ระบบพี่เลี้ยงอสูรขั้นเทพ (神宠进化系统) – ตอนที่ 24 จบการศึกษา
ตอนที่ 24 จบการศึกษา
ทั้งสองฝ่ายได้แสดงฝีมือที่แทบจะทัดเทียมกันออกมา
ต่อมาก็เกิดการปะทะกันอยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งจ้าวเมิ่งซีก็รับมือได้ทั้งหมด
เหลิ่งจื่อมู่เริ่มร้อนใจและตะโกนออกมา “แยกตัว”
จากนั้นสัตว์อสูรไม้มีดก็แยกตัวออกพร้อมกับกลายเป็นแส้เหล็กในมือของเหลิ่งจื่อมู่
สัตว์อสูรของทั้งสองใช้การโจมตีระยะไกล โดยอาศัยคำสั่งในการเคลื่อนไหว ตัวหนึ่งโจมตีกายภาพ อีกตัวโจมตีด้วยพลังงาน ต่างฝ่ายต่างก็ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้
ดังนั้นเหลิ่งจื่อมู่จึงตัดสินใจที่จะเข้าต่อสู้ในระยะประชิด เขาทำการโจมตีระยะไกลและใช้โอกาสที่จ้าวเมิ่งซียังไม่ได้ทันตั้งตัว พุ่งเข้าไปประชิด
จ้าวเมิ่งซีรู้ความคิดของอีกฝ่าย แต่เธอก็ไม่ได้หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย เธอยกมือขึ้นพร้อมกับลูกไฟจำนวนมากที่ก่อตัวขึ้นมา และพุ่งเข้าใส่อีกฝ่าย
ตอนนั้นเอง ทางซ้ายของเหลิ่งจื่อมู่กลับมีลูกไฟขนาดใหญ่พุ่งเข้ามา มันได้ระเบิดออกจนทำให้เหลิ่งจื่อมู่กระเด็นออกไป พร้อมกับเสื้อผ้าที่โดนเผา
สีหน้าของเหลิ่งจื่อมู่บิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดและความโกรธ เขาแทบไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะดักทางเขาได้อีก
ในเวลาเดียวกันแส้นั้นก็เปลี่ยนเป็นหนามเหล็กว่า 200 อันพุ่งเข้าใส่จ้าวเมิ่งซีเพื่อจัดการกับเธอ
สีหน้าของจ้าวเมิ่งซีเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอแสดงสีหน้าโกรธเกรี้ยวออกมา อีกฝ่ายคิดจะฆ่าเธอ ดังนั้นเธอจะต้องทุ่มสุดตัว
ตัวของสัตว์อสูรไฟหมุนวนก่อนจะกลายเป็นวังวนไฟขึ้นมาพร้อมกับอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น
จากนั้นเธอก็เปิดปากพูดขึ้น “ไปได้”
วังวนไฟนั้นหายไปในพริบตา ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นที่ข้างกายของเหลิ่งจื่อมู่ พร้อมกับแรงสูบที่น่าทึ่ง แม้แต่อากาศก็ยังโดนสูบเข้าไป
เหลิ่งจื่อมู่ไม่อาจจะต้านทานได้ เท้าของเขาค่อย ๆ ลอยขึ้นภายใต้แรงสูบนี้ ตัวของเขาเริ่มถูกสูบเข้าไปในวังวนไฟ
เมื่อรับรู้ได้ถึงความร้อนอันน่ากลัว เหลิ่งจื่อมู่ก็เริ่มลนลาน ตัวของเขาสั่นระริก ผมของเขาโดนเผาจนแทบจะหมดหัว แม้แต่คิ้วก็ยังติดไฟ ใบหน้าหล่อ ๆ ของเขาก็ยังโดนเผาไปด้วย
“ฉัน…ฉันยอมแพ้ ! ” เหลิ่งจื่อมู่รีบตะโกนออกมา ถ้าช้าไปกว่านี้ เขากลัวว่าเขาจะโดนเผาจนแม้แต่ผิวหนังของเขาก็ไม่อาจจะฟื้นฟูได้
ในขณะนั้นกรรมการก็ยังอึ้งไปกับการต่อสู้นี้ เขาคิดจะเข้าไปหยุดการต่อสู้ แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดขึ้นมานั้น เหลิ่งจื่อมู่กลับเลือกที่จะยอมแพ้ก่อน
จ้าวเมิ่งซีกำหมัดพร้อมกับวังวนไฟที่ค่อย ๆ สลายตัวลง
เหลิ่งจื่อมู่มองไปที่จ้าวเมิ่งซีพร้อมกับลูบหน้าของตัวเอง เขารู้สึกได้ถึงความร้อนและความเจ็บปวด สายตาของเขาสะท้อนความแค้นเคืองออกมา
….
การต่อสู้ของคนกว่าหมื่นคนถูกจัดขึ้นในวันเดียว แต่ละคู่สู้กันแค่ 10 นาที บางคู่อาจจะกินเวลาไม่ถึงครึ่งนาที
หวังเย่าสู้ไปแล้ว 3 ครั้งและชนะทั้ง 3 ครั้ง ดังนั้นเขาจึงได้คะแนนมา 3 คะแนน
จนตกเย็นการแข่งขันก็จบลงพร้อมกับมีคนตกรอบกว่า 300 คน
วันต่อมาก็มีการแข่งขันอีกครั้ง
ในวันนี้หวังเย่าก็ชนะไป 3 รอบและได้คะแนนเพิ่มเป็น 6 คะแนน ตอนนี้เขาอยู่ 100 อันดับแรก ซึ่งทำให้เขาโดดเด่นเป็นอย่างมาก นักเรียนห้อง 9 ต่างก็พากันภูมิใจกับตัวเขา
ในวันเดียวกันนักเรียนกว่า 1,000 คนก็ตกรอบไป
จ้าวซวนก็เป็นหนึ่งในพวกที่ตกรอบ เขาปวดใจมากเลยทีเดียว
โจวอวิ๋นเองก็เช่นกันเขารู้ตัวเองดี เขาโชคดีที่ชนะมาได้ 2 ครั้งแต่แค่นี้ก็ทำให้เขาตื่นเต้นได้แล้ว
ส่วนหวังเย่านั้นกลับทำให้ทุกคนพูดอะไรไม่ออก ทุกคนต่างก็มองไปที่เขาด้วยสีหน้าตกตะลึง
ในวันที่สาม ผู้เข้าแข่งขันทุกคนจะได้สู้กัน 10 ครั้ง
หวังเย่าได้เจอกับนักเรียนห้อง 3 แต่อีกฝ่ายนั้นด้อยกว่าจ้าวซื่อเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงชนะได้อย่างง่ายดาย
ครั้งนี้มีนักเรียนกว่า 2,000 คนที่ตกรอบ และเหลือเพียงแค่ 400 คน แทบทั้งหมดชนะมา 9-10 ครั้ง มีแค่ไม่กี่คนที่โชคร้าย ที่ชนะไปได้แค่ 8 ครั้ง
ตอนนั้นอันดับก็ได้ออกมา หวังเย่าอยู่อันดับ 1 ของห้อง 9 และอยู่ในอันดับ 19 ของอันดับรวม
เหตุผลที่เขาไม่ติด 10 อันดับแรกก็เพราะว่าระดับของการ์ฟิลด์ทำให้ระบบการแข่งขันประเมินความแข็งแกร่งของเขาต่ำ
ถึงจะชนะ 10 ครั้งเหมือนกัน แต่เกณฑ์การประเมินนั้นต่างกันออกไป ซึ่งทำให้ได้อันดับที่แตกต่างกันไปด้วย
“ฉันขอประกาศว่าพวกนักเรียนที่เข้าร่วมรอบชิงอันดับนั้นได้จบการศึกษาอย่างเป็นทางการ ทุกคนจะได้วุฒิบัตร และไม่จำเป็นต้องมาเรียนอีกในปีหน้า ฉันหวังว่าทุกคนจะมีอนาคตที่สดใส” ในตอนปิดพิธีนั้น ครูใหญ่ได้เดินทางมาประกาศด้วยตัวเอง
แต่ถึงอย่างนั้นการเรียนจบจากที่นี่ก็หมายถึงจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่
คนที่จบการศึกษาจะต้องกรอกใบสมัครภายในอีกครึ่งเดือนและรอเรียกสัมภาษณ์
ในด้านนี้ หวังเย่าเองก็กังวล เขาหวังว่าจะได้รับจดหมายตอบรับหลังจากที่กรอกใบสมัครแล้ว ตราบใดที่คะแนนของเขาถึงเกณฑ์น่ะนะ
อย่างไรก็ตาม รายละเอียดในการรับสมัครของโลกนี้ก็แตกต่างจากโลกเก่า หลังจากที่ทางมหาวิทยาลัยได้รับใบสมัครแล้ว พวกเขาก็จะถูกพิจารณาจากโปรไฟล์ของนักเรียน และความคิดเห็นของครูผู้สอน หลังจากที่คัดกรองเรียบร้อยแล้ว ก็จะมีการนัดสัมภาษณ์ เพื่อทำการทดสอบ ตราบใดที่ผ่านการทดสอบจึงจะเข้าร่วมมหาวิทยาลัยได้
ดังนั้นแต่ละมหาวิทยาลัยจึงจัดการทดสอบในเวลาที่แตกต่างกัน มหาวิทยาลัยหัวเซี่ยนั้น ถ้าคุณมีความแข็งแกร่งมากที่สุด ก็จะได้รับความสนใจมากที่สุด ดังนั้นพวกเขาจึงได้เด็กที่ดีที่สุดไป
มหาวิทยาลัยระดับสูง ๆ จะได้เลือกคนก่อน ส่วนมหาวิทยาลัยที่เหลือก็จะได้เลือกเด็กที่หลุดรอดมา
แน่นอนว่านักเรียนที่ตกรอบในการแข่งขันรอบอันดับนั้น ก็เท่ากับสอบตก พวกเขาจบการศึกษามัธยมปลายก็จริง แต่ไม่มีสิทธิ์ยื่นเข้ามหาวิทยาลัย เว้นแต่ว่าจะลงเรียนใหม่
มีแค่ 400 อันดับแรกเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ยื่นเข้ามหาวิทยาลัยได้
มันมีโรงเรียนระดับสูงกว่า 56 แห่งในเมืองอรุณ โรงเรียนระดับ 2 ก็มีกว่า 2,000 แห่ง พวกนักเรียนที่เรียนจบมาก็มีตั้งแต่ 300-800 คน
โรงเรียนศิลาศักดิ์สิทธิ์มีความแข็งแกร่งที่จำกัดและได้โควตาไปแค่ 400 ที่เท่านั้น
ต้องบอกว่าในบรรดานักเรียนหลายหมื่นคนที่เรียนจบนั้น มีไม่ถึงหมื่นคนที่จะได้เข้าร่วมมหาวิทยาลัย และมีแค่ 100 คนเท่านั้นที่จะเข้าร่วมมหาวิทยาลัยหัวเซี่ยได้
ครูใหญ่มองไปรอบๆก่อนจะประกาศออกมาว่าอีก 1 อาทิตย์จากนี้ โรงเรียนศิลาศักดิ์สิทธิ์จะให้ครู 10 คน โดยครูแต่ละคนจะเลือกนักเรียน 40 คนเพื่อเดินทางไปยังเขตลับนอกเมือง และทำการทดสอบ
หลังจากจบการทดสอบนี้ พวกเขาถึงจะยื่นเรื่องต่อมหาวิทยาลัยได้ ถ้าครูทำให้นักเรียนเข้ามหาวิทยาลัยได้ พวกเขาก็จะได้รับรางวัล
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนพากันฮือฮาขึ้นมา พวกครูและนักเรียนจะไม่ตื่นเต้นได้ยังไง ?
เขตลับนอกเมือง ?
หวังเย่าเองก็แสดงท่าทีตื่นเต้นออกมาเช่นกัน เขากับนักเรียนคนอื่น ๆ อยากจะเห็นมานานแล้วว่านอกเมืองนั้นเป็นยังไง
คอมเม้นต์