แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 51 ไข่งูหลามมรกต
มองงูหลามมรกตที่กลับคืนสู่ธรรมชาติ หลิวหลีก็เกิดรู้สึกว่าฟ้ามีตามองดูการกระทำของมนุษอยู่ ห้ามทำเรื่องชั่วร้าย กฎแห่งฟ้ายุติธรรมเสมอ!
สุ่ยหลิงกวงเห็นว่าเกิดอัสนีบาต จึงสั่งให้ขบวนหยุดลง จนอัสนีบาตสิ้นสุดลงเห็นงูหลามมรกตสลายเป็นไอ หลิวหลีสวมชุดสีขาวยืนอยู่ริมแม่น้ำ ท่าทางราวกับกำลังเสียดายอะไรบางอย่าง
“น้องหลิวหลี” สุ่ยหลิงเอ๋อร์มองหลิวหลีที่ยืนอยู่ริมแม่น้ำด้วยความเป็นห่วง
“อ่อ พี่หลิงเอ๋อร์กับพี่อวี้นี่เอง” ขณะที่หลิวหลีกำลังคิดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงเรียกตน
“น้องหลิวหลี เจ้าเจองูหลามมรกตที่มาก่อความวุ่นวายในหมู่บ้านแล้วหรือยัง?” สุ่ยหลิงเอ๋อร์ถามอย่างร้อนรน
“เจอแล้ว มันกลับไปที่ที่มันจากมาแล้ว” หลิวหลีเหลือบมองไปบริเวณที่งูหลามมรกตจากไปแวบหนึ่ง
“อย่างนี้เองหรือ” สุ่ยหลิงเอ๋อร์ถอนหายใจ สุ่ยหลิงเอ๋อร์อยากจะถามเรื่องงูหลามมรกตต่อ แต่พอได้ยินว่ามันกลับไปที่ที่มันมาแล้ว ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร
“จริงสิ ทำไมพวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้” หลิวหลีถามด้วยความสงสัย
“ท่านพ่อได้รับจดหมาย มีอสูรปีศาจมาอาละวาดที่หมู่บ้านต้าเย่ มีชาวบ้านบาดเจ็บล้มตายไม่น้อย พวกเราก็เลยมาดู” สุ่ยหลิงเอ๋อร์ไขข้อสงสัย
“อย่างนี้นี่เอง ไม่มีอสูรปีศาจออกอาละวาดแล้ว พวกเจ้ากลับไปกันเถอะ” หลิวหลีพยักหน้าเข้าใจ
“น้องหลิวหลี เจ้าไม่กลับไปหรือ” สุ่ยหลิงเอ๋อร์ถามขึ้น
“ไม่ล่ะ ข้ายังมีธุระ ข้าจะต้องขอตัวก่อน” หลิวหลีพูดจบก็หายตัวจากไป ก่อนจากไปได้ทิ้งถุงเก็บของไว้ให้สุ่ยหลิงเอ๋อร์หนึ่งใบ
“พี่หลิงเอ๋อร์กลับไปแล้วค่อยเปิดดู” เสียงของหลิวหลีลอยมาจากที่ไกลๆ สุ่ยหลิงเอ๋อร์กำถุงเก็บของไว้แน่น ไม่เข้าใจว่าหลิวหลีให้ของอะไรกับนาง หูเหม่ยอวี้ขยับปากเล็กน้อย นางยังไม่ทันได้กล่าวคำขอโทษกับหลิวหลีเลย สุ่ยหลิงกวงกลับรู้สึกสงสัยว่าหลิวหลีได้ให้อะไรกับน้องสาวของนาง แถมยังไม่ได้ถามว่างูหลามมรกตได้ตายไปพร้อมกับลูกของมันหรือไม่
พอกลับมาถึงที่จวนเจ้าเมือง ทั้งสามก็ได้ไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับสุ่ยเจิ้นปัวทราบ หูเหม่ยอวี้มีเรื่องค้างคาใจจึงรีบออกจากจวนเจ้าเมืองอย่างรวดเร็ว สุ่ยเจิ้นปัวได้สร้างเขตต้องห้ามขึ้น
