บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 78 เคล็ดวิชามายาเทพ

อ่านนิยายจีนเรื่อง บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน ตอนที่ 78 เคล็ดวิชามายาเทพ อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

บทที่ 78 เคล็ดวิชามายาเทพ
บทที่ 78 เคล็ดวิชามายาเทพ

ปัง! ปัง! ปัง!

ปราณกระบี่ที่รวดเร็วรุนแรงซึ่งผสานด้วยเต๋าแห่งสายลม ปะทะกับปราณดาบนับไม่ถ้วนที่มีแสงสีครามเป็นรูปจันทร์เสี้ยว เกิดเสียงระเบิดดังก้องกระจายไปทั่วทุกทิศทุกทาง ลมแรงพัดโหมกระหน่ำฉีกกระชากผืนดิน จนทำให้เกิดหุบเหวขนาดใหญ่อันน่าสะพรึงกลัว และ หมอกสีดำหนาทึบในระยะร้อยยี่สิบจั้งก็ถูกกวาดล้างออกไป ทำให้การมองเห็นชัดเจนขึ้น

“มันคือเต๋ากระบี่!! ไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าจะสามารถบรรลุทักษะกระบี่ระดับนี้ได้ตั้งแต่เยาว์วัย ช่างน่าขัดใจนัก!” ราชามังกรทมิฬกระทืบเท้าถอยหลังไปสามก้าวอย่างต่อเนื่องและมองเฉินซีด้วยความประหลาดใจ จากนั้นพลังในร่างกายของเขาก็ปะทุขึ้นขณะที่ตวาดด้วยท่าทางดุร้าย “น่าเสียดายที่การบ่มเพาะของเจ้ายังต่ำชั้นเกินไป ความแข็งแกร่งเพียงแค่นี้ไม่อาจทำร้ายข้าได้!”

“ท่าฟันดาบอุษาทศวารี!” ทันใดนั้นราชามังกรทมิฬก็ตะโกนออกมาราวกับระเบิด และดาบโค้งสีครามขนาดมหึมาในมือเขาแปรเปลี่ยนเป็นปราณดาบขนาดสิบสองจั้ง ฟันกวาดไปยังเฉินซีที่อยู่ห่างออกไป

‘ความเชี่ยวชาญดาบของเขาอยู่ในขั้นเอกภาพเท่านั้น แต่เขาก็สามารถสกัดกั้นกระบวนท่าวายุทลายสุญญะของข้าได้ เห็นได้ชัดว่าการบ่มเพาะปราณภายในของเขาได้บรรลุถึงขอบเขตที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก ดูเหมือนว่าข้าจะไม่สามารถรับมือกับเขาแบบตรง ๆ ได้’

ดวงตาของเฉินซีหรี่ลงขณะที่ใช้เคล็ดวาตะเหินทะยาน จากนั้นเขาก็กระโจนอย่างต่อเนื่องเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีที่รุนแรงของราชามังกรทมิฬ ก่อนจะเคลื่อนไหวไปรอบ ๆ สนามรบพลางใช้กระบี่ไผ่ทองคำนิลในมือฟาดฟันออกไป เพื่อพยายามเปิดช่องโหว่ของราชามังกรทมิฬ

ปราณแท้ของราชามังกรทมิฬนั้นเข้มข้นยิ่งนัก และร่างดั้งเดิมของมันก็คือมังกรกลายพันธุ์ ปราณแท้ที่มันครอบครองอย่างน้อยก็ต้องอยู่ในการบ่มเพาะระดับตำหนักอินทนิลขั้นแปดดารา ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ การเผชิญหน้ากับเขาซึ่งหน้า ย่อมเป็นวิธีการที่โง่เขลาที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!

