แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 34 ตัดชะตากรรม (2)
“อาเลี่ย ตอนนี้ข้าเชื่อแล้วว่าเด็กที่ฝึกบำเพ็ญจะมองแกนวิญญาณออกได้ง่าย ดูแล้วข้าจะต้องทำนายแล้วว่าเมืองนี้จะมีชะตาเหลืออีกกี่ปี” หลิวหลีพูดอย่างปลงอนิจจัง
“มีโอสถปลอมวิญญาณชนิดหนึ่งที่สามารถจำลองแกนวิญญาณเพื่อให้ฝึกบำเพ็ญได้ แต่เพราะเป็นการกระทำที่ฝืนลิขิตสวรรค์ เป็นไปได้ที่จะมีวิบากอัสนีบาต อานุภาพไม่ต่ำไปกว่าช่วงปราณก่อนกำเนิด” เอ๋าเลี่ยขบคิดแล้วพูดออกมา
“ช่างเถอะ โอสถปลอมวิญญาณข้าก็เคยได้ยินมา เพียงแต่ตอนนี้ข้ายังปรุงมันไม่ได้ ต่อให้ข้าปรุงได้ ข้าจะจิตใจสูงส่งถึงขนาดรับวิบากอัสนีบาตแทนผู้ที่ไม่อะไรเกี่ยวข้องกับข้า จนตัวข้าเองต้องมาบาดเจ็บสาหัสหรือร่างกายสลายไปเช่นนั้นหรือ” หลิวหลีละทิ้งแผนการนี้โดยฉับพลัน ไม่ใช่ญาติพี่น้องของตนสักหน่อย เหตุใดนางจึงต้องอุทิศตนให้พวกเขาขนาดนั้น ทั้งสร้างแกนวิญญาณ แล้วยังจะต้องรับวิบากอัสนีบาตแทนพวกเขาอีก
หลิวหลีเดินทางไปยังพระราชวัง เป็นเพราะยันต์เร้นกาย หลิวหลีจึงพินิจพิเคราะห์ฮ่องเต้คนปัจจุบันอย่างละเอียด ครั้งก่อนสนใจเพียงว่าฮ่องเต้นั้นเป็นใคร ตอนนี้สามารถดูได้แล้วว่าแคว้นนี้สามารถยืนหยัดไปได้นานเท่าไร เพราะพลังบำเพ็ญเพียรทำให้หลิวหลีสามารถมองเห็นโชคชะตาได้อย่างคร่าวๆ แม้จะแค่ผิวเผินแต่ก็เพียงพอให้นางใช้ได้แล้ว
“อาเลี่ย เจ้าคิดว่าแคว้นนี่จะยืนหยัดไปได้นานเพียงใด” หลัวหลีถาม
“ความคิดของเจ้าล่ะ” เอ๋าเลี่ยย้อนถามหลิวหลี
“จากทำนายโดยคร่าวแล้วยังเหลืออีกหนึ่งพันห้าร้อยปี ลดปัญหาเรื่องการเปลี่ยนฮ่องเต้ลงได้พอดี อีกอย่าง แม้ว่าสกุลหลิงจะเป็นเชื้อกษัตริย์ แต่กลับเป็นสกุลที่มีผู้ฝึกเซียนเยอะที่สุดในโลกมนุษย์ เพราะมีความสัมพันธ์กับโลกเซียนจึงเป็นไปได้ที่เมืองนี้จะสามารถดำรงมาได้ยาวนานเช่นนี้” หลิวหลีกล่าวคำสันนิษฐานของตนออกมา
“ใกล้เคียงกับคำทำนายของข้า เจ้าวางแผนจะทำเช่นไรต่อ” เรื่องนี้เป็นสิ่งที่หลิวหลีสนใจมากกว่า
“ง่ายมาก ก็ถามฮ่องเต้ว่าพระองค์ปรารถนาสิ่งใด เพียงแค่พระองค์มีพระราชโองการลงไปก็ได้เรื่องแล้ว” หลิวหลีคิดว่าวิธีนี้ออกมาได้ไม่เลวเลย
“ไม่กลัวว่าเขาจะโลภเอาสิ่งอื่นเพิ่มอีกหรือ” เอ๋าเลี่ยรู้สึกไม่ไว้ใจ