“หลิงเอ๋อร์ นำถุงเก็บของออกมาเถอะ” สุ่ยเจิ้นปัวกล่าว
“ได้เจ้าค่ะ” สุ่ยหลิงเอ๋อร์เปิดถุงเก็บของออก ด้านในมีกระดาษหนึ่งแผ่น พร้อมกับไข่สัตว์ที่ไม่รู้ว่าเป็นสัตว์ชนิดไหนอยู่หนึ่งใบ
“พี่หลิงเอ๋อร์ ไข่อสูรภูตใบนี้เป็นลูกของงูหลามมรกตที่เกิดก่อนแม่มันจะถูกฟ้าผ่าตาย กรรมของแม่ไม่เกี่ยวกับลูก หลิวหลีรู้ว่าพี่มีจิตใจเมตตา ไข่งูใบนี้ไม่ได้รู้เรื่องอะไร ไข่ใบนี้เป็นราชางูหลามมรกต เข้ากันได้ดีกับแกนวิญญาณของพี่ อนึ่ง ร่างกายพี่มีคุณสมบัติที่ค่อนข้างพิเศษ ทางที่ดีอย่าออกไปไหนมาไหนคนเดียว บนโลกนี้มีคนที่มากความสามารถอยู่มาก ของที่ใช้อำพรางคุณสมบัติบนร่างกายของพี่ดูออกง่ายเกินไป ผู้บำเพ็ญควรจะเน้นการบำเพ็ญเป็นหลัก หากว่าพลังบำเพ็ญของพี่ก้าวหน้าจนไม่ต้องก้มหัวให้ใคร ใครหน้าไหนจะกล้ามาจับพี่ ลงนาม หลิวหลี”
สามพ่อลูกอ่านจดหมายจบลง ก็เกิดสงบนิ่งแบบพูดอะไรไม่ออก สุ่ยเจิ้นปัวกำลังจะรับเอาจดหมายมา จดหมายก็เกิดเผาตัวเองแล้วปรากฏข้อความว่า: ไข่ใบนี้เอาไว้แกล้งเจ้าเล่น
“เด็กคนนี้แปลกจริง ๆ” แล้วกลิ่นแปลกประหลาดก็ลอยโชยออกมาจากไข่
“ท่านพ่อ นี่คงไม่ใช่ไข่เน่าจริง ๆ ใช่ไหม” สุ่ยหลิงกวงอุดจมูกแล้วเอ่ย
“อาจจะใช้ยาสมุนไพรอะไรบางอย่างไป หลิงเอ๋อร์เจ้ารีบทำพันธสัญญาเถอะ อสูรภูตตัวนี้เหมาะกับเจ้ามาก อีกทั้งถ้าเจ้าเลี้ยงมันแต่เล็ก มันก็จะมีความผูกพันกับเจ้ามาก แล้วเด็กนั่นก็พูดไม่ผิด การบำเพ็ญจึงจะเป็นหนทางแห่งราชา เพียงแค่เพิ่มพลังในการบำเพ็ญ ก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรเจ้าได้ อีกไม่กี่วันข้าก็จะเข้าสู่ช่วงปราณก่อนกำเนิดระยะปลาย กวงเอ๋อร์เจ้าจะต้องดูแลจัดการเรื่องต่างๆภายในเมืองให้เรียบร้อย หากเจออะไรที่ไม่เข้าใจก็ไปถามท่านอาสามของเจ้า ส่วนหลิงเอ๋อร์เจ้าก็จงตั้งใจบำเพ็ญเพียร หลิวหลีเป็นศิษย์ของปรมาจารย์เสวียนหั่ว แน่นอนว่าจะต้องมีประสบการณ์และความรู้ที่กว้างขวาง นางเห็นว่าร่างกายของเจ้ามีคุณสมบัติพิเศษก็ไม่ได้พูดอะไร เท่ากับปฏิบัติต่อเจ้าด้วยความจริงใจ คนคนนี้สามารถเป็นกัลยาณมิตรที่ดีได้” สุ่ยเจิ้นปัวก็สามารถสัมผัสได้อย่างลึกซึ้ง
“ลูกเข้าใจ” สุ่ยหลิงเอ๋อร์กับสุ่ยหลิงกวงพูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน สุ่ยหลิงเอ๋อร์ก็ไม่ได้รังเกียจกลิ่นเหม็นของไข่สัตว์ นำมันมาอุ้มไว้ เจ้าตัวน้อยในไข่ใบนั้นมีท่าทีราวพอใจ จึงขยับตัวไปมาบนมือของสุ่ยหลิงเอ๋อร์
สุ่ยหลิงเอ๋อร์ก็ไม่รอช้า รีบทำพันธสัญญากับไข่งูใบนั้นทันที มีความสัมพันธ์บางอย่างก่อตัวขึ้นระหว่างพวกเขาอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
“เรียกเจ้าว่าลี่ว์หลีละกัน” สุ่ยหลิงเอ๋อร์ก็ได้ลูบไข่งูที่เพิ่งได้ชื่อไปเมื่อสักครู่ ไข่งูใบนั้นก็สัมผัสกลับด้วยความพึงพอใจ
“หลิงเอ๋อร์ ลี่ว์หลีจะกำเนิดเมื่อใด” สุ่ยเจิ้นปัวเห็นลูกสาวมีความสุขจึงถามขึ้น
“ลี่ว์หลีบอกว่าจะต้องใช้เวลาสามเดือน มันจะต้องดูดซึมพลังเซียนให้เพียงพอ โดยเฉพาะต้องการพลังเซียนวารีมากเป็นพิเศษ ด้วยคุณสมบัติของร่างกายข้า ลี่ว์หลีบอกว่าแค่เตรียมหินวิญญาณก็พอแล้ว ข้าแค่ต้องพกมันติดตัวไว้ตลอด ก็สามารถสนองความต้องการในพลังเซียนวารีของมันได้แล้ว” สุ่ยหลิงเอ๋อร์พูดขึ้น
“อสูรภูตตัวนี้ส่งมาให้ได้อย่างตรงใจจริง ๆ” สุ่ยเจิ้นปัวหัวเราะแล้วพูดขึ้น ถึงแม้ว่าสุยหลิงกวงจะอิจฉา แต่ก็รู้สึกดีใจแทนน้องสาว
ในอีกด้านหนึ่ง หลิวหลีเคลื่อนตัวไปมาอย่างรวดเร็วภายในป่า หยิบแผนที่ขึ้นมาดูในบางครั้ง แล้วก็หยุดลงที่หน้าต้นไม้ใหญ่ในไม่ช้า
“อาเลี่ย น่าจะอยู่ใกล้ๆนี่แหละ” หลิวหลีมองแผนที่แล้วพูดขึ้น
“ตามหลักแล้วมันควรจะใช่” เอ๋าเลี่ยก็รู้สึกว่ามันคือที่นี่
หลิวหลียื่นมือออกไปจับข้างหน้า นางชักมือกลับราวกับจับโดนกระแสไฟฟ้า มือเหมือนโดนช๊อตจนได้รับบาดเจ็บ เลือดหยดหนึ่งได้หยดลงไปบนแผนที่ หลิวหลีไม่ทันได้สังเกต รีบนำนิ้วอมเข้าไปในปาก แนวเขตต้องห้ามแห่งนี้สุดยอดมากจริงๆ
“เอ่อ หลิวหลี บนแผนที่มีตัวอักษรปรากฏขึ้น” แน่นอนว่าเอ๋าเลี่ยมองเห็นการกระทำทั้งหมดของหลิวหลี เขาถอนหายใจ แล้วก็พบว่าเลือดหยดลงไปบนแผนที่ แล้วบนแผนที่ก็มีตัวอักษรปรากฏขึ้นมา หลิวหลีรีบมองไปที่แผนที่อย่างรวดเร็ว
“ผู้ครอบครองเพลิงอัคคี ให้ใช้เพลิงอัคคีห่อหุ้มร่างกายตัวเอง จะสามารถผ่านไปได้ ไม่ต้องใช้พลังเซียนผ่าน ผู้ไร้ซึ่งเพลิงอัคคี ห้ามเข้าด้านใน”
“ว้าว ข้อกำหนดนี้เหมือนมีขึ้นมาเพื่อข้าเลย” หลิวหลีอุทานขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ มีทั้งเพลิงอัคคีแล้วก็แผนที่ อีกทั้งยังไม่ระวังทำเลือดหยดใส่แผนที่ แล้วก็มีอักษรพวกนี้ปรากฏขึ้น เพลิงวิญญาณไม้เป็นของนางแน่นอน พูดตามตรง หลิวหลีก็ไม่แน่ใจว่านางไปเอาความมั่นใจนี้มาจากไหน
“จริงด้วย” โชคดีขนาดนี้คงจะไม่มีใครอีกแล้ว เอ๋าเลี่ยก็อดที่จะพูดขึ้นมาไม่ได้
“อาเลี่ย เจ้าว่าข้าจะเป็นผู้บำเพ็ญที่ฝึกคัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณสำเร็จเป็นคนที่สองไหม” หลิวหลีถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“เรื่องนี้หรือ เจ้าเป็นคนที่สองไม่ได้หรอก เจ้าจะเป็นคนแรก เพราะผู้มากความสามารถที่เขียนเคล็ดวิชานี้ขึ้นนั้น ที่สุดเขาได้จากไปแล้ว” ตอนเอ๋าเลี่ยพูดประโยคแรก หลิวหลีรู้สึกซึมลงเล็กน้อย แล้วพอพูดประโยคที่สอง หลิวหลีก็อดไม่ได้ที่จะดีใจขึ้นมา พอฟังประโยคสุดท้ายกลับรู้สึกอึดอัดใจ จากไปได้อย่างไรกัน เคล็ดวิชาที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ อีกทั้งยังฝึกบำเพ็ญเพียรจนสำเร็จแล้ว ทำไมถึงจากไปได้ล่ะ
“ข้าจะเป็นคนแรกให้ได้ อาเลี่ย เจ้าเป็นสัตว์ประเภทไหนกันแน่นะ” หลิวหลีเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว เอ๋าเลี่ยเกือบจะตามไม่ทัน
“หลิวหลี ข้าบอกเจ้าไปแล้วไม่ใช่หรอ ข้าคือมังกร มังกร มังกร! “
“โถ่ว รูปร่างหน้าตาของเจ้าทำให้ข้ายากที่จะเชื่อได้ว่าเจ้าคือมังกร” หลิวหลีเบะปากพูด
“หลิวหลี เจ้าต้องรู้ว่าเจ้ามีเชื้อสายสกุลหลง มีเพียงแต่คนที่มีเชื้อสายสกุลหลงเท่านั้น จึงจะสามารถทำพันธสัญญากับมังกรได้” เอ๋าเลี่ยย้ำขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าเป็นคนสกุลหลงแน่ แต่คนสกุลหลงสามารถทำพันธสัญญากับมังกรได้ทุกคนเลยหรือ?” หลิวหลีถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เอ๋าเลี่ยถูกถามจนนิ่งไป ตามความเข้าใจของเขา ถึงแม้คนสกุลหลงจะสามารถทำพันธสัญญากับมังกรได้ แต่คนที่จะทำได้สำเร็จมีน้อยมาก จึงมีไม่น้อยที่ไปทำพันธสัญญากับญาติๆ ของมังกรแทน เช่น มังกรน้ำ งู เป็นต้น คำถามนี้ถามได้หลักแหลมมาก หากเขาไม่กลับไปที่เผ่ามังกร เขาก็จะคืนร่างเดิมไม่ได้ ทำได้เพียงรอหลิวหลีบรรลุช่วงพลังไปเรื่อยๆ แล้วเขาก็รอเปลี่ยนร่างตามแทนหรือ เอ๋าเลี่ยรู้สึกเศร้าใจขึ้นมาทันที
คอมเม้นต์