หากทุกคนเห็นว่าเขาทะเลาะกับผู้หญิงที่ไร้ทางสู้แบบไร้เหตุผลมันจะเป็นผลเสียต่อธุรกิจของเขา
อย่างไรก็ตามเขาเองก็ไม่อาจจะปล่อยให้จี้หยกชิ้นนี้หลุดมือไปง่าย ๆ
จี้หยกชิ้นนี้เขาเพิ่งเอามันมาวางขายได้ไม่นานนัก ในตอนแรกเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายกับมัน แต่แล้วพอเขาเห็นสีหน้าของหญิงสาวที่เพิ่งซื้อมันไปเปลี่ยนเป็นดีใจเป็นอย่างมาก เขาก็รู้สึกว่าจี้หยกชิ้นนี้มันน่าจะไม่ธรรมดาอย่างที่เขาเข้าใจ
มันต้องเป็นของแพงที่เขามองมันไม่ออกเองแน่นอน เขายอมปล่อยมันในราคาถูกให้กับผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ เขาต้องเอามันคืนแล้วตั้งราคาใหม่ให้แพงกว่านี้!
ทางด้านของอวี้ฮ่าวหรานเมื่อเห็นว่าจี้หยกนี้คือสิ่งที่เขาตามหาอยู่ สมองของเขาก็แล่นอย่างรวดเร็ว เขาวางแผนช่วยหญิงสาวคนนี้ทันที แล้วจากนั้นเขาค่อยซื้อมันต่อจากหญิงสาวคนนี้อีกที
“เฮ้ นายเป็นพ่อค้าประสาอะไร ลูกค้าจ่ายเงินแล้วกลับจะทวงของคืน นายบ้าหรือเปล่า?”
ถึงแม้ว่าอวี้ฮ่าวหรานจะไม่ได้ตะโกน แต่เสียงของเขามันก็ดังพอที่จะทำให้คนรอบ ๆ ในระยะ 20 เมตรได้ยินกันอย่างชัดเจน
“ไอ้หนุ่ม แกอย่ามาพูดพล่อย ๆ! แกรีบถอยไปเลย อย่ามายุ่งเรื่องของฉัน!”
เจ้าของร้านขายของเก่าขมวดคิ้วแน่นทันทีเมื่อเห็นว่ามีคนพูดช่วยหญิงสาว
“นายน่าจะรู้ตัวดีว่าการทำการค้าแบบนี้มันไม่ถูก โดยเฉพาะการขายของเก่า ลูกค้าซื้อของไปแล้วแถมจ่ายเงินแล้วด้วยแต่นายกลับจะขอของคืนดื้อ ๆ แบบนี้ ดูเหมือนว่านายเพิ่งจะรู้ตัวเอาทีหลังล่ะสิว่าขายของพลาด? เหอะ! แล้วแบบนี้ใครที่ไหนจะอยากซื้อของของนายอีก หากทำการค้าไม่ซื่อสัตย์แบบนี้?”
หลังจากได้ยินอวี้ฮ่าวหรานพูดแบบนี้ฝูงชนที่มุงดูอยู่ต่างก็ร้องโห่ขึ้นทันที
จริง ๆ มันเป็นกฎเหล็กอยู่แล้วในการซื้อขายของเก่า หากผู้ขายได้รับเงินแล้วและผู้ซื้อรับของมาเรียบร้อยมันหมายถึงว่าการแลกเปลี่ยนนั้นสิ้นสุด มันไม่ควรที่ผู้ขายจะขอของคืนเมื่อมารู้เอาทีหลังว่าสินค้าของตัวเองมีมูลค่ามากกว่าที่ตัวเองตั้งไว้
“โคตรน่าเกลียดเลย!”
“เฮ้ เถ้าแก่ ทำธุรกิจแบบนี้ไม่ดีเลยนะ!”
“ถ้าฉันรู้ว่าแกเป็นคนแบบนี้ เมื่อกี้ฉันไม่ซื้อของจากแกแน่!”
เมื่อโดนชี้นำจากอวี้ฮ่าวหราน ฝูงชนก็สบถด่าใส่เจ้าของร้านตัวอ้วนอย่างเอาเป็นเอาตาย จนเจ้าของร้านเหงื่อแตกพลั่กจนหลังชุ่ม
หลังจากโดนกดดันอยู่พักใหญ่ ท้ายที่สุดเจ้าของร้านตัวอ้วนก็ถอนหายใจและพูดเสียงอ่อยว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ ก็ได้ฉันไม่เอาคืนแล้วก็ได้ ขายก็ขาย เอาล่ะรีบ ๆ ไปได้แล้ว!”
ต่อให้เขาจะอยากได้ของคืนขนาดไหน แต่เมื่อโดนฝูงชนรุมกดดันขนาดนี้เขาก็จำเป็นต้องยอมแพ้ ชีวิตของเขาต้องหากินกับกลุ่มคนเหล่านี้อีกนาน ดังนั้นมันไม่คุ้มที่จะแลกจี้หยกอันเดียวกับหนทางทำมาหากินของเขา
หลังจากเห็นว่าในที่สุดเจ้าของร้านตัวอ้วนยอมถอย ฝูงชนก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจและก็ค่อย ๆ สลายตัวกันออกไป
“ขอบคุณ…”
หญิงสาวคู่กรณีเจ้าของร้านตัวอ้วนเดินเข้ามาขอบคุณอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าซาบซึ้ง
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าตอบรับและถามกลับทันที “ทำไมเธอถึงอยากได้จี้หยกนี้?”
“ชื่อของฉันคือซูหว่านเอ๋อ ส่วนจี้หยกชิ้นนี้ฉันตั้งใจว่าจะซื้อมันไปเป็นของขวัญวันเกิดพ่อของฉัน…”
คอมเม้นต์