แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 109 สั่งสอนพวกศิษย์หลานไม่เอาถ่านหน่อยดีไหม

อ่านนิยายจีนเรื่อง แม่ครัวยอดเซียน ตอนที่ 109 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

“อาจารย์ ท่านพูดว่าอะไรนะ อาจารย์อาเจ้าสำนักคิดอย่างไรกันถึงจะให้ข้าไปสอนผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ช่วงต่ำกว่าปราณก่อนกำเนิด” หลิวหลีเด้งตัวขึ้นมาจากเก้าอี้ ซึ่งนางกลับมาแต่งตัวเป็นเด็กผู้ชายตามเคย สาเหตุเพราะหนานกงเวิ่นเทียนไม่ชอบให้คนอื่นเห็นความงามของนาง และคนอื่นในที่นี้รวมไปถึงครอบครัวของหลิวหลี เพื่อน และคู่พันธสัญญาของนางด้วย

“ศิษย์ข้า เจ้าเป็นถึงผู้บำเพ็ญช่วงแยกจิตแล้วช่วยทำตัวสุขุมบ้างได้ไหม” ตอนแรกที่เสวียนหั่วรู้ข่าวก็รู้สึกตกใจ ทว่าไม่นานเสวียนหั่วก็เข้าใจความหมายของศิษย์น้องเจ้าสำนัก หลิวหลีเป็นอาวุธที่ไว้ใช้กระตุ้นคนอื่นได้ดีจริง ๆ

“อาจารย์ มันไม่เกี่ยวกับว่าสุขุมหรือไม่สุขุม ข้าเพิ่งจะอายุแค่ 20 กว่า แต่พวกเขาเป็นตาแก่อายุหลายร้อยปีแล้ว จำเป็นต้องให้ข้าไปสอนอะไรพวกเขาอีก” หลิวหลีแจงว่าตนยังเด็กไป ประสบการณ์ไม่เพียงพอ

“ใช่ พวกเขามีอายุตั้งหลายร้อยปียังสู้เด็กสาวไม่ได้ ชีวิตที่ใช้มาหลายร้อยปีนี้มัวแต่ไปทำอะไรอยู่” ถึงแม้ว่าจะรู้สึกลำเอียงไปหน่อย แต่เมื่อเทียบกันแล้วพวกลูกศิษย์ที่ทำตัวอวดดีพวกนั้นมีอะไรให้ทะนงตัวนักหรือ

“อาจารย์ บอกอาจารย์อาเจ้าสำนักให้ไปหาคนอื่นเถอะ ข้าอายุน้อยเกินไปยังต้องเรียนรู้อีกมาก” หลิวหลีมองเสวียนหั่วแล้วพูดออกมาจากใจจริง โดยหวังว่าอาจารย์จะยกเลิกความตั้งใจนี้เสีย

“ไม่ได้ ศิษย์เอ๋ย ข้าพูดกับเจ้าตรง ๆเลยแล้วกัน ศิษย์หลานของเจ้าพวกนั้นอย่ามองว่าพลังบำเพ็ญเพียรไม่เท่าไร (เมื่อเทียบกับหลิวหลี) แต่ละคนถือตัวอวดดีกันทั้งนั้น นังหนู…ใกล้จะถึงการประลองใหญ่ระหว่างสำนักแล้ว แบบนี้ไม่ขายหน้าสำนักเมฆาคล้อยแย่เลยหรือ” เสวียนหั่วพูดด้วยท่าทีปวดใจอย่างที่สุด

“อาจารย์ ท่านแน่ใจหรือว่าจะไม่เป็นการกดดันพวกเขาจนเกินไป จนเกิดมารในใจขึ้นมาหรือ” หลิวหลีเห็นเสวียนหั่วที่อยู่ในโหมดการแสดงก็อดไม่ได้ที่จะแขวะใส่ สหายของนางยังไม่ให้นางไปเจอเลยแต่กลับให้นางไปสอนกลุ่มคนแก่ อยากจะแกล้งใครกันแน่

 “เอ่อ ถ้าเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ไม่สมควรอยู่บนเส้นทางแห่งการบำเพ็ญ แค่แรงกดดันแค่นี้รับไม่ได้ แล้วยังจะพูดเรื่องหลักธรรมแห่งการแสวงหาอะไรได้อีก” เสวียนหั่วเกือบโดนหลิวหลีต้อนจนมุม โชคดีที่เขาตั้งสติได้เร็ว

“แปลว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะให้ข้าไปสอนให้ได้ใช่ไหมเจ้าคะ” ถึงตอนนั้นโดนกดดันจนไม่ยอมออกจากบ้านก็ไม่เกี่ยวกับนางแล้วนะ

“ใช่”

“เมื่อไหร่เจ้าคะ”

“นังหนู หนึ่งเดือน เจ้าสามารถเลือกสอนผู้บำเพ็ญช่วงปราณก่อนกำเนิดกับต่ำกว่าช่วงปราณก่อนกำเนิดได้ตามใจชอบ ไม่ต้องเป็นห่วง พอถึงเวลาใครไม่ไปจะให้ศิษย์น้องลงบัญชีดำไว้”

หลิวหลีทำสีหน้าระอา อาจารย์ ทำไมท่านถึงพูดออกมาว่าจะให้อาจารย์อาเจ้าสำนักลงบัญชีดำโจ่งแจ้งแบบนี้เลยล่ะ

 “ก็ได้ เริ่มวันพรุ่งนี้ เริ่มจากช่วงพื้นฐานก่อนละกัน” เมื่อเห็นว่าอย่างไรก็หนีไม่พ้น หลิวหลีจึงเลือกออกมาขั้นหนึ่ง

เพียงไม่นานเรื่องที่อาจารย์อาจากหอปรุงยาจะเข้าสอนก็รู้กันไปทั่วทั้งสำนักเมฆาคล้อย

“สุดยอด นักปรุงยาระดับ 7 ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์จะมาสอนพวกเรา”

“ในที่สุดก็จะได้เห็นท่านปรมาจารย์อาลึกลับคนนี้แล้ว ไม่รู้ว่าหน้าตาน่ากลัวไหม หรือเป็นเพราะอายกลัวจะเจอยอดอัจฉริยะหรือเปล่าถึงรอให้ได้เป็นนักปรุงยาระดับ 7 ก่อนจึงค่อยออกมาเจอผู้คน”

 “พวกเจ้าต่างก็ไม่รู้ว่าท่านปรมาจารย์อาคนนี้อายุน้อยมาก ครั้งที่แล้วโชคดีมีโอกาสได้เจอครั้งหนึ่ง อายุยังน้อยก็บรรลุช่วงพื้นฐานแล้ว คิดว่าตอนนี้น่าจะอยู่ในช่วงบำเพ็ญศีลแล้วล่ะ ไม่เช่นนั้นจะเลือกผู้บำเพ็ญที่อยู่ในช่วงพื้นฐานได้อย่างไร” ลูกศิษย์คนหนึ่งที่เคยเห็นหลิวหลี กำลังพูดด้วยท่าทีที่ดูมีเหตุผล

“เจ้าไม่ได้ออกจากสำนักนานเท่าไรแล้ว งานชุมนุมยาศักดิ์สิทธิ์เมื่อหลายปีก่อนท่านปรมาจารย์อาท่านนี้มีหน้ามีตาเป็นที่เลื่องชื่อ พลังบำเพ็ญเพียรอยู่ในช่วงอมตะเลยนะ ตอนนี้น่าจะบรรลุช่วงอมตะขั้นสุดยอดถึงจะถูก”

หลิงจูผู้หมดซึ่งความโกรธแค้นและความเกลียดชังยืนอยู่ในเงามุมมืด ตอนนี้นางก็เป็นผู้บำเพ็ญช่วงพื้นฐาน เพียงแต่สถานะของนางน่ากระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย สถานะอนุภรรยาบ่าวเป็นสถานะที่ใครๆต่างดูถูก ตอนแรกนางก็พอจะได้เจอพี่ชายของนางบ้าง สุดท้ายพี่ชายไปโลกมนุษย์แล้วพอเขากลับมาก็ไม่มาหานางอีกเลย นี่คงจะเป็นกรรมของนางใช่ไหม

 “จูอี๋เหนียง ควรกลับได้แล้ว” สาวรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆพูดขึ้น

ใช่สิ ตอนนี้นางเป็นจูอี๋เหนียงอนุภรรยาบ่าวของหวงเต้าเทียน หลานชายของหวงลั่วฉีรองผู้คุมหออาวุธ เมื่อนึกถึงหวงเต้าเทียนที่ไม่สามารถสู่ขอภรรยาที่เหมาะสมได้ หลิงจูก็รู้สึกเหมือนได้ระบายความโกรธแค้น

“ไปเถอะ” ช่างคำพูดของคนอื่นเถอะ แล้วหลิงจูก็ตามสาวใช้กลับไป

“เอ่อ คนเมื่อครู่เหมือนจะเป็นอนุภรรยาของหวงเต้าเทียน” มีคนเหลือบเห็นหลิงจูเดินจากไป

“เป็นบ่าวด้วยไม่ใช่หรือมีอะไรให้น่าพูดถึงกัน” มีคนพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจ อนุภรรยาบ่าวก็ถือว่าเป็นบ่าวครึ่งหนึ่งอยู่ดี

“เป็นไปได้อย่างไร คนนี้เคยทะเลาะกับท่านปรมาจารย์อาคนนั้นจนเป็นเรื่องราวใหญ่โต แล้วก็ถูกท่านปรมาจารย์อามอบให้เป็นอนุภรรยาบ่าวของหวงเต้นเทียน เป็นบ่าวที่มีสถานะสูงด้วย แบบที่หวงเต้าเทียนไม่สามารถขอหย่าได้ อีกทั้งยังต้องรับรองว่าพลังบำเพ็ญเพียรของจูอี๋เหนียงจะต่ำกว่าเขาแค่ช่วงพลังเดียวเท่านั้น คุณสมบัติของจูอี๋เหนียงท่านนี้แย่มากเลยนะรู้ไหม” คนที่รู้เรื่องราวก็บอกเล่าเหตุการณ์ที่รับรู้มา

แน่นอนว่าหลิงจูที่เดินไปไกลแล้วต้องไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว นางกลับไปยังที่พักของตัวเอง ให้สาวใช้อยู่ด้านนอก

“ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้ว” หลิงจูนอนลงบนเตียงพูดเสียงพึมพำ

เรื่องพวกนี้หลิวหลีไม่รู้อยู่แล้ว นางกำลังคิดหนักว่านางจะไปสอนอะไร นอกจากความรู้เรื่องยาแล้ว ความรู้ด้านอื่นก็ช่างน้อยนิด ยังสู้ลูกศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นางใช้มือนวดหัวไปมา ช่างมันเถอะ พรุ่งนี้ก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติแล้วกัน

“หลิวหลี ผมของเจ้ายุ่งหมดแล้ว” หนานกงเวิ่นเทียนที่ไม่รู้ว่าปรากฏตัวขึ้นมาตอนไหนเห็นหลิวหลีทึ้งผมราวกับกำลังคิดหนักเรื่องอะไรบางอย่าง เพียงแต่ว่าท่าทางอย่างนี้ของหลิวหลีทำให้นางดูน่ารักขึ้นมาบ้าง

“เสี่ยวเทียน พรุ่งนี้ข้าจะต้องไปสอนพวกตาแก่กลุ่มหนึ่ง ข้าจะโดนพวกเขารุมไหม” เมื่อหลิวหลีเห็นว่าเป็นหนานกงเวิ่นเทียนก็อดที่จะระบายความทุกข์ออกมาไม่ได้

 “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ช่วงพื้นฐานถึงขนาดอายุร้อยปีแล้วยังไม่บรรลุช่วงพลังมีน้อยมาก” หนานกงเวิ่นเทียนปลอบหลิวหลี คงไม่มีคนแก่เยอะขนาดนั้นหรอก

“แต่ถึงอย่างไรก็คิดหนักอยู่ดี ข้าถนัดแค่เรื่องปรุงยา เรื่องอื่นอาจจะสู้พวกเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ ข้าจะสอนอะไรพวกเขาได้” นี่ก็คือสิ่งที่ทำให้หลิวหลีปวดหัวที่สุด นางมีอะไรที่สามารถไปสอนเขาได้นะ

“นังหนู ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติก็พอ เจ้าไม่จำเป็นต้องไปเตรียมอะไรขนาดนั้น” หนานกงเวิ่นเทียนพูดขึ้น

“ก็ใช่ ตอนที่เจ้าเข้ามา ข้ากำลังจะเลิกคิดเรื่องสอนนี้แล้ว”

วันถัดมา สวรรค์เป็นใจให้

“อากาศดีจังเลย”

เป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็น ทำให้ไม่ได้มีเพียงแต่ผู้บำเพ็ญช่วงพื้นฐานเท่านั้นที่มา ผู้บำเพ็ญช่วงบำเพ็ญศีลหรือแม้แต่ช่วงอมตะก็มาเช่นกัน แล้วก็มีช่วงปราณก่อนกำเนิดไม่กี่คน

“ไม่รู้ว่าอาจารย์อาจะสอนอะไร” จื่ออีกล่าว

“ใครจะไปรู้ล่ะ” จื่อซูกล่าวตอบ ตำแหน่งที่ทั้งสองยืนอยู่ค่อนข้างมิดชิด สามารถมองเห็นภาพทั้งหมดได้แต่ไม่มีใครมองเห็นได้

“ทำไมถึงยังไม่มาอีกนะ” คนจำนวนไม่น้อยต่างรู้สึกสงสัย บางคนเริ่มกระวนกระวาย บางคนก็อยากจะมาดูเรื่องสนุก

“มาแล้ว” ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้น จากนั้นก็เห็นว่าบนตำแหน่งที่นั่งปรากฏภาพของหนุ่มน้อยรูปงามท่านหนึ่ง ไม่ได้เป็นผู้หญิงหรอกหรือ

หลิวหลีมองภาพความวุ่นวายที่อยู่ด้านล่างแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็เหลือบไปมองตำแหน่งของจื่อซูกับจื่ออีอย่างแฝงนัยยะอะไรบางอย่าง

 “จื่อซู ทำไมข้ารู้สึกเหมือนเมื่อครู่อาจารย์อามองมาที่เรา” จื่ออีเหงื่อแตกพลั่ก

“จื่ออี เจ้ามองเห็นพลังบำเพ็ญเพียรของอาจารย์อาไหม” จื่อซูถามขึ้นด้วยความจริงจัง

“มองไม่ออกเลย” จื่ออีพูดพลางขมวดคิ้ว เขามองพลังบำเพ็ญเพียรของอาจารย์อาไม่ออก นั่นหมายความว่าพลังบำเพ็ญเพียรของอาจารย์อาสูงกว่าพวกเขา การรับรู้เรื่องนี้ทำให้ทั้งสองถึงกับเหงื่อท่วมตัว ไม่มีใครมาเก็บปีศาจตัวนี้เลยหรือ จะให้มนุษย์มีชีวิตอยู่ต่อไปไหม

“จื่ออี ข้าเหมือนจะเข้าใจจุดประสงค์ของอาจารย์แล้ว”

“ข้าก็เข้าใจแล้วเหมือนกัน” กดดันขนาดนี้ทำให้สติกระเจิงได้เลยนะ

 “พูดจบหรือยัง” หลิวหลีพูดขึ้น เสียงสดใสดังก้องกังวานไปทั่วทั้งลาน

“ข้าชื่อหลงหลิวหลี วันนี้จะจะเป็นคนสอนพวกเจ้าว่าแต่ก่อนจะเริ่มเรียนพวกเจ้าลืมอะไรไปหรือเปล่า” หลิวหลีพูดเหมือนกำลังเตือน

ทุกคนตกอยู่ในสภาวะมองกันไปมาต่างก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองลืมอะไร

“เจ้ามาเป็นผู้สอนให้พวกข้าแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น มีสิทธิ์อะไรได้รับการคำนับในฐานะอาจารย์จากพวกข้า”

เมื่อมีคนเริ่ม ทุกคนก็เออออทันที เกิดความวุ่นวายขึ้นทันที พวกเขาไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

“อย่างนั้นหรือ แต่ข้าจะมาเป็นผู้สอนหนึ่งเดือน ส่วนคนที่ต้องเข้าเรียนน่ะ แน่นอนว่าจะต้องเป็นผู้บำเพ็ญช่วงปราณก่อนกำเนิดหรือต่ำกว่านั้น เพราะฉะนั้นพวกเจ้ามีเวลาหนึ่งเดือนทำความคุ้นชินกับใบหน้านี้” หลิวหลีเลิกคิ้ว มีคนที่ไม่ยอมเชื่อฟังอยู่จริงด้วย แต่ถ้าไม่มีคนแบบนี้อยู่ก็ไม่สนุกสิ

 “เจ้าเป็นเพียงแค่นักปรุงยา ขอโทษด้วยนะ พวกเราที่นี่มากกว่าครึ่งไม่ได้เรียนปรุงยา ขอถามหน่อยว่านอกจากเจ้าจะมีลำดับอาวุโสที่สูงกว่าเรา มีอะไรที่สามารถสอนพวกเราได้บ้าง”

“พูดได้ดี ตามธรรมเนียมของสำนักไม่มีกฎทำความเคารพผู้อาวุโสหรือ พวกเจ้ายังรู้นี่ว่าข้าอาวุโสกว่า” หลิวหลีพูดด้วยท่าทียิ้มแย้ม

“คารวะอาจารย์อา” ทุกคนทำความเคารพอย่างไม่เต็มใจ ลำดับผู้อาวุโสสมควรตายนี่ ถึงขนาดทำให้พวกเขาต้องมาโดนเด็กแกล้ง

“ลุกขึ้นมาเถอะ ข้าไม่ได้ให้ความสำคัญกับมารยาทจอมปลอมพวกนี้เท่าไร”

ทุกคนปากกระตุกเล็กน้อย เมื่อกี้ยังพูดเรื่องการทำความเคารพในฐานะอาจารย์ จากนั้นก็บอกว่าทำความเคารพในฐานะผู้อาวุโส อาจารย์อาท่านนี้เลิกเสแสร้งสักทีได้ไหม

“อืม ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโส ข้าจะบอกพวกเจ้าว่า นอกจากปรุงยาแล้วข้ายังทำอะไรได้อีก พวกเจ้าอยากรู้เรื่องการต่อสู้ไหม ข้าต่อสู้เก่งมากนะ ใช่แล้ว ศิษย์หลานท่านนั้น ขอยืมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าหน่อยได้ไหม” หลิวหลีเรียกผู้บำเพ็ญที่อยู่ไม่ไกล คนผู้นั้นลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจ

 “ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์มันหรอก ข้าจะใช้ยาศักดิ์สิทธิ์แลก นอกจากนี้ยังสามารถเอาไปแลกอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับเดียวกันที่หออาวุธได้” หลิวหลีเห็นท่าทีไม่เต็มใจจึงใช้อย่างอื่นมาล่อ

ลูกศิษย์คนนั้นก็นำอาวุธศักดิ์สิทธิ์มามอบให้หลิวหลีจริง ๆ จากนั้นก็ได้ยินเสียงดัง ‘ป๊อก’ ทุกคนมองดูอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกหักเป็นสองท่อนด้วยความตกตะลึง

“บอกพวกเจ้าแล้วไงว่าข้าถนัดเรื่องการต่อสู้เหมือนกัน” หลิวหลีนำอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกหักเป็นสองท่อนวางไว้ข้างตัว คนจำนวนไม่น้อยสีหน้าซีดเผือดแล้วก็ไม่กล้าพูดคุยกันอีก เพราะว่าพวกเขาไม่อยากจะทำให้อาจารย์อาผู้ที่หักอาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยมือเปล่าต้องโมโห ใจฝ่อขึ้นมาแล้วจริงๆ

“ข้ามองพลังบำเพ็ญเพียรของอาจารย์อาท่านนี้ไม่ออกเลย” ในที่สุดทุกคนก็กลับมาที่คำถามที่พวกเขามองข้ามไป คิดเพียงแต่ว่าอาจารย์อาท่านนี้อายุน้อย แต่กลับมองข้ามพลังบำเพ็ญเพียรของนางไป

 “ขอถามอาจารย์อาว่าตอนนี้พลังบำเพ็ญเพียรของท่านอยู่ในช่วงใดหรือ” มีลูกศิษย์ถามขึ้นด้วยความกล้า

“อืม เจ้าไม่เบาเลยนะ อาจารย์อาก็จะบอกกับเจ้าอย่างไม่ปิดบังแล้วกัน ข้าอายุตั้ง 20 กว่าแล้วแต่พลังบำเพ็ญเพียรยังอยู่แค่ช่วงแยกจิตเท่านั้นเอง”

คำสุดท้าย คำว่า ‘เท่านั้นเอง’ สะท้อนในหูของทุกคนที่อยู่ตรงนั้น

พวกเขาผิดไปแล้ว ขอเชิญท่านผู้อาวุโสเก็บปีศาจตัวนี้กลับไปที อย่าปล่อยออกมาสร้างความกดดันให้พวกเขาอีกเลย

…………………………………………………….

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด