จักรพรรดิผู้ฝึกอายุห้าพันปี – บทที่ 80 ของขวัญจริงหรือปลอม
บทที่ 80 ของขวัญจริงหรือปลอม
“เหยาเหยา หุบปากซะ!”
เสี้ยงฉ่ายเอ่อเสียงเข้ม สีหน้าของเธอมืดลง
โล่เฉินแต่เดิมก็มีท่าทีเหินห่างกับตระกูลเสี้ยงไปแล้ว ถึงแม้ตระกูลเสี้ยงจะไม่จำเป็นต้องบากหน้าไปขอร้องให้โล่เฉินยกโทษให้ แต่ก็ไม่สามารถไปทำให้เขาขุ่นเคืองได้เช่นกัน”
ปรมาจารย์บู๊ แม้แต่ในเมืองหลวงก็ยังถือว่าเป็นบุคคลที่อยู่ในจุดสูงสุด แม้แต่ตระกูลทั้งสามในเมืองหลวงก็ยังไม่กล้าไปหาเรื่องง่ายๆ นั่นเพราะนี่คือความทรงพลังอันยิ่งใหญ่และแท้จริง คนหนึ่งคนสามารถต่อกรได้กับกองกำลังหลายพันคน
รังสีชี่แท้ ผ่านอากาศสะบั้นสาหัส โจมตีเพียงครั้งสังหาร พันลี้หลบเลี่ยง
ฝีมือนั้นเหนือกว่าที่จะจินตนาการ
ต่อให้เป็นถึงปัญญาประดิษฐ์อันล้ำเลิศของประเทศ ก็เป็นเรื่องยากที่จะจับตัวปรมาจารย์
ระดับบ้านเมืองยังเป็นแบบนี้ นับประสาอะไรกับแค่ตระกูลหนึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น โล่เฉินอายุยังเยาว์วัยแค่นี้แต่กลับเป็นปรมาจารย์บู๊ หากจะบอกว่าเขาเชี่ยวชาญด้วยตนเองไร้อาจารย์สั่งสอนนั้นเป็นไปไม่ได้ บางทีอาจจะยังมีอาจารย์ระดับแดนปรมาจารย์หรือสำนักที่ทรงพลังให้การหนุนหลังอยู่
ดังนั้นจึงห้ามไปตอแยเขาเป็นอันขาด
เพียงไม่กี่วินาที เสี้ยงฉ่ายเอ่อก็ถึงกับเหงื่อตก เธอประสานมือโค้งคำนับ “ไต้ซือโปรดยกโทษ โปรดเมตตาด้วย เหยาเหยายังเด็กไม่รู้ความ ในเมื่อบังเอิญอยู่ที่ตึกซิงหยุน ฉันขอจัดงานเลี้ยงให้กับไต้ซือเพื่อขอขมาเป็นอย่างไร?”
“พี่สาว นี่พี่ทำอะไรอยู่น่ะ” เสี้ยงเหยาเหยามีสีหน้าไม่แคร์
“ขออภัยด้วย”
“ฉันไม่ ในจังหวัดทางตะวันตกเฉียงใต้ ตระกูลเสี้ยงของเราไม่เกรงกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น ก็แค่นักศิลปะการต่อสู้คนหนึ่ง หากมาทำให้ตระกูลเสี้ยงของพวกเรารำคาญใจ ก็ให้คุณลุงนำกองทหารมาฆ่าเขาทิ้งซะ! ”
เสี้ยงเหยาเหยาเอ่ยเสียงดังลั่น ท้ายประโยคยังจงจำย้ำเสียง ราวกับกำลังต้องการขู่ให้โล่เฉินตกใจ
“บังอาจ!”
เสี้ยงฉ่ายเอ่อโกรธจัดจนใบหน้าแดงก่ำ เธอรีบดุ “ขอโทษเดี๋ยวนี้ ฉันจะสั่งสอนเธอแทนลุงสามเอง”
“พี่สาว พี่ดุฉัน”
เสี้ยงเหยาเหยาหน้าแดงก่ำ ท่าทางไม่ยอมแพ้
ฉากนี้ ดึงดูดความสนใจของคนที่เดินผ่านไปมา
โล่เฉินไม่ต้องการเป็นจุดสนใจ นอกจากนี้ตัวเขาเองก็มีอายุปาเข้าไป 5,000 ปีแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องมาโมโหใส่เด็กหญิงอายุยี่สิบต้น ๆ
อีกทั้งยังเป็นหญิงสาวหน้าตางดงามด้วย
นี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ แม้แต่ผู้ฝึกอมตะก็ไม่มีข้อยกเว้น
เกิดมาหน้าตางดงาม ก็คล้ายกับเกิดมาพร้อมสิทธิพิเศษต่างๆ มากมาย
“ช่างเถอะ”
โล่เฉินโบกมือและถามกลับ “พวกเธอมีคนอยู่ในเขตทหาร?”
เสี้ยงฉ่ายเอ่อกำลังจะเอ่ยปาก เสี้ยงเหยาเหยาก็แค่นเสียงขึ้นอย่างสะใจ “กลัวแล้วล่ะสิ นายยังนับว่าฉลาดอยู่บ้าง ลุงของพี่สาว เป็นถึงผู้นำของเขตทหารตะวันตกเฉียงใต้ เป็นกองทัพเข้าล้อมปราบปราม ต่อให้นายจะสื่อสารกับสวรรค์ได้ก็ต้องทนทุกข์แน่ นอกจากว่านายจะเป็นเซียน บินหลบหนีไปจากโลกได้!”
“เธอหุบปากซะก็ไม่มีใครคิดว่าเป็นใบ้”
เสี้ยงฉ่ายเอ่อถลึงตาใส่ ก่อนจะหันไปพูดกับโล่เฉินด้วยรอยยิ้ม: “ไต้ซือ คุณปู่แต่เดิมก็เป็นทหาร เขามีลูกชายสองคนลูกสาวหนึ่งคน ลูกคนโตคือพ่อของฉัน รับราชการทหาร ต่อมาก็คือคุณน้าของฉัน เป็นผู้ควบคุมธุรกิจของตระกูลเสี้ยง และสุดท้ายก็คือคุณอาเล็กของฉัน คุณเองก็รู้จัก เขาก็คือพ่อของเหยาเหยา เสี้ยงจื้อสง”
“ได้ยินมาจากคุณพ่อว่า คุณอาเล็กเบื่อหน่ายเรื่องทางโลก ไม่ต้องการถูกผูกมัด ดังนั้นยี่สิบปีก่อนจึงออกจากตระกูลไปพเนจร ส่วนความสำเร็จในวันนี้ คุณคงได้ยินมาบ้างแล้ว”
“นี่คือสถานการณ์ปัจจุบันขอตระกูลเสี้ยงเรา”
โล่เฉินถอนหายใจอย่างชมเชย “สมกับที่เป็นตระกูลใหญ่ โลกทหาร โลกธุรกิจ โลกอิทธิพลมืดล้วนเป็นผู้มีอำนาจ หากมีแวดวงการเมืองไปด้วยก็เท่ากับได้แกรนด์สแลมแล้ว
***
“ตอนนี้ก็เป็นแกรนด์สแลมแล้ว พี่ใหญ่ของฉันสอบราชการและเดินทางสายนี้แล้ว ตอนนี้กำลังคลุกคลีสร้างอำนาจอยู่ที่หน่วยราชการของจีนหลิง ในอนาคตเขาจะต้องเป็นข้าราชการใหญ่แน่” เสี้ยงเหยาเหยาเชิดหน้า ท่าทางภาคภูมิใจอย่างยิ่ง
เสี้ยงฉ่ายเอ่ออธิบาย “คุณน้าคนที่สองมีลูกชายคนเดียว เป็นหนึ่งในสามบุคคลโดดเด่นของจีนหลิง ฝีมือความสามารถยอดเยี่ยม อีกทั้งมีตระกูลเสี้ยงหนุนหลัง ดังนั้นจึงทำได้ไม่เลว! ”
“หากจัดการได้ดีแบบนี้ต่อไป อย่างน้อยอีกหนึ่งร้อยปี ตระกูลเสี้ยงของพวกเธอไม่มีทางตกต่ำแน่ เพียงแต่ …”
โล่เฉินชะงัก และเหลือบมองเสี้ยงเหยาเหยา
“ถ้าหากลูกหลานของตระกูลเสี้ยงยังเป็นแบบนี้ เกรงว่าความตกต่ำคงอยู่ไม่ไกลแล้ว”
“นายพูดอะไร! ”
เสี้ยงเหยาเหยาโกรธจนหน้าแดงก่ำ ขณะกำลังคิดจะโต้กลับ เธอก็ถูกเสี้ยงฉ่ายเอ่อดุขึ้น “เธอไม่ต้องพูดแล้ว นายท่านว่าเธอหน่อยจะเป็นอะไรไป”
“พี่ พี่ไปช่วยคนนอกได้ยังไง?” เสี้ยงเหยาเหยาโกรธจนน้ำตาไหล
ตั้งแต่เล็กจนโต เธอล้วนถูกประคองไว้ในอุ้งมือ ราวกับเจ้าหญิงจริงๆ ทุกคนต่างให้ความเคารพ ไหนเลยมีเคยมีใครมาทำให้โกรธขนาดนี้
อย่างไรก็ตามเสี้ยงฉ่ายเอ่อมีเหตุผลอย่างยิ่ง เธอเอ่ยอย่างเข้มงวด “นายท่านกำลังสั่งสอนเธอ ต่อให้เป็นบุตรหลานตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง คิดอยากได้รับการอบรมอยากปรมาจารย์ยังยากยิ่งกว่าปีนขึ้นบนฟ้า เธอโชคดีขนาดไหนยังไม่รู้ตัวอีก”
“เปลี่ยนนิสัยเจ้าอารมณ์ของเธอเสียบ้าง ตระกูลเสี้ยงถึงแม้จะแข็งแกร่ง แต่ก็แค่ในจีนหลิงเท่านั้น อยู่นอกจีนหลิง ไม่มีอะไรรับประกันว่าเธอจะจัดการได้อยู่หมัด คิดดูสักหน่อย โล่เฉิงตระกูลโล่ หากเธอยังทำตัวงอแงเอาแต่ใจแบบนี้ วันหนึ่งเธอจะได้รับบทเรียนแน่”
“ชิ ใครกล้ามาสั่งสอนฉัน” เสี้ยงเหยาเหยาไม่สะท้าน
โล่เฉินแอบส่ายหัว หญิงสาวคนนี้นิสัยเสียไปแล้วจริงๆ
เขาหันหลังเดินจากไป
เสี้ยงฉ่ายเอ่อรีบหยุดเขาไว้และเอ่ย “ไต้ซือ งานเลี้ยงวันเกิดครั้งนั้นฉันต้องขอโทษจริงๆ ครอบครัวเราคิดอยากจะขอขมามาตลอด แต่ไม่มีโอกาส วันนี้บังเอิญได้พบกันแบบนี้ ไต้ซือได้โปรดเห็นแก่หน้าฉันสักครั้ง ทานข้าวที่ตึกซิงหยุนด้วยกันเถอะนะคะ”
“ฉันไม่หิว! ”
“ไต้ซือ อีกสามวันจะมีรวมตัวของสำนักผานหลงจัดขึ้นที่เมืองเจียง ถึงตอนนั้นบุคคลสำคัญและนักบู๊ยอดฝีมือปรากฏตัวขึ้น ฉันคิดว่าไต้ซือน่าจะสนใจเรื่องนี้”
ฝีเท้าของโล่เฉินชะงัก เขาเอ่ยถาม “สำนักผานหลง เพื่ออะไร?”
“สามารถเรียกมันได้ว่าเป็นตลาดแลกเปลี่ยนสินค้า มีทั้งตัวยาล้ำค่า คัมภีร์วิชาของนักบู๊ รวมถึงสมบัติแปลกๆ … หรือแม้กระทั่งซื้อขายนักฆ่า สรุปก็คือสามารถทำการค้าได้มากมาย ไต้ซือ ฉันเพิ่งได้ตั๋วมาหลายใบพอดี”
“น่าสนใจ” โล่เฉินคิดกับตัวเอง
เสี้ยงฉ่ายเอ่อรู้สึกยินดี เธอเอ่ย “ไต้ซือ พวกเราเข้าไปพูดคุยรายละเอียดกันเถอะ”
เมื่อมาถึงห้องส่วนตัว ห้องเหมานภาตึกซึงหยุน
อาหารถูกเสิร์ฟเต็มโต๊ะ สุราอาหารวางเรียงราย
โล่เฉินเองก็ได้รู้ถึงโฉมหน้าจุดประสงค์ที่แท้จริงของสำนักผานหลง นี่ราวกับตลาดมืดในยุคโบราณ การแลกเปลี่ยนส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องจริงจัง อีกทั้งยังมีการกระทำผิดทำนองคลองธรรม
การรวมตัวสำนักผานหลงมีขนาดใหญ่อย่างยิ่ง ดึงดูดบุคคลสำคัญและเหล่านักบู๊นักพรตมากมาย ทุกอย่างถูกเก็บเป็นความลับ ในแต่ละปีล้วนมีสถานที่จัดงานแตกต่างกันออกไป หากคิดจะร่วมงานจำเป็นต้องมีตั๋ว อีกทั้งจะต้องเป็นตั๋วซึ่งออกโดยองค์กรอย่างเป็นทางการของสำนักผานหลงเท่านั้นและมีจำนวนจำกัด
ในตลาดการค้าขนาดใหญ่แบบนี้ ไม่แน่ว่าอาจมีตัวยาล้ำค่าและสมบัติอยู่
โล่เฉินตัดสินใจที่จะลองไปดู
“ไต้ซือ อย่างนั้นพวกเราถือว่าตกลงกันแล้ว หลังจากนี้สามวัน ในวันที่ 12 กันยายน ฉันจะรอคุณที่ชิงเฟิงซานจวน ถึงตอนนั้นพวกเราไปด้วยกัน”
“ได้ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันไปก่อน”
“รอสักครู่ไต้ซือ” เสี้ยงฉ่ายเอ่อร้องเรียก สีหน้าประดักประเดิดเล็กน้อย เธอเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าไต้ซือยังจำได้หรือไม่ว่าก่อนหน้านี้คุณรับปากว่าจะแก้ไขแนวทาง《วิชาฝึกจิตตระกูลเสี้ยง》ให้พวกเรา ไม่ทราบว่ามีผลลัพธ์อะไรบ้างหรือไม่?”
โล่เฉินนึกได้ขึ้นมา เขาเอ่ยหัวเราะ “ขอโทษด้วย ช่วงนี้มีเรื่องมากมาย ฉันลืมไป”
“เรื่องของตระกูลเสี้ยงเรา ทำไมนายถึงไม่สนใจสักนิด” เสี้ยงเหยาเหยาไม่พอใจอย่างยิ่ง
โล่เฉินและเสี้ยงฉ่ายเอ่อตอนนี้มองข้ามเธอไปโดยสิ้นเชิง
“ไต้ซือ ฉันแค่ลองถามดู เรื่องนี้ไม่รีบร้อน”
“สำหรับฉันแล้วนี่เป็นแค่ธุระหนึ่งชั่วโมง หลังจากนี้สามวันฉันจะเอาไปให้เธอที่ชิงเฟิงซานจวน”
เสี้ยงฉ่ายเอ่อยินดีอย่างยิ่ง
หลังออกจากตึงซิงหยุนอย่างเงียบ ๆ โล่เฉินก็กลับบ้าน
โล่เฉินวางของขวัญจากหลินชิงอี๋เอาไว้บนโต๊ะ และไปที่ห้องน้ำด้วยความรีบร้อน
“เอี๊ยด”
จู่ๆ ประตูห้องนอนก็เปิดออก
หานหยู่ถิงแอบยิ่งออกมา จากนั้นจึงมองไปที่ห้องน้ำแล้วจ้องมองกล่องของขวัญบนโต๊ะ
“ของขวัญใครให้มากัน? หรือว่าเขาซื้อมาให้พี่สาว”
หานหยู่ถิงได้ยินเสียง ROV ดังขึ้นจากห้องน้ำ เห็นชัดว่าโล่เฉินกำลังทำธุระหนักอยู่ เธอเปิดกล่องของขวัญอย่างไม่รีบร้อน
“นกกระเรียนกระดาษหนึ่งพันตัว กับกระดาษหนึ่งแผ่น”
เมื่อเปิดโน้ตกระดาษออก บนนั้นเขียนเอาไว้ว่า:
พี่โล่ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตฉัน แต่เดิมฉันคิดว่าฉันกำลังจะตายแล้ว เป็นคุณที่ให้ชีวิตใหม่กับฉัน นกกระเรียนกระดาษนี้ถูกพับเมื่อฉันอายุ 18 ปี เพื่อเก็บเอาไว้ให้กับสามีในอนาคตของฉัน แต่ว่าคุณฟ่านบอกว่าคุณแต่งงานแล้ว ดังนั้นบุญคุณนี้ฉันจะยังจดจำไว้ ขอให้คุณโปรดรับเอาไว้”
ลายเซ็น: หลิน
หานหยู่ถิงขมวดคิ้วแน่น เธอกัดฟัน “หลิน ไม่ใช่เซี่ย! ดี ไอ้สารเลวนี่อยู่ข้างนอกไม่ได้ผู้หญิงแค่คนเดียว ช่วยชีวิตอีกแล้ว ลูกไม้เดิมๆ เขาไปเก่งกาจขนาดนั้นได้ยังไง! ”
“เสแสร้งเก่งนัก หลอกพ่อแม่และพี่สาวได้สนิท มีแค่ฉันเท่านั้นที่รู้ใบหน้าที่แท้จริงของนาย”
“ไม่ได้การ จะต้องทำให้นายรู้สึก”
หานหยู่ถิงกลอกตา จากนั้นก็รีบฉีกข้อความออกเป็นชิ้นๆ แล้วหยิบขวดที่เต็มไปด้วยนกกระเรียนกระดาษและกล่องของขวัญพุ่งเข้าไปในห้อง
สามนาทีต่อมา เธอก็วางกล่องของขวัญกลับเข้าที่เดิม
“ไอ้สารเลว คอยดูเถอะ ครั้งนี้นายเสร็จแน่”
หานหยู่ถิงมีสีหน้าสะใจอย่างยิ่ง ดวงตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์
หลังจากเข้าห้องน้ำ โล่เฉินก็วางกล่องของขวัญไว้ในห้องนอน จากนั้นก็ขับรถไปที่บริษัท
ตอนนี้เขาเป็นเจ้านายแล้ว ดังนั้นจึงไม่สามารถงอมืองอเท้าได้
พริบตาก็มาถึงตอนเย็น
โล่เฉินและหานหยู่เยนเลิกงานและกลับมาที่บ้าน จากนั้นจึงเริ่มล้างผักและทำอาหาร
ระหว่างมื้ออาหาร จู่ๆ หานหยู่ถิงก็ถามขึ้นว่า “พี่สาว เมื่อกี้ฉันเห็นกล่องของขวัญในห้องนอนของพี่ เป็นของขวัญของใครหรือ? ”
“ของฉัน” โล่เฉินตอบแบบไม่ใส่ใจอะไร
“ให้พี่สาวหรือ?”
“เอ่อ ไม่ใช่ มีคนให้ฉันมา”
หานหยู่ถิงแอบหัวเราะ ทุกอย่างเป็นไปตามที่เธอจินตนาการเอาไว้
เธอเอ่ยต่อ “คงไม่ใช่มีผู้หญิงเอามาให้นายหรอกนะ กล่องของขวัญนั่นสวยมาก ผู้ชายคงไม่ใส่ใจขนาดนั้น”
โล่เฉินรู้สึกไม่ถูกต้อง เขาเอ่ยถาม “นังหนู เล่นลูกไม้อะไรอีก?”
“ฉันก็แค่ลองถามดู ดูท่าทางนายสิ เป็นของขวัญจากผู้หญิงจริงๆ ด้วย” หานหยู่ถิงมีสีหน้าไม่เป็นมิตร เธอมองไปที่หลิวเซียงหลัน “แม่ แม่ดูเขาสิ แอบไปเด็ดดอกไม้ข้างนอกบ้าน ไม่เห็นพี่สาวอยู่ในสายตาเลยสักนิด!”
หลิวเซียงหลันสีหน้าเครียด เธอวางตะเกียบลงและถามว่า “โล่เฉิน นายซื่อสัตย์หน่อย บอกมาตามตรง ว่าเป็นผู้หญิงที่ไหน มีความสัมพันธ์อะไรกับนาย ให้ของขวัญอะไรมา? ”
“ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันทั้งนั้น แค่เคยพบกันครั้งหนึ่ง ช่วยเหลือไปหน่อยดังนั้นจึงส่งของขวัญขอบคุณมาให้ ส่วนของขวัญเป็นอะไร ผมเองก็ไม่รู้ ยังไม่ได้เปิดดู”
หานหยู่ถิงลุกขึ้น เธอเดินไปที่ห้องนอน มุมปากพึมพำ: “อย่างนั้นก็อย่ามัวแต่เก็บเอาไว้อยู่เลย มาดูหน่อยเถอะว่านี่คืออะไร อย่าได้เป็นจดหมายรักกับผู้หญิงคนนั้นเชียวล่ะ”
คอมเม้นต์