ราชามังกรทมิฬวาดดาบอุษาทศวารีในมือ คมดาบขนาดใหญ่ที่มีสีครามเข้มสามารถปัดป้องการจู่โจมทั้งหมดของเฉินซีได้ ถึงแม้ความเร็วและเคล็ดวิชาดาบของเขาจะไม่รวดเร็วเท่าเฉินซี แต่ด้วยการพึ่งพาพละกำลังอันมหาศาล ย่อมสามารถรับมือกับการจู่โจมที่พุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็วจากทั่วทุกทิศได้อย่างง่ายดาย และท่าทีของเขาก็ผ่อนคลายอย่างยิ่ง

“ไม่มีประโยชน์ เผ่ามังกรของข้ามีการป้องกันที่แข็งแกร่งตั้งแต่กำเนิด แม้ว่าการโจมตีของเจ้าจะมีเจตจำนงกระบี่ อย่างมากก็ทำได้เพียงเกาแก้คันให้แก่ข้าเท่านั้น” ราชามังกรทมิฬหัวเราะด้วยความดูถูกเหยียดหยาม “ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เจ้าทำนั้นสิ้นเปลืองปราณแท้มากมาย ยิ่งนานก็ยิ่งเสียเปรียบ แทนที่จะดิ้นรนอย่างยากลำบาก ทำไมเจ้าไม่ให้ข้าตัดศีรษะของเจ้าเสีย มันจะไม่ดีกว่าหรือ?”

เฉินซียังคงนิ่งเงียบและเร่งความเร็วในการจู่โจมของกระบี่ไผ่ทองคำนิล จากนั้นก็ใช้เคล็ดวิชาการเคลื่อนไหวเพื่อเร่งความเร็วของเขา ยามนี้เขาไม่ต่างกับแมลงเม่าที่บินเข้ากองไฟ ทั้งแน่วแน่และดื้อรั้น

“ช่างเป็นเด็กที่ดื้อรั้นเสียจริง ฮ่า ๆๆ” ราชามังกรทมิฬหัวเราะอย่างเย่อหยิ่ง เขามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า เฉินซีไม่มีกลอุบายเหลือและทำได้เพียงต่อสู้อย่างจนตรอก

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

เฉินซีแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงของราชามังกรทมิฬ และใช้เคล็ดวาตะเหินทะยานบุกโจมตีราชามังกรทมิฬอีกครั้ง

ทั้งสองปะทะกันอีกหลายครั้งและรับรู้ถึงจุดเด่นจุดด้อยของกันและกัน เฉินซีนั้นได้เปรียบในด้านความเร็ว แต่การบ่มเพาะของเขากลับถูกสะกดโดยราชามังกรทมิฬ จนเขาไม่สามารถชิงความเปรียบได้เลย

“ไร้ประโยชน์ หยุดดิ้นรนซะ มันจะไปมีความหมายอะไร… ห…หืม? พี่ใหญ่ เหตุใดท่านถึงมาที่นี่?” ราชามังกรทมิฬงุนงง เมื่อชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีดำ ที่มีดวงตาราวกับคบไฟสีหยกปรากฏตัวขึ้นในสายตาของเขากะทันหัน

มันคือราชาอีกาทมิฬ จ้านเฟิง!

อย่างไรก็ตามราชามังกรทมิฬรู้สึกไม่ชอบมาพากลเพราะท่าทีที่ไม่แยแสของราชาอีกาทมิฬ ราวกับไม่ได้สังเกตเห็นตัวเขาและไม่กล่าวถึงสิ่งใดสักคำ

เกิดอะไรขึ้น?

ฟิ้ว!

ทันใดนั้น ปราณกระบี่เย็นยะเยียบปรากฏขึ้นแก่สายตา มันขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และจิตสังหารหนาแน่นซึ่งรวมตัวในปราณกระบี่ก็ได้ปลุกราชามังกรทมิฬให้ตื่นจากภวังค์

บัดซบ! ข้าได้รับผลกระทบจากเคล็ดวิชาลวงตาของเจ้าเด็กคนนี้!

ในการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย การวอกแวกเพียงเล็กน้อยอาจทำให้ผลลัพธ์ถูกตัดสินในชั่วพริบตา เมื่อราชามังกรทมิฬเพิ่งตระหนักถึงอันตราย กระบี่ไผ่ทองคำนิลในมือของเฉินซีก็รวดเร็วราวกับสายฟ้าขณะที่มันพุ่งเข้าโจมตีราชามังกรทมิฬ!

ฉัวะ!

เสียงสับฟันดังก้องและแขนที่อาบไปด้วยโลหิตลอยกระเด็นขึ้นไปบนอากาศก่อนจะหล่นไกลออกไปกว่าสิบสองจั้ง

เมื่อเฉินซีเห็นสิ่งนี้เขาได้แต่แอบร้องในใจ ‘มันช่างน่าเสียดายยิ่งนัก!’

ก่อนหน้านี้ เขาจงใจสร้างบาดแผลรอบกายของราชามังกรทมิฬ แต่ไม่ได้เข้าปะทะโดยตรง ในขณะที่เขาจงใจเผยจุดอ่อนให้ศัตรูรู้ เพื่อให้ราชามังกรทมิฬคลายความระมัดระวังของเขา จากนั้นเฉินซีก็ใช้เคล็ดวิชาโจมตีวิญญาณ นั่นคือเคล็ดวิชามายาเทพเพื่อเผยจุดอ่อนที่อยู่ในจิตใจของราชามังกรทมิฬ และคว้าโอกาสนี้เพื่อสังหารราชามังกรทมิฬ

อย่างไรก็ตาม เฉินซีไม่คิดเลยว่าราชามังกรทมิฬจะตอบสนองได้รวดเร็วจนหลุดจากวิชาลวงตาเสียก่อน ดังนั้นกระบวนท่าสังหารจึงทำได้เพียงตัดแขนของราชามังกรทมิฬเท่านั้น

แต่ถึงอย่างนั้น มันก็สามารถทำให้ความแข็งแกร่งของราชามังกรทมิฬลดลงไปเกือบครึ่ง ท้ายที่สุดแล้วราชามังกรทมิฬก็ไม่ใช่ผู้ขัดเกลากายาและไม่อาจฟื้นฟูแขนขาที่ถูกตัดไปของเขาได้ เว้นแต่มันจะเป็นโอสถทิพย์ชั้นยอดที่สามารถฟื้นฟูแขนขาและชุบชีวิตคนตายได้ มิฉะนั้น เขาก็ไม่มีทางจะงอกแขนอีกข้างหนึ่งในช่วงชีวิตนี้ได้อีก

“เคล็ดวิชาโจมตีวิญญาณ! ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเชี่ยวชาญเคล็ดวิชามากมายตั้งแต่ยังเยาว์วัย!” ราชามังกรทมิฬหยุดโลหิตที่หลั่งไหลจากแขนที่ถูกตัด ขณะนี้สีหน้าของมันซีดเซียวเจือไปด้วยความขุ่นเคืองและอาฆาต “วันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปชั่วคราว…” ขณะที่กล่าว ราชามังกรทมิฬก็รีบพุ่งไปคว้าแขนที่ขาดอยู่บนพื้นแล้วพุ่งตัวไปยังทิศทางที่มีหมอกหนาแน่นที่สุด ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป

เคล็ดวิชาการโจมตีวิญญาณนั้นลึกลับและทรงพลัง ยิ่งกว่านั้น พวกมันยังหายากและล้ำค่ายิ่ง มีเพียงนิกายและตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สืบทอดทรัพยากรและและสมบัติลับมาตั้งแต่สมัยโบราณเท่านั้นถึงจะมีในครอบครอง

การสูญเสียแขนทำให้ความแข็งแกร่งของราชามังกรทมิฬลดลงไปเกือบครึ่ง ยามนี้มันรู้สึกหวั่นเกรงว่าจะถูกเฉินซีโจมตีวิญญาณอีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะหลบหนี

“คิดหลบหนี? สายไปแล้ว จงทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ซะ!” เมื่อเห็นราชามังกรทมิฬกำลังจะหนีไป เฉินซีก็รีบสั่งการในใจ ทันใดนั้นมหาเทือกเขาสัมฤทธิ์ก็ปรากฏขึ้นและโคจรอย่างรวดเร็วอยู่กลางอากาศ

โอม!

ทันทีที่เสียงนี้บังเกิดแสงสีม่วงปกคลุมพื้นที่ในระยะร้อยยี่สิบจั้งฉับพลัน ราชามังกรทมิฬที่อยู่ในอาณาเขตของอำนาจมหาเทือกเขาสัมฤทธิ์ก็เคลื่อนไหวเชื่องช้าลง

สนามแรงโน้มถ่วง!

สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดของมหาเทือกเขาสัมฤทธิ์คือความสามารถในการสร้างสนามแรงโน้มถ่วงด้วยปราณสีม่วงของตัวมัน การอยู่ภายใต้พลังโน้มถ่วงของปราณสีม่วงนั้นราวกับกำลังแบกภูเขาที่หนักยิ่ง หรือตกลงไปในหนองน้ำที่ไร้ก้นบึ้ง มันจะเป็นเรื่องแปลกหากยังมีผู้ใดคงความรวดเร็วได้เท่าเดิม

“มหาเทือกเขาสัมฤทธิ์!” ราชาแห่งมังกรทมิฬร้องออกมาอย่างตกใจและไม่อยากเชื่อ “บัดซบ สมบัตินี้ตกไปอยู่ในมือเจ้าได้อย่างไร!?”

ฟิ้ว!

เฉินซีไม่ตอบกลับใด ๆ ด้วยคำสั่งในใจ กระบี่ท่องปรภพพลันพุ่งออกไปราวกับสายฟ้าฟาดผ่านท้องนภา มันมาถึงราชามังกรทมิฬในทันทีก่อนจะเกิดประกายแสงอันเยือกเย็น

ก่อนที่ราชามังกรทมิฬจะทันได้เปล่งเสียงร้องขอชีวิต ศีรษะของมันก็ถูกสะบั้นขาดอย่างหมดจด โลหิตพวยพุ่งออกจากลำคอและร่างศพร่วงหล่นลงบนพื้น

เฉินซีเก็บมหาเทือกเขาสัมฤทธิ์กลับมา จากนั้นมองไปที่ราชามังกรทมิฬที่ตายอย่างน่าอนาถ ‘ช่างเป็นการผสานการโจมตีที่ได้ผลยิ่ง เมื่อล่อลวงอีกฝ่ายด้วยเคล็ดวิชามายาเทพ จากนั้นก็ใช้มหาเทือกเขาสัมฤทธิ์เพื่อระงับการเคลื่อนไหว นี่ถ้าหากผสานเข้ากับเคล็ดวิชารัศมีไร้ร่องรอยอีกหนึ่ง การลอบสังหารและลอบโจมตีของข้าย่อมล้ำเลิศหาผู้ใดต้านทานยากเป็นแน่แท้!’

เฉินซีหยุดถอนหายใจและเริ่มเก็บสินสงครามในทันที ดาบอุษาทศวารีเป็นศัสตราระดับปฐพีชั้นสูง และเขาที่เหมือนหยกขาวแวววาวส่งกลิ่นอายล้ำลึกของราชามังกรทมิฬก็ดูล้ำค่านัก ว่ากันว่ามันสามารถแก้พิษได้ทั้งมวลและเป็นวัตถุดิบชั้นยอดสำหรับสร้างสมบัติวิเศษ มูลค่าของมันนับว่าสูงยิ่ง

นอกจากนี้ยังมีสร้อยข้อมือมิติอีกหนึ่งเส้น

สร้อยข้อมือมิติไม่เพียงแต่มีไม้วิญญาณและแร่จำนวนมาก แต่ยังมีอาวุธสามชนิดที่แผ่ปราณวิญญาณหนาแน่น สิ่งที่ทำให้เฉินซีตกใจคือเขาจำอาวุธทั้งสามนี้ได้!

ดาบสายรุ้งเจ็ดดาราของต้วนมู่เจ๋อ กริชปทุมฟ้าประสานของตู้ชิงซีและร่มตาข่ายนภาพันตะขอของซ่งหลิน ศัสตราทั้งสามนี้ต่างก็เป็นศัสตราระดับปฐพีขั้นสูง

‘ดูเหมือนว่าพวกเขาจะตกไปอยู่ในเงื้อมมือของราชาอีกาทมิฬแล้วจริง ๆ ข้าต้องรีบไปช่วยเหลือพวกเขา! ตามที่ราชามังกรทมิฬกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ราชาอีกาทมิฬและราชาอสรพิษอินทนิลกำลังกลั่นโอสถทิพย์อยู่ ข้าไม่อาจเสียเวลาได้อีกต่อไป’

เฉินซีครุ่นคิด จากนั้นก็รีบเก็บทุกสิ่งอย่างรวดเร็ว สายตาของเขากวาดไปโดยรอบอย่างไม่ตั้งใจ แล้วเขาก็เห็นตราคำสั่งในแอ่งที่เต็มไปด้วยโลหิตและเศษเนื้อ ตราคำสั่งนั้นเหมือนจะทำจากเหล็กก็ไม่ใช่ แต่จะว่าทำมาจากหยกก็ไม่เชิง เมื่อถืออยู่ในมือ ราวกับจะถูกปกคลุมไปด้วยเมฆและหมอกที่กำลังหมุนวน เผยให้เห็นกลิ่นอายลึกลับของอักขระยันต์

หืม? นี้ดูเหมือนว่าจะ… ตราคำสั่งควบคุมค่ายกล! เฉินซีรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขาปวดศีรษะกับการหาทางออกจากค่ายกลเขาวงกตพันมายา เขาไม่คิดเลยว่าสิ่งต่าง ๆ จะราบรื่นเช่นนี้ ด้วยตราควบคุมในมือ เฉินซีสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระภายในค่ายกลนี้

‘ดูเหมือนว่าค่ายกลนี้ไม่ได้ถูกควบคุมโดยราชามังกรทมิฬและโชคดีที่เป็นเช่นนั้น หากมันเปิดใช้งานค่ายกลนี้อย่างเต็มกำลัง ตั้งแต่ต้นข้าคงไม่อาจต้านทานมันได้…’ ในขณะที่ไตร่ตรองเฉินซีได้โคจรปราณแท้ลงไปในตราควบคุม จากนั้นเขาจึงก้าวออกจากค่ายกล ภาพถัดมาที่เขาได้เห็นคือ ภูเขาสูงตระหง่านอันเขียวขจีที่ปกคลุมไปด้วยดอกไม้และต้นไม้ เขาได้กลับมายังไหล่เขาของหุบเขาจันทราโหยหวนแล้ว

“บัดซบ! มนุษย์ชายหนุ่มผู้นั้นออกมาแล้ว!”

“รีบไปรายงานองค์ราชา!”

บรรดาอสูรที่กำลังลาดตระเวนที่อยู่ไกลออกไป พวกมันบังเอิญเห็นเฉินซีกำลังเดินออกมาจากค่ายกลและอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เมื่อพวกมันคิดอะไรบางสิ่งได้ สีหน้าของพวกมันพลันซีดเซียวและกรีดร้อง จากนั้นรีบหลบหนีไปให้เร็วที่สุด

เฉินซีกระโจนออกไปและยื่นมือคว้าจับอสูรตัวน้อยเอาไว้ เขาบีบคอของอสูรแน่นในขณะที่เขาเอ่ยถามอย่างเย็นชา “ผู้บ่มเพาะมนุษย์เหล่านั้นถูกกักขังไว้ที่ใด? หากเจ้าไม่บอกข้า ข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งเดี๋ยวนี้!”

“ใน… ใน… อยู่ภายในใจกลางภูเขา” อสูรน้อยหวาดกลัวสุดขีดจนกล่าวติดอ่างและสั่นสะท้านด้วยความกลัว

ปัง!

เฉินซีต่อยมันกระเด็นออกไปและเงยหน้ามองไปยังยอดเขา จากนั้นเขาก็ใช้เคล็ดวาตะเหินทะยานหายตัวไปราวกับหมอกควัน

ภายในห้องลับใจกลางภูเขา เปลวเพลิงสีเขียวโหมกระหน่ำใต้หม้อขนาดใหญ่ เหนือหม้อกลั่นขนาดใหญ่ แสงเก้าลูกที่กลั่นจากสมบัติหลายร้อยชนิดของสวรรค์และโลกได้รวมตัวกัน พวกเขามันมีขนาดเท่ากำปั้นของทารกและใสเหมือนลูกแก้ว อีกทั้งยังส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ อันน่าหลงใหล

“เหตุใดราชามังกรทมิฬยังไม่กลับมาอีก? ช่างเถอะ การกลั่นโอสถสำคัญกว่า ราชาอสรพิษอินทนิล ข้าขอฝากการสกัดโลหิตและวิญญาณให้กับเจ้า” ราชาอีกาทมิฬผู้สวมชุดคลุมสีดำเอ่ยขึ้นกับผู้ที่อยู่ข้าง ๆ กายเขา

“ได้เลยพี่ใหญ่ ข้าจะกลับมาในไม่ช้า” ราชาอสรพิษอินทนิลประสานมือ จากนั้นจึงลุกขึ้นและเดินจากไปด้วยท่าทางเลื้อยราวกับงู แต่ความเร็วในการก้าวช่างรวดเร็วจนหาที่เปรียบมิได้ และหายตัวไปจากห้องหินในชั่วพริบตา

“โอ้ ข้าจำได้ว่ามีผู้บ่มเพาะหญิงสองคนที่งดงามยิ่งในหมู่มนุษย์เหล่านั้น ข้าควรจะทำอะไรกับพวกนางก่อนดีหรือไม่?” ราชาอสรพิษอินทนิลเอามือไพล่หลังขณะที่เขาเดินไปตามทางเดินอันเงียบสงบและมืดมิดในใจกลางภูเขา รอยยิ้มลึกลับปรากฏบนใบหน้าที่เรียบเนียนและไร้หนวดเคราของเขา

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง

ราชาอสรพิษอินทนิลก็มาถึงห้องหินอันน่าอึดอัดใจกลางภูเขา มีเสาเหล็กหนาและแข็งแกร่งจำนวนมากปกคลุมทั่วทั้งห้อง มีผู้บ่มเพาะทั้งชายและหญิงถูกผูกติดอยู่กับเสาเหล็กทั้งแปดเสา

ร่างกายของพวกเขาไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ แต่สีหน้าของพวกเขานั้นท้อแท้และหมองมัว แววตาของพวกเขาไร้ชีวิตชีวาราวกับเป็นหุ่นเชิดไม้ที่ไร้วิญญาณ

หากเฉินซีอยู่ที่นี่ เขาย่อมสังเกตเห็นตู้ชิงซี ต้วนมู่เจ๋อ และซ่งหลินอยู่ท่ามกลางคนทั้งแปดคนนี้!

“สหายเต๋าชาวมนุษย์ พวกเราพบกันอีกครั้งแล้ว!” ราชาอสรพิษอินทนิลก้าวเดินเข้ามาในห้องหินโดยเอามือทั้งสองไพล่ไว้ข้างหลัง เขาแสยะยิ้มขณะที่เหลือบมองคนทั้งแปดที่ถูกมัดไว้กับเสาเหล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเห็นตู้ชิงซี แววตาของเขาเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา!

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด