บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 87 ภูเขาธาตุผกผัน

อ่านนิยายจีนเรื่อง บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน ตอนที่ 87 ภูเขาธาตุผกผัน อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

บทที่ 87 ภูเขาธาตุผกผัน
บทที่ 87 ภูเขาธาตุผกผัน

รูปลักษณ์อันหล่อเหลา ร่างสูงโปร่ง และท่วงท่าสง่างามที่เปี่ยมด้วยมั่นใจ เมื่อชายหนุ่มคนนี้ปรากฏตัว บรรดาเหล่าสัตว์อสูรที่ยืนรออยู่ภายนอกนานแล้วต่างขยับตัวลุกขึ้นยืนพร้อมกัน ‘พรึ่บ’ จากนั้นก็ค้อมตัวลงต่ำแสดงความคารวะต่อผู้ที่เพิ่งปรากฏ ทุกตัวยืนเรียงกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ราวกับกองทัพทหารที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นเวลานาน

ไร้เสียงดังอื้ออึงแสดงความดีใจหรืออึกทึกครึกโครมใด ๆ มีเพียงการขยับยืนขึ้นและแสดงความเคารพอย่างเงียบเชียบ แต่ยังคงไว้ซึ่งความเข้มแข็งเหนือคำบรรยายด้วย นี่คือการให้ความเคารพและยอมรับที่เกิดจากข้างใน

เสียงที่ไพเราะที่สุดคือเสียงแห่งความเงียบ ซึ่งส่งสัญญาณไปถึงหัวใจของอีกฝ่าย!

ภาพโอ่อ่าสง่างามที่สุดนี้นับเป็นเวลาเนิ่นนานมาแล้วที่ไม่ได้เกิดขึ้นในส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ สัตว์อสูรจำนวนมากมหาศาลที่แสดงออกถึงความเคารพนบนอบนับเป็นฉากมหัศจรรย์อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

เหล่าอสูรกำลังยืนทำความเคารพให้แก่คนผู้หนึ่ง ราวกับว่าพวกมันกำลังเผชิญหน้ากับแม่ทัพเลื่องชื่อในสนามรบ ประหนึ่งข้ารับใช้ให้ความเคารพแก่ราชาผู้ยิ่งใหญ่ ภาพที่ปรากฏแก่สายตาทำให้ตู้ชิงซีและพวกต่างตะลึงงันไปตาม ๆ กัน

ส่วนเฉินซีนั้นนิ่งงันด้วยตกตะลึงไปชั่วขณะ ชายหนุ่มมองไปยังฝูงอสูรแน่นขนัดจนไม่เห็นว่าจะสิ้นสุดลงที่จุดใด เมื่อมองดูการยอมรับและเคารพนับถือจากเหล่าอสูรตรงหน้าแล้ว เขาเองก็อดตกใจไม่น้อยเช่นกัน

“เผ่าอสูรมักตรงไปตรงมามากกว่ามนุษย์ พวกเขาเชื่อในพลังและความแข็งแกร่งของตัวเอง ทั้งยังบูชาความรักและคลั่งไคล้ใหลหลงอย่างแรงกล้าที่คนนอกไม่อาจเข้าใจ เจ้าเคยสังหารราชาอสูรมาแล้วถึงสี่ในเจ็ดตนจนชื่อเสียงขจรขจายและทรงอิทธิพลดั่งดวงอาทิตย์ที่ไม่เคยลับขอบฟ้า ข้าไม่สงสัยเลยว่าถ้าเมื่อใดที่เจ้าอ้างตัวเองเป็นราชาแล้ว อสูรเหล่านี้จะยอมรับและอยู่ภายใต้คำสั่งของเจ้าทันที พวกเขาจะตามไปอยู่เคียงข้างและไม่มีทางที่จะปฏิเสธคำสั่งการใด ๆ ของเจ้าแน่นอน” เวลานั้นเสียงจี้อวี๋ก็ดังขึ้นมาในหัวของเฉินซี

“เอาล่ะ ตอนนี้ความปรารถนาของพวกเจ้าที่จะได้พบกับเขาได้รับการตอบสนองแล้ว จงกลับไปเสีย อย่าได้รบกวนการฝึกบ่มเพาะพลังของข้ากับน้องเล็กเฉินซีอีก” ราชาจิ้งจอกเก้าหางเหินขึ้นสูงไปที่กลางอากาศ เสียงที่เขาประกาศดังเสมือนเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องไปทั่วทั้งเทือกเขาวงจันทรา

ในเมื่อราชาชันจิ้งจอกเก้าหางออกโรงเอ่ยปากด้วยตนเองเช่นนี้แล้ว แน่นอนว่าไม่มีสัตว์อสูรตนใดจะกล้าขัดไม่ยอมเชื่อฟัง

ไม่นานต่อมา ฝูงสัตว์อสูรพากันทยอยออกจากเทือกเขาวงจันทราเป็นระลอกดั่งกระแสน้ำ แม้จะไม่มีโอกาสได้โอภาปราศรัยกับเฉินซี แต่พวกมันต่างรู้สึกพอใจที่ได้เห็นรูปร่างหน้าตาของชายหนุ่มและรู้สึกว่าการมาครั้งนี้ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรเสียทีเดียว

“เจ้าบรรลุขั้นพลังแล้วสินะ” หลังจากฝูงอสูรทั้งหมดลับหลังไปไม่นาน ราชาจิ้งจอกเก้าหางเหลือบตามองและก็พบว่าเฉินซีดูเหมือนกับเป็นคนใหม่แล้วอย่างน่าประหลาดใจ แม้ว่ารัศมีที่เคยแผ่คลุมรอบตัวของเขาจะจางหายไปทุกขณะ แต่โดยทั่วไปแล้วท่าทางที่เขายืนดูสง่างามเหมือนกับเขาสูงที่ตั้งตระหง่าน โดยยึดเหนี่ยวจิตวิญญาณอันแรงกล้าไว้ภายใน

เฉินซีพยักหน้าตอบ หาใช่เพียงขั้นพลังที่ก้าวหน้าเท่านั้น ช่วงระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ชายหนุ่มปิดด่านฝึกฝนอยู่คนเดียว เขาได้ดูดซับวารีวิญญาณที่มีอยู่ทั้งหมดจนสิ้นไป ในพื้นที่เหนือทะเลสาบแห่งตำหนักอินทนิลของเฉินซี ขณะนี้มีดวงดาวห้าดวงส่องแสงระยิบระยับเปล่งรัศมีเป็นประกายแวบวาบประสานสอดคล้องอยู่ที่นั่น

หากมิใช่เพราะวารีวิญญาณไม่เพียงพอแล้ว เฉินซีอาจจะทะลวงสู่ขอบเขตเคหาทองคำได้ด้วยในคราวเดียวเป็นแน่!

ส่วนสำคัญที่สุดคือเคล็ดวิชากระเรียนเหมันต์ที่บ่มเพาะนั้นทำให้ห้วงทะเลสาบแห่งขอบเขตตำหนักอินทนิลของเฉินซีทั้งกว้างและล้ำลึกกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลทั่วไป ส่งผลให้ปราณแท้ที่ต้องสั่งสมหนาแน่นมากกว่าปกติ ด้วยเหตุนี้อัตราการดูดซับวารีวิญญาณของเขาจึงมากกว่าผู้บ่มเพาะตำหนักอินทนิลคนอื่นหลายเท่า

หากเฉินซีต้องการที่จะก้าวไปสู่ขั้นหกดาราของขอบเขตตำหนักอินทนิล เขาอาจต้องใช้วารีวิญญาณถึงสองหมื่นห้าพันจินเลยทีเดียว

ส่วนการจะบรรลุขึ้นสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลเจ็ดดาราจะต้องใช้วารีวิญญาณถึงห้าหมื่นจิน

ส่วนขอบเขตตำหนักอินทนิลแปดดาราต้องการวารีวิญญาณถึง หนึ่งแสนจิน!

กล่าวคือ หากไม่มีวารีวิญญาณสองล้านชั่งเฉินซีจะไม่มีทางบุกทะลวงสู่ขอบเขตเคหาทองคำได้!

แน่ล่ะ ด้วยพลังความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเฉินซี เขาไม่ต้องหวาดกลัวผู้ฝึกฝนบ่มเพาะพลังตำหนักอินทนิลขั้นสมบูรณ์แม้แต่น้อย หรือต่อให้เผชิญหน้าและประมือกับผู้ฝึกบ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำซึ่งเหนือกว่า เขาก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้

สุดท้ายแล้ว อาจไม่มีใครเหมือนเขาเลย คนที่มีการพัฒนาพลังดวงวิญญาณได้ทุกขณะ มีพรสวรรค์ในการเข้าใจเต๋าอย่างผิดปกติถึงจุดที่ท้าทายสวรรค์ติดตัวมาแต่กำเนิด และได้ฝึกฝนเคล็ดวิชากระเรียนเหมันต์ที่ล้ำเลิศ…เขาเป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตที่เป็นดั่งสัตว์ประหลาด

หลังจากนี้ถ้าเฉินซีบ่มเพาะร่างกายของตัวเองถึงขอบเขตตำหนักอินทนิลด้วยแล้ว ต่อไปอักขระจ้าววิญญาณและปราณจ้าววิญญาณจะปรากฏ ถึงเวลานั้นความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเฉินซีจะเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าทวี!

น่าเสียดายที่ความก้าวหน้าในการบ่มเพาะกายาช้าเกินไป แม้ว่าเขาจะมีเคล็ดวิชาที่ไร้เทียมทานอย่างยิ่ง แต่วิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพกลับยังติดอยู่ที่ขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์มาช้านาน

ทว่าตามคำกล่าวของจี้อวี๋ ร่างกายของผู้ฝึกตนขอบเขตตำหนักอินทนิลจะสามารถเกิดอักขระจ้าววิญญาณขึ้นก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นปราณจ้าววิญญาณ ปราณนี้จะทำให้สามารถควบคุมพลังเทพอิทธิฤทธิ์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ! ดังนั้นแล้วการประสบความสำเร็จมันคงไม่ง่ายดายนัก

ความสำเร็จนี้หากก้าวผ่านได้สำเร็จมันจะหมายถึงการได้เป็นตัวตนที่อยู่ระหว่างมนุษย์และทวยเทพ เป็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพเช่นเดียวกับตัวอ่อนของผีเสื้อที่ทะลวงผ่านรังเป็นผีเสื้อสีสันสวยงามออกมาเริงร่าเต้นระบำ!

แต่ขั้นตอนนี้ปรากฏช่องกว้างห่างกันมาก ถ้าปราศจากการฝึกฝนบ่มเพาะพลังและปรับสภาพร่างกายมาตลอดทั้งวันทั้งคืนแล้ว โอกาสที่จะบรรลุในขั้นนี้ดูจะเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้น แทบจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสแม้กระทั่งชายขอบของขอบเขตตำหนักอินทนิลเลยด้วยซ้ำ

“เฉินซี พวกเราจะไปจากที่นี่ได้เมื่อไร” ตู้ชิงซีเดินมาถามเสียงแผ่ว ภายหลังจากที่นางได้เห็นฝูงสัตว์อสูรนับไม่ถ้วนเข้ามาแสดงความเคารพนอบน้อมต่อคนตรงหน้า นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลใจขึ้นมาบ้างว่าเฉินซีอาจจะไม่อยากไปจากสถานที่นี้ในเร็ว ๆ นี้

“จริงสิ นี่ก็ผ่านมาปีกว่าแล้วนับตั้งแต่ที่พวกเรามาถึงเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ เวลานี้พวกเรารอดพ้นจากสถานการณ์เลวร้ายทั้งหลายมาแล้ว สมควรรีบออกไปเสียจากที่นี่โดยเร็วเพื่อไม่ให้ผู้คนที่รอเราอยู่ต้องเป็นห่วง” ต้วนมู่เจ๋อสนับสนุนด้วยเช่นกัน

ความจริงเฉินซีเองก็อยากไปจากที่นี่จนแทบจะรอไม่ไหวแล้วเช่นกัน แต่ภารกิจที่ต้องสะสางของเขายังไม่หมดเสียทีเดียวจึงหันไปบอกกับคนอื่นว่า “เอาไว้ให้ข้าจัดการเรื่องราชาอสูรทั้งสองเสร็จสิ้นแล้ว พวกเราจะไปจากที่นี่ทันที”

“ถูกต้อง ถ้าเรื่องยังไม่เรียบร้อย ข้าก็เกรงว่าพวกเจ้าจะยังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น” ราชาเต่าเฒ่าเสริมขึ้นด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ

พลันตู้ชิงซีและคนอื่นพอได้ฟังเช่นนั้นต่างสีหน้าถมึงทึงน่ากลัว ‘ไอ้ราชาเต่าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? หรือมันคิดจะข่มขู่เฉินซี?’

“ฟังข้าก่อน ๆ เดี๋ยวจะเข้าใจผิดกันไป จะให้พูดอย่างไรดี เรื่องที่เราและน้องชายเฉินซีจะจัดการก็คือการเบิกเส้นทางเพื่อนำไปสู่โลกภายนอก หากปราศจากเส้นทางที่ข้าพูดถึง อย่าว่าแต่พวกเจ้าแม้แต่พวกเราเองก็ออกไปไม่ได้ทั้งนั้น” ราชาเต่าเฒ่าเอ่ยทิ้งท้ายอย่างคลุมเครือ ไม่ได้พูดถึงชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากแต่อย่างใด

“ใช่แล้ว เป็นความจริง” เฉินซีพยักหน้า

ทุกคนได้แต่ถอนใจอย่างโล่งอก

“ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าก็ระมัดระวังด้วย รีบไปรีบกลับล่ะ” ตู้ชิงซีเงยหน้าขึ้นและมองสบตาเฉินซีตรง ๆ ขณะพูดน้ำเสียงเย็นชาของนางกลับแฝงซึ่งความเขินอายและอ่อนโยนที่หาได้ยากยิ่ง

ฟู่!

เฉินซีลอบผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นชายหนุ่มก็ขึ้นไปนั่งบนเรือเหาะสมบัติก่อนทะยานออกจากเทือกเขาวงจันทรา

คำพูดก่อนหน้านี้ของตู้ชิงซี ทำให้เขารู้สึกปลาบแปลบในใจอย่างน่าประหลาดราวกับได้สัมผัสกระแสไฟฟ้าเข้า จนเขาอดแปลกใจไม่ได้หากก็พึงพอใจอยู่ไม่น้อย

เป็นความรู้สึกของคนที่กำลังนั่งจิบสุรารสเลิศไปพร้อมกับฟังเพลงขับกล่อมอันไพเราะเพราะพริ้ง ยากแก่การที่จะพรรณนาออกมาเป็นคำพูดได้อย่างแท้จริง

“ดูจากหน้าตาท่าทางของน้องเฉินซีแล้ว เหมือนเจ้ากำลังมีปัญหาหัวใจอยู่ล่ะซี แต่ไม่น่าแปลกหรอก เพราะน้องชายชอบไปไหนมาไหนคนเดียว จะมีแค่กระบี่ในมือเท่านั้นเป็นที่พึ่งพายามกรุยทางขึ้นไปยังหุบเขาจันทราโหยหวน ดังนั้นแล้วไม่แปลกเลยที่เจ้าจะถูกกระตุ้นโดยอารมณ์อันปั่นป่วนของสตรีผู้นั้น ช่างเป็นคู่เต๋าที่เหมาะสมกันยิ่งนัก น่าอิจฉาจริง ๆ” นัยน์ตากรุ้มกริ่มรูปผลท้อของราชาจิ้งจอกเก้าหางกะพริบถี่ขณะพูดทำนองหยอกเย้า

คำพูดนี้ทำให้เฉินซีรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยจึงรีบส่ายหน้าทำนองปฏิเสธ ก่อนจะเสเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“จริงสิ ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากอยู่ที่ไหนกันแน่”

ราชาจิ้งจอกเก้าหางยกยิ้มและไม่พยายามรุกหนักจนเกินไป ขณะที่เอนตัวพิงราวบันไดก่อนชะเง้อมองไปในที่ไกลพลางเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย “ตามปกติมันจะอยู่บริเวณใจกลางของที่นี่ ข้างใต้ภูเขาธาตุผกผันห่างออกไปราวห้าหมื่นลี้ ”

‘ภูเขาธาตุผกผันอย่างนั้นหรือ?’

‘ชื่อประหลาดนัก!’

สีหน้าเฉยเมยไม่เปลี่ยนทว่าในใจของเฉินซีกระตุกวูบด้วยความคาดไม่ถึง

ฟิ้วววว!

เวลานั้นเรือเหาะสมบัติเคลื่อนผ่านระลอกคลื่นเมฆาที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าไปอย่างรวดเร็ว แม้ความเร็วของมันอาจเทียบไม่ได้กับกระบี่บิน แต่เมื่อโดยสารมัน ทุกคนไม่จำเป็นต้องเสียปราณแท้ในการเดินทาง อีกทั้งเรือเหาะยังสามารถป้องกันกระแสลมและฝน หลีกเลี่ยงคลื่นลมบนชั้นบรรยากาศ สะดวกสบายอย่างยิ่ง

ไม่นานนัก ภูเขาดำทะมึนซึ่งยอดสูงทะลวงชั้นเมฆก็ได้ปรากฏแก่สายตาของทุกคน ภูเขาลูกนี้แห้งแล้งและเต็มไปด้วยก้อนหินขรุขระรูปร่างแปลกคล้ายสัตว์ดุร้ายแห่งบรรพกาล อีกทั้งในรัศมีหนึ่งร้อยลี้บรรยากาศเงียบนิ่งปราศจากร่องรอยของสิ่งชีวิตอย่างสิ้นเชิง!

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด