บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 71 ภูตผีวิญญาณอาฆาต
บทที่ 71 ภูตผีวิญญาณอาฆาต
บทที่ 71 ภูตผีวิญญาณอาฆาต
ที่ด้านข้างของเทือกเขาวงจันทรา
มู่ขุยผู้ที่คิดจะหลบหนี เมื่อได้เห็นการต่อสู้กลางอากาศ เขาก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้แม้แต่ก้าวเดียวนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
‘ผู้อาวุโสเฉินซี เขา…ช่างน่าเกรงขามเหลือเกิน!’
นัยน์ตาพราวระยับของมู่ขุยวูบไหวเป็นระลอก ราชาวานรทมิฬนั้นฝึกบ่มเพาะถึงขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสี่แล้ว การบ่มเพาะของวานรตนนี้อาจกล่าวได้ว่าทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้ ซึ่งเป็นเหตุผลง่าย ๆ ที่ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในเจ็ดราชาอสูรผู้ยิ่งใหญ่
ทว่าตอนนี้ราชาวานรทมิฬกลับถูกเฉินซีสะกดข่มจนสิ้นท่า!
“ผู้อาวุโสเฉินซีเพิ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลเพียงไม่กี่เดือนก่อนเท่านั้นเอง!” มู่ขุยพึมพำกับตนเองด้วยความตื่นเต้น
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ยามนี้เฉินซีเคลื่อนไหวว่องไวปานกระแสลม ส่งผลให้กระบี่ไผ่ทองคำนิลในมือของชายหนุ่มรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม จนในที่สุดก็เกินจุดที่สายตาคนสามารถจับภาพได้ทันประหนึ่งกระแสน้ำมีขึ้นและลง การโจมตีนั้นทิ้งรอยแผลที่เกิดจากคมกระบี่ไว้บนร่างของราชาวานรทมิฬที่ตอนนี้ปรากฏโลหิตแดงฉานไหลซึมออกมาเป็นจำนวนมาก
ชั่วขณะนั้นดูเหมือนว่าเฉินซีจะหวนกลับสู่ช่วงเวลาที่ตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนด้วยความขุ่นเคืองใจอยู่ท่ามกลางทะเลป่าไผ่ ชายหนุ่มขบกรามกัดฟันแน่นขณะฝึกฝนอย่างหนักหน่วงครั้งแล้วครั้งเล่า ภายใต้เสียงกระตุ้นของจี้อวี๋ซึ่งพูดซ้ำไปซ้ำมาว่า ‘ใช้ไม่ได้!’ และจะหยุดลงก็ต่อเมื่อพละกำลังเฮือกสุดท้ายได้เหือดหายไปจากร่างกายแล้ว การฝึกทั้งหมดนั้นเพื่อจะได้ไปกลับออกจากทะเลป่าไผ่ในเวลาไม่ถึงสิบลมหายใจ
โดยไม่สัมผัสก้านใบไผ่แม้เสี้ยวเดียว ด้วยเงื่อนไขที่แสนยากนี้เอง จึงทำให้เวลานี้เขาเกิดความชำนาญและสามารถหลบเลี่ยงกระบองเหล็กของราชาวานรทมิฬได้อย่างง่ายดาย เหมือนกำลังเดินเล่นชมสวนอย่างสบายอารมณ์ทว่ารวดเร็วดั่งสายลม
ในขณะเดียวกัน เมื่อรวมทักษะกระบี่ที่เขาสั่งสมผ่านการต่อสู้เป็นตายมาทีละเล็กทีละน้อยกับการรู้แจ้งแห่งวายุ จึงส่งให้พลังกระบี่ยิ่งเร็วและรุนแรงขึ้นอีก…
‘ผู้อาวุโสจี้อวี๋กล่าวถูกต้องแล้ว ความแตกต่างในพลังของผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลทั้งหลายไม่ได้ขึ้นอยู่กับระดับขั้นดาราไปเสียทั้งหมด การรู้แจ้งในเต๋าแห่งการต่อสู้นั้นมีส่วนทำให้แข็งแกร่งกว่าอีกฝ่ายได้อย่างสำคัญเช่นกัน…’ ชายหนุ่มเริ่มความเข้าใจขึ้นทันที และผลงานการต่อสู้ของเฉินซีก็ดีขึ้นตามความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นด้วย
ราชาวานรทมิฬถูกรุกหนักขึ้น ไม่ว่าเขาจะเหวี่ยงกระบองเหล็กไปทางใดกลับไม่สามารถฟาดไปโดนเฉินซีเลย เรียกว่าไม่ได้สัมผัสกระทั่งชายเสื้อของเฉินซีด้วยซ้ำ แต่กลับเป็นมันเองที่โดนคมกระบี่ของอีกฝ่ายจนโลหิตไหลอาบ แม้บาดแผลเหล่านั้นจะสามารถสมานได้เองอย่างรวดเร็วจนไร้ร่องรอยก็ตามที แต่เขาก็ทำได้เพียงป้องกันจุดอ่อนบนร่างกายเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ส่วนจุดที่ถูกกระทำโดยไม่ได้ตอบโต้ทำให้เขาถึงกับโกรธสุดขีด!
“บัดซบ! บัดซบ! บัดซบ!!!” เวลานี้ราชาวานรทมิฬกำลังคลุ้มคลั่ง ความสูงใหญ่ของมันทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วเกือบสามจั้ง ผิวหนังบนร่างกายถูกปกคลุมด้วยขนสีดำขลับ กล้ามเนื้อพองนูนขึ้นมาราวก้อนหิน ดวงตาแดงก่ำขณะเดียวกันเขี้ยวยาวแหลมคมงอกออกจากปาก
ยามนี้ราชาวานรทมิฬแปลงร่างกลับไปเป็นร่างอสูรเดิมของมัน ขณะที่พลังร้ายกาจผสานกับปราณอสูรจนเกิดเป็นเสียงระเบิดดังเปรี้ยงสนั่นแผ่กระจาย
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
กระบองเหล็กของราชาวานรทมิฬปรากฏลำแสงแดงฉานพุ่งออกมา แสงสีแดงเข้มเจิดจ้าจนดูราวกับว่ามีวิญญาณอาฆาตกำลังดิ้นทุรนทุรายอยู่ข้างใน เมื่อมันทะยานขึ้นไปในอากาศ พลังนั้นทั้งรุนแรงและโหดเหี้ยมทำให้ราชาอสูรยิ่งแลดูน่าเกรงขามเป็นอีกนับสิบเท่า
“ราชาอสูรกำลังโมโหสุดขีด! นับเป็นครั้งแรกเลยที่ข้าได้เห็นเขากลับคืนร่างอสูรแบบนี้และยังเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นกระบองอาฆาตอสูรโลหิตเปล่งอำนาจถึงขนาดนั้นด้วย!”
“ไอ้มนุษย์โสโครกนั่นน่าชิงชังสิ้นดี มันรู้แต่วิธีหลบหลีกเท่านั้น ถ้าราชาอสูรไม่ใช้ไม้ตาย มันต้องคงคิดว่าราชาอสูรเกรงกลัวมันแน่!”
“ฮ่า ๆ! มันตายแน่!”
เมื่อเหล่าสัตว์อสูรเห็นราชาวานรทมิฬแสดงพลังอย่างเต็มที่ ความกังวลใจที่เคยมีพลันหายหมดสิ้น และพวกเขาก็เริ่มพากันไชโยโห่ร้องกันอย่างอึกทึกอีกครั้ง
‘เจ้าวานรเฒ่ากำลังตกอยู่ในความคลุ้มคลั่ง พลังของมันจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสามในสิบส่วน ไหนจะกระบองเหล็กอาฆาตอสูรโลหิตนั่นอีก มันเป็นกระบองที่หลอมสร้างมาจากวิญญาณอาฆาตของเหล่าสัตว์อสูรที่ตายไปพร้อมกับความเคียดแค้น แม้ว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะสำเร็จทักษะกระบี่ขั้นเต๋ารู้แจ้งอันทรงพลัง แต่พลังบ่มเพาะในตัวก็ยังเทียบไม่ได้กับเจ้าวานรเฒ่าอย่างสิ้นเชิง ซึ่งน่าจะรอดได้ยากจริงไหม?’
เซวี่ยอวี้ ราชาเหยี่ยวสายฟ้าใช้มือลูบคางพลางครุ่นคิดเงียบ ๆ และลอบถอนใจด้วยความโล่งอก ฝีมือของเฉินซีนับว่าเกินความคาดหมายของเขาไปมาก ทั้งกระบี่ไผ่ทองคำนิลเล่มนั้น ทักษะการเคลื่อนไหว รวมทั้งทักษะกระบี่ขั้นเต๋ารู้แจ้งล้วนทำให้ชายหนุ่มเป็นคนที่น่ากลัวอย่างยิ่ง
เซวี่ยอวี้หรือราชาเหยี่ยวสายฟ้า เขาคืออสูรเหยี่ยวเหล็กทองคำซึ่งโดดเด่นในด้านความเร็ว ในกายมีพลังอัสนีแฝงมาตั้งแต่เกิด แม้ว่าระดับบ่มเพาะของเขาจะสูงกว่าเฉินซีมากก็ตาม แต่ถ้าประมือต่อสู้กัน นอกจากความเร็วของเขาที่เหนือกว่าอีกฝ่ายแล้ว เรื่องอื่นเขาก็ยังสู้มนุษย์หนุ่มไม่ได้
ผสานทักษะเข้ากับพลังอัสนีอย่างนั้นหรือ
เฉินซีมีกระบี่ไผ่ทองคำนิลที่ไม่เคยครั่นคร้ามต่อสายฟ้ามาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งกว่านั้นถ้าใช้ถูกที่ถูกเวลา มันยังสามารถดูดซับสายฟ้าได้อีกด้วย!
อย่างไรเสีย เซวี่ยอวี้ก็อยู่มานานนับพันปี และเขาก็ได้ครอบครองสมบัติวิเศษซึ่งใช้เป็นไพ่ตายอยู่หลายชิ้น ดังนั้นหากต้องลงมือต่อสู้กันจริง เขาก็ไม่ได้หวาดกลัวเฉินซีเช่นกัน
“ตายแน่!” เซวี่ยอวี้คิดฟุ้งซ่าน ขณะนั้นราชาวานรทมิฬได้เหวี่ยงกระบองเหล็กในมือออกไปอย่างแรง
ครืน!
แสงสีแดงฉานกระจายวาบพร้อมระเบิดดังเปรี้ยง ประหนึ่งสายน้ำโลหิตไหลบ่า เสียงคำรามดังกระหึ่มราวกับจะเขมือบทุกสิ่งมุ่งไปยังเฉินซี
วู้ววววว…
ตามมาด้วยเสียงร้องกรีดแหลมชวนสยดสยองและเสียงโหยหวนของวิญญาณอาฆาต บรรยากาศโดยรอบพลันมืดสนิทลง เวลานั้นวิญญาณภูตผีมากมายที่สามารถมองเห็นด้วยตาพากันส่งเสียงกรีดร้องดังสะท้านในอากาศขณะที่พวกมันทะยานออกไป
วิญญาณอาฆาตเหล่านี้ล้วนเคยเป็นสัตว์อสูรน่าพรั่นพรึง แต่ต้องตายอย่างทรมานจนกลายเป็นความเคียดแค้นแรงกล้า จากนั้นจึงถูกหยวนถงสะกดเอาไว้ในกระบองอาฆาตอสูรโลหิตมานานนับพันปี ทำให้ภูตผีวิญญาณอาฆาตเหล่านี้เป็นเสมือนวัตถุที่มีความน่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด ถ้าเป็นคนจิตไม่มั่นคงนัก วิญญาณของเขาอาจถูกครอบงำและจับไปทันที
“กรรรรร!”
“ฆ่า!”
เสียงของภูตผีที่เต็มไปด้วยความอาฆาตดังโหยหวน ขณะที่มันพุ่งเข้าหาเฉินซี บรรยากาศและฟ้าดินต่างก็ดำมืดไปหมด
“ถุย!” หยวนถงที่กำลังบ้าคลั่งเปิดปากถ่มแก่นแท้โลหิตพรวดลงไปที่กระบองอาฆาตอสูรโลหิตทันที จากนั้น เมื่อภูตผีเหล่าวิญญาณอาฆาตทั้งหลายถูกกระตุ้นด้วยโลหิตของมันจึงพุ่งทะยานกันออกมาจนเต็มทั่วฟ้าทั่วดิน!
“ฮ่า ๆๆ! ดูสิว่าคราวนี้เจ้าจะหลบได้อย่างไร!” การบ้วนแก่นแท้โลหิตและการเพ่งจิตควบคุมกระบองอาฆาตอสูรโลหิตที่ถืออยู่ในมือส่งผลให้หน้าของหยวนถงซีดขาวยิ่งกว่ากระดาษ แต่เมื่อเห็นว่าเฉินซีกำลังถูกเหล่าภูตผีวิญญาณพยาบาทล้อมกรอบไว้อย่างแน่นหนาจนไม่อาจหลบหนี เขาก็ไม่สามารถระงับเสียงหัวเราะป่าเถื่อนและบ้าคลั่งออกไปได้
‘เจ้าอสูรนั่น ช่างโหดเหี้ยมเสียนี่กระไร! ต้องปลิดชีพสัตว์อสูรไปแล้วกี่ตัวต่อกี่ตัวเพื่อจะได้ดูดกลืนวิญญาณพยาบาทเหล่านี้’
ขณะนั้นสายตาของเฉินซีจับจ้องไปที่ฝูงภูตผีพยาบาทที่พุ่งตรงมายังตนราวกระแสน้ำบ่าทะลัก สีหน้าของเขาในยามนี้ก็ฉายความดุดันขึ้นมา ภูตผีพยาบาทเสมือนวัตถุที่ไม่มีตัวตน อาศัยวิธีจัดการตามปกติเพียงอย่างเดียวคงหยุดพวกมันไม่ได้
‘ข้าควรทำอย่างไรดี?’
เปรี๊ยะ!
ใบหน้าของเฉินซีส่อเค้าเคร่งเครียดขึ้นทุกขณะ ทันใดนั้นจู่ ๆ ก็ปรากฏสายฟ้าพุ่งออกจากกระบี่ไผ่ทองคำนิลที่ชายหนุ่มกุมไว้ในมือ ฟาดไปยังเหล่าภูตผีที่อยู่ใกล้เคียงล้มตาย บ้างกลายเป็นเถ้าถ่านไปโดยทันที!
‘ใช่แล้ว!’
‘สายฟ้ามีคุณสมบัติเป็นหยางและมีอิทธิฤทธิ์ต้านทานภูตผีทั้งปวง กระบี่ไผ่ทองคำนิลในมือของข้ามีความยาวถึงสี่ฉื่อเศษและเคยถูกโจมตีด้วยสายฟ้ามานับครั้งไม่ถ้วนแต่ไม่ถูกทำลาย อีกทั้งตัวกระบี่ยังประจุด้วยพลังอัสนีซึ่งมีอำนาจทำลายล้างรุนแรง เช่นนี้แล้วเหตุใดข้าจึงต้องกังวลอีกว่าจะจัดการภูตผีสกปรกโสโครกเหล่านี้ไม่ได้?’
นัยน์ตาของเฉินซีเป็นฉายประกายแวววาว ก่อนเขาจะเริ่มโคจรปราณแท้ของตนลงไปยังกระบี่ไผ่ทองคำนิลอย่างรวดเร็ว
ตู้ม!
ปราณกระบี่ประหนึ่งลูกคลื่นโหมกระหน่ำตรงเข้ากวาดกระแสภูตผีที่ถาโถมเข้ามา ภาพของกระบี่มากมายเหลือคณาแปรเปลี่ยนเป็นเงาทับซ้อนเป็นชั้น ๆ แผ่กระจายออกไป!
กระบวนท่าที่สี่ของเคล็ดวิชากระบี่หยั่งรู้วาตะลอยละล่อง ‘วารีคลั่ง’!
ครืน! ครืน! ครืน!
เสียงคลื่นดังขึ้นราวกับเพลิงที่ลุกไหม้ บัดนี้ร่างของเฉินซีถูกปราณกระบี่จำนวนมากปกคลุมไว้ทั้งตัว ทุกปราณกระบี่ที่ชายหนุ่มฟาดฟันออกไปปรากฏเป็นคมสายฟ้าสว่างเจิดจ้าและทุกที่ที่ปราณกระบี่พาดผ่าน วิญญาณพยาบาททุกตนไม่สามารถตอบโต้ได้อย่างสิ้นเชิง ทั้งยังถูกฉีกจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและมอดไหม้เหลือเพียงความว่างเปล่า
“อ…อะไรกัน เหตุใด…เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้!?” รอยยิ้มของหยวนถงเหือดหายอย่างกะทันหัน จากนั้นก็แทนที่ด้วยสีหน้าตกตะลึงและแปรเปลี่ยนเป็นกราดเกรี้ยว ภูตผีวิญญาณอาฆาตที่สิงอยู่ในกระบองอาฆาตอสูรโลหิต ล้วนเป็นไพ่ตายของเขาและพวกมันประสบความสำเร็จตลอดมา! แต่เมื่อเห็นเฉินซีทำลายล้างภูตผีพยาบาทเหล่านั้นจนวายวอดลงอย่างง่ายดาย ทำให้เขาไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
“เป็นไปไม่ได้! ภูตผีพวกนี้ถูกทรมานจนตายมากับมือของข้าเอง ก่อนสยบมันด้วยปราณอสูรมานานเป็นพันปี จนพวกมันไม่เกรงกลัวสมบัติวิเศษและศัสตราใดมานานมากแล้ว ตอนนี้กลับกลายเป็นด้อยพลังไปได้อย่างไร!”
ยามนี้สีหน้าของหยวนถงบิดเบี้ยวเหยเกด้วยกำลังสั่นคลอนภายใน เขายังไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เห็น
ขณะนั้นเอง
ปราณกระบี่ที่ว่องไวปานสายฟ้าแลบทะยานทะลุทะลวงผ่านอากาศมาอย่างเงียบเชียบ ทันทีที่มันเคลื่อนเข้าใกล้ด้วยความรวดเร็วเกินพิกัด เมื่อหยวนถงเพิ่งสะดุ้งตื่นจากภวังค์ด้วยความตกใจ ปราณกระบี่ก็พุ่งมาถึงตัวเขาแล้ว
“ไม่!!!” แม้หยวนถงจะพยายามปฏิเสธจนสุดชีวิต ทว่าก็สายเกินกว่าจะหลบเลี่ยงได้ ตรงหว่างคิ้วของมันพลันปรากฏรูโบ๋และมีโลหิตพุ่งกระฉูดออกมาทันที
ถึงแม้กายาของเขาจะสำเร็จขอบเขตตำหนักอินทนิลที่สามารถฟื้นฟูอวัยวะแขนขาให้งอกเงยขึ้นใหม่ได้ แต่ตราบใดที่ศีรษะซึ่งเป็นจุดอ่อนถูกบดขยี้ลง ไม่ว่าใครก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ฉัวะ!
ปราณกระบี่อีกหนึ่งพุ่งมาด้วยแสงสว่างแวบวาบ ฉับพลันศีรษะของหยวนถงก็หลุดจากบ่าและกระเด็นไปอยู่ในฝ่ามือของเฉินซี
ขณะนั้นทั้งบริเวณไร้สรรพเสียงใด ๆ!
เหล่าสัตว์อสูรทั้งหลายต่างจ้องมองร่างไร้ศีรษะซึ่งกำลังร่วงหล่นลงมาจากอากาศ สายตาของพวกมันเผยความหวาดกลัวสุดขีดราวกับพวกมันกำลังเผชิญกับฝันร้ายที่ไม่เคยมีใครคาดคิดว่าจะได้เจอ อสูรทุกตนหยุดนิ่งแข็งค้างด้วยความตกตะลึงบวกกับงุนงงสับสนในใจอย่างยิ่ง!
คอมเม้นต์