“ไม่กลัวหรอก พระองค์หาได้มีพันธะกรรมใดกับข้าไม่ แค่เจรจากันอย่างนุ่มนวลก็พอแล้ว”
เอ๋าเลี่ยจ้องมองหินอ่อนที่แตกสลายเป็นผุยผง วิธีเจรจาอย่างนุ่มนวลของเจ้าเด็กน้อยนี้ดูท่าจะไม่ไหวกระมัง
“ใคร” ในฐานะฮ่องเต้ หลิงเซียวขยันหมั่นเพียรอย่างมาก ชื่อเสียงดีงาม แต่แท้จริงเขากลับอิจฉาหลิงเฟิงน้องชายของตนที่สามารถแสวงหาหนทางบรรลุธรรมสูงสุด น่าเสียดายที่ตนนั้นไร้แกนวิญญาณ หวังว่าบุตรธิดาของเขาจะมีพรสวรรค์เฉกเช่นเดียวกับท่านอาของพวกเขา ทว่าองครักษ์ของราชวังนั้นไร้ฝีมือเช่นนี้เลยหรือ หญิงสาวตรงหน้าผู้นี้เข้ามาได้อย่างไรหรือจะเป็นเซียน
“เจ้าคือฮ่องเต้หรือ ปรารถนาจะทำข้อแลกเปลี่ยนกันหรือไม่” หลิวหลีเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาทำเอาเอ๋าเลี่ยอดไม่ได้ต้องก่ายหน้าผาก เจ้าเด็กน้อยเอ๋ย…เจ้าเถรตรงเกินไปแล้ว
“ท่านเป็นเซียน” หลิงเซียวมองหลิวหลีอย่างระแวดระวัง
“ข้าเป็นเซียนดังเจ้าว่า” หลิวหลีพยักหน้า ลูกไฟดวงเล็กก็ปรากฏขึ้นที่ฝ่ามือด้านซ้ายเปลี่ยนรูปร่างไปมาไม่ซ้ำกันจากนั้นก็เก็บกลับเข้าไป
“ท่านเซียน ไม่ทราบว่ามีคำชี้แนะใดหรือ” หลิงเซียวกล่าวอย่างนอบน้อม
“ก็ไม่มีอะไร ข้าแค่ต้องการให้เจ้าออกราชโองการให้จวนอันผิงโหวรักษาสถานภาพเป็นขุนนางตลอดหนึ่งพันปี”
“จวนอันผิงโหวงั้นหรือ ด้วยเหตุใดท่านเซียนจึงต้องการให้ข้าออกราชโองการเช่นนี้” หลิงเซียวเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“ข้าต้องการยุติพันธะกรรมกับจวนอันผิงโหว” หลิวหลีบอก ฮ่องเต้องค์นี้คงจะเข้าใจ
“ได้ก็ย่อมได้อยู่หรอก เพียงแต่ท่านเซียนจะทำสิ่งใดเป็นการแลกเปลี่ยน” หลิงเซียวกำลังครุ่นคิดว่าราชโองการนี้สามารถแลกมาด้วยสิ่งใด
“ในขอบเขตความสามารถของข้า”
“ท่านเซียน ข้ามิร้องขอสิ่งอื่นใด ขอเพียงให้ท่านเซียนช่วยตรวจดูให้ทีว่าลูกของข้านั้นมีชะตาแห่งเซียนหรือไม่” หลิงเซียวพูดอย่างระมัดระวัง
“ย่อมได้” หลิวหลีพยักหน้า ฮ่องเต้คนนี้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว ไม่โลภโมโทสัน นางจึงดูอายุขัยของหลิงเซียว ให้เอ๋าเลี่ยทำนายเรื่องบุตรธิดาของเขา หลิวหลีปล่อยประสาทเซียนออกเพื่อตรวจตราดูบรรดาเด็กๆในตำหนักใดบ้างที่มีชะตาแห่งเซียน
“ลูกของเจ้ามีทั้งหมดห้าคน มีสามคนที่มีชะตาเซียน คนหนึ่งเป็นธิดาของตำหนักหย่งเหอ มีสี่แกนวิญญาณสี่ธาตุคือ พฤกษา วารี อัคคีและปฐพี อีกหนึ่งคนเป็นบุตรชายของเหอซู่เซวียน มีแกนวิญญาณคู่สุวรรณปฐพี และอีกคนบุตรสาวตำหนักหลิงอวิ๋น มีแกนวิญญาณสามธาตุคือ พฤกษา อัคคีและปฐพี” หลิวหลีบอกผลที่ตนได้รับรู้ออกมา
“ขอบพระคุณมากท่านเซียน” หลิงเซียวดีใจยกใหญ่
“อืม ต่อไปเจ้าจะมีลูกแปดคน สองคนในนั้นจะมีชะตาเซียน เนื่องจากยังมิได้ถือกำเนิด ข้าก็มิอาจทำนายได้ว่าคนไหนจะมีชะตาเซียน” หลิวหลีพูดเสริม
“ท่านเซียนช่างมีบุญคุณยิ่งนัก” หลิงเซียวคิดไม่ถึงเลยว่าจะทำนายได้ถึงขนาดลูกที่ยังไม่ได้เกิดมาของตน
“เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า ข้าช่างถูกชะตากับเจ้านัก เช่นนั้นนี่คือยาอายุวัฒนะ สามารถยืดอายุเจ้าไปอีกสามสิบปี นี่คือยาปรับลมปราณสามารถขจัดโรคภัยไข้เจ็บในตัวเจ้าได้ นี่เป็นหยดน้ำศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ให้เจ้าเด็กน้อยที่ตำหนักเหอซู่กินวันละหนึ่งหยด อนาคตของเด็กคนนี้ช่างยาวไกลนัก ข้ายินดีจะช่วยเพิ่มความรุ่งโรจน์ให้อีก” หลิวหลีหยิบของสามสิ่งออกมา
“ขอบพระคุณท่านเซียน” หลิงเซียวรับขวดหยดที่กำลังลอยอยู่เบื้องหน้าตนมาอย่างตื่นเต้น เมื่อแหงนหน้าขึ้นกลับมาก็ไม่พบหลิวหลีแล้ว
“ข้ายังมิได้ถามนามของท่านเซียนเลย” หลิงเซียวตะโกนออกไปแต่ก็ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับ หลิงเซียวจ้องมองขวดสามขวดในมืออยู่สักครู่
“เสี่ยวสีจื่อ แถลงราชโองการลงไปแต่งตั้งให้อวี๋ผิงแห่งตำหนักหย่งเหอขึ้นเป็นอวี๋กุ้ยเฟย ตั้งชื่อบุตรสาวของนางว่าอันหนิง แต่งตั้งฮุ่ยเฟยแห่งตำหนักหลิงอวิ๋นขึ้นเป็นฮุ่ยกุ้ยเฟย ตั้งชื่อบุตรสาวนามว่าอันผิง แต่งตั้งหนิงกุ้ยเหรินแห่งตำหนักเหอซู่ขึ้นเป็นหนิงกุ้ยเฟย ตั้งชื่อบุตรชายของนางว่าจ้าน ไปได้”
เหตุเพราะราชโองการที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุนี้ทำให้วังหลังและราชสำนักต่างอลหม่าน โดยเฉพาะหนิงกุ้ยเหรินที่ถูกเลื่อนตำแหน่งจากกุ้ยเหรินข้ามไปกุ้ยเฟยผู้นั้นราวกับนั่งอยู่บนขีปนาวุธก็ไม่ปาน ตัวนางเองสับสนไปหมด ยิ่งเห็นลูกของตนได้รับความรักจากฝ่าบาทก็ทำให้นางตื่นเต้นผิดปกติ
ณ จวนอันผิวโหว เมื่อส่งขันทีที่มาแถลงราชโองการกลับไปแล้ว หลี่หลินเดินมาห้องหนังสือท่ามกลางเสียงโห่ร้องดีใจของเหล่าคนในจวน นี่เป็นฝีมือของท่านเซียนเป็นแน่ ทุกคนล้วนรู้สึกประหลาดใจกับราชโองการนี้ แต่เขากลับรู้ดีว่าเป็นเพราะอะไร การเปลี่ยนแปลงของวังหลังก็น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย พรข้อสุดท้ายนี้เขาจะต้องไตร่ตรองให้ดี ต้องใช้อย่างระมัดระวัง หลี่หลินนั่งลงบนเก้าอี้หลับตาลงครุ่นคิดว่าจะขอสิ่งใด
หลิวหลีไม่สนใจความวุ่นวายที่ตนเองสร้างไว้ นางออกท่องเที่ยวอย่างสุขใจอยู่ที่ทะเล อาหารทะเลที่นี่สดมาก หลิวหลีคิดถึงซาลาเปาไข่ปู ปลาต้มพริกเผ็ดเสฉวน กุ้งผัดไข่แดง แล้วก็ปลาหมึกวงทอดขึ้นมาอย่างควบคุมสัญชาตญาณการกินของตนเองไว้ไม่อยู่ หลิวหลีทำตามที่ใจปรารถนาจัดงานเลี้ยงอาหารทะเลโต๊ะใหญ่ลอยอยู่บนผิวน้ำ หลิวหลีทานอาหารทะเลมื้อใหญ่อย่างสบายใจ เอ๋าเลี่ยที่เดิมมีท่าทีรังเกียจแต่บัดนี้ไม่มีแนวโน้มว่าจะหยุดกินได้เลย
เมื่อหลิวหลีกินดื่มจนอิ่มหนำสำราญ จากอากาศที่แจ่มใสลมพัดเย็นกลับมืดครึ้มฝนตก หลิวหลีกับเอ๋าเลี่ยขมวดคิ้ว เหตุใดโลกมนุษย์ถึงได้มีพลังเซียนที่รุนแรงเช่นนี้ ขณะที่หลิวหลีกำลังคิดจะไปสืบเรื่องนี้ ยันต์กระจายเสียงของหลี่หลินก็ถูกส่งมา หลิวหลีจึงตัดสินใจเลื่อนการสืบหาไปก่อน
“เชิญกล่าวคำขอสุดท้ายของท่านมาได้” หลิวหลีนั่งอยู่บนเก้าอี้และเอ่ยถาม
“ท่านเซียน ข้าอยากจะขอให้ท่านเซียนมอบโลหิตให้สกุลหลี่ของข้า เมื่อมีอันตรายภัยพิบัติมาสู่สกุลหลี่” นี่คือสิ่งที่หลี่หลินคิดได้หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน
“ได้สิ ในมือท่านยังมียันต์ส่งเสียงอีกหนึ่งแผ่น เพียงท่านฉีกออกข้าก็จะได้ยินเสียงท่าน อีกอย่างนี่คือยาอายุวัฒนะและยาปรับลมปราณช่วยยืดอายุได้สิบห้าปีและช่วยให้ร่างกายท่านแข็งแรง โปรดรักษาตัวด้วยท่านพ่อ” หลิวหลีพูดจบก็หายตัวไป เลือดหนึ่งหยดก็ลอยลงมาจากฟ้าแล้วตกลงบนหน้าผากของหลี่หลิน จากนั้นก็ซึมเข้าไปในร่างกายของเขา
“เด็กคนนี้ช่างใจอ่อนเสียจริง ข้าเองก็รู้จักพอ” หลี่หลินได้ยินคำสุดท้ายที่เรียกว่าท่านพ่อในใจก็อ่อนยวบ นั่นแหละหนาลูกสาวเซียนของเขา
………………………………………
คอมเม้นต์