ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸] – ตอนที่ 39 เศษมีด
บทที่ 39 เศษมีด
“ฮ่าฮ่า กลัวจนไม่กล้าพูดอะไรเลยงั้นเหรอ?”
เมื่อเห็นว่าฝั่งตรงข้ามไม่พูดอะไรโต้ตอบเลย เฟิงเหลียนจ้างจึงคิดว่าอวี้ฮ่าวหรานกำลังหวาดกลัวจนพูดไม่ออก
อวี้ฮ่าวหรานไม่สนใจคำยั่วยุของฝั่งตรงข้ามแม้แต่น้อย เขาเอาแต่มองไปรอบ ๆ เพื่อวางแผนจัดการกับนักฆ่าเหล่านี้แบบรวดเดียวในใจ
ถึงแม้ว่าร่างของเขาจะทนทานกระสุนได้ แต่ร่างของเฉิงชิวอวี้นั้นไม่ใช่ หากเขาจัดการคนเหล่านี้ไม่เร็วพอ เฉิงชิวอวี้อาจจะตกเป็นเหยื่อคมกระสุนจากคนเหล่านี้แทน
“เฮ้อ…เอาล่ะ ๆ เห็นแก่ที่แกใจเด็ดยอมมาแบบนี้ งั้นฉันจะไว้หน้าแกหน่อยก็แล้วกัน และอันที่จริงฉันเองก็ไม่ใช่คนชอบทำอะไรให้มันเละเทะเกินไปนัก เอามีดอันนี้ไปและเชือดคอตัวเองซะ ฉันสัญญาว่าฉันจะฝังร่างแกในสภาพสมบูรณ์เพื่อเป็นการให้เกียรติ แบบนี้แกว่าดีไหม?”
หลังจากพูดจบเฟิงเหลียนจ้างก็โยนมีดพกของเขาไปที่พื้นตรงหน้าอวี้ฮ่าวหราน ตอนนี้เขาคิดว่าตัวเองชนะแล้วแน่นอน เขาไม่จำเป็นต้องกลัวต่อให้อวี้ฮ่าวหรานจะได้มีดไป
เขาอยากเห็นภาพที่อวี้ฮ่าวหรานฆ่าตัวตายเพื่อสนองความพึงพอใจของตัวเองมากกว่า
อวี้ฮ่าวหรานระเบิดเสียงหัวเราะทันทีเมื่อมีดถูกโยนมาอยู่ตรงเท้าของเขา “ฮ่าฮ่าฮ่า แกนี่ทำให้เรื่องมันง่ายขึ้นเยอะเลย!”
“ฮ่าฮ่า ใช่ ๆ เรื่องมันง่ายขึ้นเยอะเลยใช่ไหมล่ะ? แค่แกเชือดคอตัวเองก็จบแล้วจริง…?” ยังไม่ทันที่เฟิงเหลียนจ้างจะพูดจบประโยค เขาก็ได้เห็นภาพที่ในชีวิตนี้ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้จริง
“เพล้ง!”
จู่ ๆ ใบมีดของมีดที่เฟิงเหลียนจ้างโยนไปให้อวี้ฮ่าวหรานก็แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และจากนั้นใบมีดที่แตกทั้งหมดก็พุ่งออกไปคนละทิศคนละทางราวกับว่าพวกมันมีชีวิต!
เศษใบมีดแต่ละอันพุ่งเข้าไปที่หัวของนักฆ่าทุกคนอย่างแม่นยำคว้านสมองในกะโหลกจนเละ จากนั้นถึงพุ่งทะลุกะโหลกด้านหลังออกไปและบินหายไปจากที่เกิดเหตุ
“อ๊ากกกก!!!”
เฟิงเหลียนจ้างร้องลั่นเพราะความเจ็บปวด เนื่องจากเศษใบมีดไม่ได้พุ่งมาที่หัวของเขาเหมือนที่ลูกน้องของเขาโดน แต่มันกลับมีเศษใบมีดถึง4ชิ้นพุ่งมาระเบิดกระดูกหัวไหล่ทั้งสองข้าง และกระดูกหัวเข่าทั้งสองข้างของเขาจนแหลกละเอียด ทำให้เขาลงไปนอนกองกับพื้นในสภาพน่าอนาถ
แน่นอนว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเมื่อครู่มันเป็นเพราะอวี้ฮ่าวหราน
จริง ๆ แล้วแผนการในตอนแรกของอวี้ฮ่าวหรานก็คือเขาสังเกตเห็นว่าโกดังนี้มันเก่ามากแล้ว และโครงสร้างของมันก็ไม่ได้แข็งแรงเท่าไหร่ เขาคิดว่าเขาจะถีบเสาโกดังสักต้นให้ทั้งตึกสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเพื่อทำให้พวกนักฆ่าเสียการทรงตัว จากนั้นเขาจะกระโดดขึ้นไปจัดการกับพวกนักฆ่าบนระเบียงก่อนเป็นอันดับแรกด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ และจากนั้นเขาจะใช้ปืนจากหนึ่งในเหยื่อของเขายิงไอ้พวกนักฆ่าที่อยู่ชั้นล่างรวมไปถึงเฟิงเหลียนจ้าง
เขาประเมินไว้ว่าคงใช้เวลาราว 4 วินาทีในการกำจัดคนพวกนี้ได้ทั้งหมด เพราะจากความใหญ่ของตัวโกดังที่ใหญ่พอสมควร และจำนวนของพวกนักฆ่าที่มีมากเกือบ 20 คน อย่างไรก็ตามวิธีนี้ของเขามันมีจุดเสี่ยงมาก ๆ ก็คือระยะเวลาตอบสนองและตัดสินใจของมนุษย์ปกติจะอยู่ที่ราว 1.5-2.5 วินาที แต่คนพวกนี้คือนักฆ่ามืออาชีพ ดังนั้นพวกมันคงตัดสินใจตอบโต้ได้เร็วกว่านั้น ซึ่งถ้าพวกมันเห็นว่าเหตุการณ์เข้าขั้นวิกฤตพวกมันอาจตัดสินใจยิงหัวเฉิงชิวอวี้ขึ้นมาในชั่ววินาทีที่เขาช้าไป ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นทุกอย่างจะกลายเป็นสูญเปล่าทันที
แต่แล้วในทันทีที่เฟิงเหลียนจ้างโยนมีดมาให้เขา ทุกอย่างก็คลี่คลายทันที เขาไม่จำเป็นต้องอาศัยความเร็วของร่างกายอีกต่อไป เขาสามารถใช้พลังวิญญาณที่รวดเร็วกว่าได้ แถมเขาสามารถฆ่าคนเหล่านี้ได้โดยไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้ตำรวจตามสืบได้อีกด้วย!
ในวินาทีนั้นอวี้ฮ่าวหรานโคจรพลังวิญญาณของตัวเองไปที่มีดที่อยู่ตรงเท้าของเขาทันที และบีบให้มันแตกออก จากนั้นเขาใช้พลังวิญญาณของเขาควบคุมเศษใบมีดทั้งหมดให้บินไปหาเป้าหมายที่เขาต้องการ!
อันที่จริงเทคนิคนี้คือสิ่งที่ทำได้ยากมาก ๆ มันคือการควบคุมสิ่งของ 20 กว่าชิ้นให้พุ่งไปยังตำแหน่งที่แตกต่างกัน แถมยังต้องรุนแรงและรวดเร็วอีกต่างหาก อันดับแรกผู้ใช้จะต้องมีพลังวิญญาณที่มหาศาลแถมยังต้องเข้าใจในทักษะการควบคุมพลังวิญญาณแบบลึกซึ้ง
แต่อวี้ฮ่าวหรานเป็นใคร?
เขาคือมหาจักรพรรดิเทพมาก่อน! ดังนั้นต่อให้เขาจะมีพลังวิญญาณไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในการใช้พลังวิญญาณทุกรูปแบบ เขาจึงสามารถทำสิ่งนี้ได้โดยง่ายดาย จนผลลัพธ์ออกมาเป็นแบบปัจจุบัน!
ทางด้านของเฟิงเหลียนจ้างตอนนี้นอนอ้าปากพะงาบด้วยความเจ็บปวด สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยอาการตื่นตระหนกหวาดกลัว และงุนงง เขาไม่เข้าใจเลยว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง?
ใบมีดเล่มนั้นจู่ ๆ มันแตกออกได้ยังไง และที่สำคัญมากไปกว่านั้น เศษใบมีดมันบินราวกับมีชีวิตแบบนั้นได้ยังไง!?
ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน?
เฉิงกัวอันแกไปขุดปีศาจตนนี้มาจากที่ไหน!!
หลังจากจัดการพวกนักฆ่าหมดแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็ค่อย ๆ เดินไปหาเฉิงชิวอวี้
“เป็นอะไรมากหรือเปล่า?” อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยถามขึ้น
“ไม่เป็นอะไร” เฉิงชิวอวี้ส่ายหัวด้วยอาการงุนงง
เฉิงชิวอวี้รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมากในตอนนี้ เธออดไม่ได้ที่จะคิดในใจว่านี่ฉันฝันไปหรือเปล่า?
เมื่อครู่เธอเห็นหมดทุกอย่างว่าเกิดอะไรขึ้น และมันเหมือนไม่ใช่เรื่องจริงเกินไป
นี่เขาเป็นมนุษย์หรือว่าตัวอะไรกันแน่?
ไอ้เศษมีดบินนั่นมันคืออะไร? แค่เพียงพริบตาเดียวนักฆ่าที่มีอาวุธปืนครบมือตายจนหมดไม่มีเหลือ นี่มันใช่สิ่งที่มนุษย์ธรรมดา ๆ จะทำได้งั้นเหรอ?
และเมื่อเธอย้อนไปนึกถึงวันแรกที่เธอเจอกับเขา ซึ่งอวี้ฮ่าวหรานบอกว่าเขาเป็นตัวแทนขายของบริษัทยาจีน เธอยิ่งไม่เข้าใจว่าคนที่มีความสามารถขนาดนี้ผันตัวเองมาเป็นเซลล์แมนทำบ้าอะไร!
ในระหว่างที่เฉิงชิวอวี้กำลังงุนงง อวี้ฮ่าวหรานก็ค่อย ๆ แก้มัดเธอ และเมื่อแก้มัดจนเสร็จแล้วเขาก็เดินไปหาเฟิงเหลียนจ้างที่กำลังนอนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อยู่
ตอนนี้สีหน้าของเฟิงเหลียนจ้างซีดเซียวเป็นอย่างมาก เนื่องจากเสียเลือดเยอะมากจากบาดแผลทั้ง 4 จุด ซึ่งอีกไม่นานเขาจะต้องตายแน่นอนหากไม่ได้รับการรักษา
เมื่อเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานเดินเข้ามาหา เฟิงเหลียนจ้างรีบตะโกนร้องทันทีด้วยความหวาดกลัว “พ…พี่ชาย โปรดไว้ชีวิตผมเถอะ โปรดพาผมไปโรงพยาบาลที ผมสาบานว่านับจากนี้ผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับพี่กับประธานเฉิงอีกแล้ว ผม…”
“ผลั่ก!!”
ก่อนที่จะทันได้พูดจบ อวี้ฮ่าวหรานเตะไปที่หัวของเฟิงเหลียนจ้างอย่างรุนแรง จนร่างของเขากระเด็นกลิ้งไปไกลและแน่นิ่งลง
ด้วยความรุนแรงของการเตะ เฟิงเหลียนจ้างสิ้นลมเรียบร้อยเนื่องจากคอหัก…
อวี้ฮ่าวหรานไม่ต้องการให้มีพยานของฝั่งตรงข้ามหลงเหลืออยู่อีก เขาไม่อยากให้ความสามารถของตัวเองถูกเปิดเผยออกไปถึงหูคนที่ไม่ใช่ฝั่งเดียวกับเขา ไม่งั้นมันจะนำพาเรื่องยุ่งยากมามากมาย ส่วนเรื่องการพาตัวกลับไปให้เฉิงกัวอันนั้นลืมไปได้เลย มันยุ่งยากเกินไปในการพาคนบาดเจ็บสาหัสกลับไปแบบนี้
ฉะนั้นวิธีการที่ง่ายที่สุดก็คือฆ่าทิ้งซะ
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย อวี้ฮ่าวหรานก็ช่วยพยุงเฉิงชิวอวี้ไปขึ้นรถของเขาที่จอดอยู่ด้านนอก และพาเธอไปส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดเพื่อให้หมอรักษาแผลถลอก และรอยฟกช้ำที่เกิดขึ้นตามร่างกายของเธอ
“ขอบคุณ ขอบคุณจริง ๆ ที่คุณช่วยลูกสาวผมเอาไว้ได้อีกครั้ง!” ครึ่งชั่วโมงต่อมาเฉิงกัวอันก็มาถึงโรงพยาบาลด้วยสีหน้าวิตกกังวล แต่เมื่อเขาเห็นว่าลูกสาวของตัวเองปลอดภัยดีเขาก็รีบวิ่งมาขอบคุณอวี้ฮ่าวหรานทันที
คอมเม้นต์