จักรพรรดิผู้ฝึกอายุห้าพันปี – ตอนที่ 117 สุดที่จะทนได้
ไม้เน่า?
ยากจะประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่?
หยุดอยู่ตรงนี้?
สามคำนี้ล้วนโจมตีจางหลิ่งเข้าอย่างหนักจนสีหน้าเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ ถูกไอ้เด็กหน้าขนคนหนึ่งเยาะเย้ย ในฐานะนักพรตที่กล้าแกร่ง หากเขาไม่ลงมือสั่งสอน อย่างนั้นก็คงต้องเป็นไอ้ขี้ขลาดแล้ว
“ดีดีดี”
จางหลิ่งหัวเราะอย่างเกรี้ยวกราด “เด็กสมัยนี้ ไร้ความกลัวจริงๆ คิดว่าฉินต้าวจื่อก้มหัวให้นายแล้วจะกล้ามาทำให้ฉันอับอายได้งั้นหรือ”
วึงวึงวึง
เสียงลมคำรามดังขึ้น สายตาที่แต่เดิมคมกริบราวกับใบมีดพุ่งเข้ามา
“จางหลิ่ง นายกล้าบังอาจ”
ฉินต้าวจื่อลุกขึ้น ตั้งท่าโต้ตอบ
หญิงงามลุกขึ้นมาคลี่คลายบรรยากาศอีกครั้ง เธอเอ่ย “ไต้ซือทั้งสองได้โปรดระงับโทสะลงก่อน ใกล้ได้เวลาแล้ว ได้ยินว่าเจ้าของโรงน้ำชากำลังจะส่งของเล่นโบราณมา ต้องการให้พวกเราได้ชื่นชมมัน หากสวนถูกทำลายลงไปแบบนี้ก็จะทำลายบรรยากาศความสง่างามไปด้วย”
จางหลิ่งขมวดคิ้ว เขาแอบเหลือบไปมองหลี่เซียนจือที่กำลังดื่มชาและแค่นเสียงขึ้น “ฉันรู้แล้ว รอให้ออกจากโรงน้ำชาเมื่อเรา พวกเราค่อยสู้กันสักตั้ง”
“กลัวนายจะแย่แล้ว”
ฉินต้าวจื่อไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย
ไม่ต้องเอ่ยเรื่องที่พลังของเขาเหนือกว่าจางหลิ่ง ต่อให้เขาต่ำกว่าก็ยังคงมีโล่เฉินอยู่
ปรมาจารย์บู๊ที่แข็งแกร่ง แค่เพียงนิ้วเดียว ก็ฆ่าจางหลิ่งได้แล้ว
คลี่คลายสถานการณ์สองครั้ง โล่เฉินรู้สึกดีกับสาวสวยอยู่บ้าง
เขายกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่ม “ช่วงนี้ไม่ต้องฝึกฝนแล้ว ไม่งั้นจะทำร้ายรากฐาน”
“หือ?” สาวสวยหันมองมา
โล่เฉินกล่าวต่อ “ในช่วงสิบวันถึงครึ่งเดือนนี้ ทุกครั้งที่ฝึกฝนพลังจิตก็มักจะรู้สึกปวดหัว บางครั้งตอนเที่ยงคืนก็เจ็บปวดที่หัวใจขึ้นมา เหงื่อออกทั่วร่างกาย รู้สึกเหมือนไม่มีเรี่ยวแรงใช่ไหม”
สาวสวยตื่นตะลึง
เธอมีอาการนี้จริงๆ อีกทั้งยังสร้างความทุกข์ทรมานอย่างมาก แต่เดิมเธอคิดว่าเป็นโรคทางกายแต่เมื่อไปตรวจสุขภาพที่รพ.กลับพบว่าตนสุขภาพดีมาก
เธอไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครทั้งสิ้น
ตอนนี้ กลับถูกพูดออกมาในที่สาธารณะ
“คุณรู้ได้อย่างไร?”
“แค่เห็นก็รู้แล้ว”
โล่เฉินอธิบาย “ในฐานะนักพรต การฝึกฝนพลังจิตนั้นเชื่อมโยงกับสภาวะของจิตใจ เมื่ออารมณ์ยังไม่เข้าสู่จุดมาตรฐาน พลังจิตย่อมไม่อาจทะลวงไปได้ นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมตอนนี้เวลาคุณฝึกฝนพลังกลับรู้สึกเจ็บปวดที่ศีรษะขึ้นมา”
“คุณลองคิดดู ถุงหนึ่งถึงเห็นชัดๆ ว่าบรรจุได้เพียงข้าวถังหนึ่ง แต่คุณกลับยังฝืนยัดมันลงไป ถุงนั้นย่อมต้องโป่งออกหรือแม้กระทั่งอาจระเบิดออกด้วยซ้ำ”
“หากคุณยังฝึกฝนต่อไป อาการป่วยก็จะยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ผลลัพธ์ที่น่ากลัวที่สุดคือสมองระเบิด ตายอย่างไม่ต้องสงสัย”
ในใจของหญิงสาวสั่นสะท้าน
พูดให้ถูกก็คือ สีหน้าของนักพรตทั้งหมดในงานล้วนหนักอึ้ง
“น่าหัวเราะเยาะสิ้นดี”
จางหลิ่งเย้ยหยัน ไม่เชื่อแม้แต่น้อย “เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม พูดจาบ้าบออะไร ฝึกฝนพลังจิตเกี่ยวข้องกับสภาวะจิตใจยังไงกัน นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินเรื่องพวกนี้ด้วยซ้ำ”
“นั่นเป็นเพราะนายสายตาคับแคบเกินไป!”
ประโยคเดียว ทำเอาใบหน้าจางหลิ่งถึงกับเปลี่ยนเป็นสีม่วง
โล่เฉินเอ่ยอธิบายขึ้นเอง “ทำไมนักพรตผู้แข็งแกร่งถึงมักจะแก่เฒ่า นั่นก็เพราะหลายปีผ่านไป มีประสบการณ์มากขึ้น สภาวะจิตใจก้าวผ่านไปสู่จุดใหม่ที่สูงขึ้น ดังนั้นถึงได้สามารถฝึกฝนขึ้นไปให้สูงขึ้นได้”
“ทำไมนักพรตถึงได้หายาก?สิ่งที่ยากไม่ใช่การฝึกฝนพลังจิต แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสภาวะจิตใจ ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการฝึกฝนขัดเกลา”
“เมื่อกี้ที่ฉันบอกว่ามีใครบางคนยากที่จะประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้ นั่นเป็นเพราะเขาทะนงตนเกินไป สายตาคับแคบ ขี้หงุดหงิด ทะเยอทะยาน คนแบบนี้จะมีโอกาสได้เดินตามเส้นทางอันยิ่งใหญ่ได้ยังไงกัน จะมีก็เป็นได้แค่เพียงบันไดให้ผู้อื่นฝึกฝนก้าวขึ้นไปเท่านั้น!”
บูม
จางหลิ่งสุดที่จะทนได้อีกต่อไป
ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก หลี่เซียนจือก็เอ่ยเสียงเคร่งขึ้น “น้องชายพูดไม่ผิด จางไต้ซือ สภาวะจิตใจของคุณแย่ไปหน่อย ยังต้องขัดเกลาให้มากขึ้น”
“นาย!”
ใบหน้าของจางหลิ่งกระตุก ลึกลงไปในดวงตามีความเกรงกลัว
หลี่เซียนจือ แข็งแกร่งอย่างยิ่ง
ในเวลานั้นเอง สาวงามก็ถามขึ้นว่า “น้องชาย ฉันคิดว่าที่คุณพูดมีเหตุผล ฉันควรจะต้องปรับปรุงสภาวะจิตใจอย่างไร?”
“ลดทัศนคติลง ปฏิบัติต่อตนเองเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ออกท่องเดินทาง รับรู้ความคิดของมนุษย์ทุกชนิด ให้ดีที่สุดคือการลงโทษคนชั่วเสริมสร้างความดีมีคุณธรรม แบบนี้สภาวะจิตใจย่อมสูงขึ้นไปด้วย”
ฉินต้าวจื่อตัวสั่นสะท้าน
เขารู้สึกกระจ่างขึ้นมาทันที
แต่ไหนแต่ไรมาเขาล้วนเอาแต่คิดมาตลอดว่าตนเองเป็นผู้ฝึกตน เชื่อว่าตนไม่ใช่มนุษย์ธรรมทั่วไป ดังนั้นเขาจึงหลีกเลี่ยงทางโลกเพื่อปลูกฝังคุณสมบัติที่ไม่ธรรมดานี้ แต่ผลที่ได้กลับกลับกัน
อันที่จริง นี่ถือเป็นปมอย่างหนึ่งของนักพรตทั้งหมดด้วย
และยังเป็นหนึ่งในเหตุผลที่นักพรตหาได้ยาก
“ที่แท้เป็นแบบนี้เอง!นายท่านยิ่งใหญ่ทรงพลัง แต่กลับแต่งงานกับคุณหนูตระกูลเล็กๆ ตระกูลหนึ่งนเมืองเจียง อีกทั้งยังต้องทนรับความอับอาย ถูกทั้งเมืองเจียงคิดไปว่าเป็นเขยขยะ…”
ฉินต้าวจื่อเคารพนับถืออย่างยิ่ง
เขากราบบูชาโล่เฉินสักสามครั้งโดยไม่ลังเล ในเวลานี้ เขาชื่นชมอย่างไร้ข้อแม้แล้ว
การเคลื่อนไหว นี้ทำให้ทุกคนตกใจอีกครั้ง
สีหน้าของจางหลิ่ง ดำคล้ำราวกับน้ำหมึก
“น้อบรับคำสอนแล้ว” หญิงงามประสานมือคำนับ
หลี่เซียนจือเองก็พยักหน้าอย่างเงียบๆ
ส่วนคนอื่นๆ บ้างก็มีสีหน้าครุ่นคิด บ้างก็ดูถูก ในขณะที่บางคนก็มุ่งอยู่กับน้ำชา ราวกับว่าที่มาก็แค่เพื่อดื่มชมเท่านั้น”
“ไต้ซือทั้งหลาย”
ลู่เฟิงกลับมาอีกครั้ง
คราวนี้ด้านหลังของเขาตามมาด้วยกลุ่มคนทั้งชายและหญิง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ในมือของพวกเขาประคองของโบราณเอาไว้
งานชมของโบราณ
“ไต้ซือทุกท่าน ลำดับขั้นตอนทุกท่านคงทราบดี ผมจึงไม่พูดมากอีกต่อไป” ลู่เฟิงเอ่ยเสร็จก็หันหลังกลับไปพูดขึ้น “ทำตามลำดับขั้น เดินขึ้นไปให้เหล่าไต้ซือได้ชมมัน”
ฉินต้าวจื่อกลัวว่าโล่เฉินไม่เข้าใจ เขาเข้าไปเอ่ยกระซิบ “ไต้ซือ พวกเรามักจัดงานเลี้ยงในโรงน้ำชาตระกูลลู่ ดังนั้นเพื่อเพิ่มกิจกรรมขึ้นสักหน่อย จึงเกิดเป็นงานชมของโบราณขึ้นมา บางครั้งก็โชคดี ได้เจอกับสมบัติอีกด้วย”
“ไม่เลว”
โล่เฉินไม่ได้สนใจอะไรมากนักและยกถ้วยชาขึ้นให้หลี่เซียนจือ
ฝ่ายหลังก็ตอบรับเช่นกัน
ที่แรกก็คือราชวงศ์ฮั่น มันเป็นภาชนะที่ยาวและสี่เหลี่ยมจัตุรัสอยู่ในมือของเขา มันใหญ่และหนักมาก มันง่ายมากและบางส่วนไม่สมบูรณ์ ดูเหมือนเป็นมรดกทางวัฒนธรรม
“นี่น่าจะเป็นรางสำหรับวัว”
“ฉันก็คิดเช่นนั้น นี่น่าจะเป็นมรดกทางวัฒนธรรมในราชวงศ์ซ่ง อย่างที่เราทุกคนทราบกันดีว่าวัวไม่อาจถูกฆ่าในราชวงศ์ซ่งได้ การฆ่าวัวมีความผิดนั่นเพราะวัวเป็นแรงงานที่ขาดแคลน”
“ดังนั้น วัวจึงได้รับการดูแลอย่างดี รางเองก็ย่อมถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษด้วย”
เหล่าไต้ซือเอ่ยขึ้นมาทีละคนๆ จนกระทั่งมีคนหนึ่งตัดสิน “เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ดี แต่ถ้าจะพูดถึงคุณค่า ไม่ได้มีคุณค่ายิ่งใหญ่อะไร ต้องดูว่าคุณรวยหรือไม่ สามารถหาได้ในงานประมูล ใช้เงินสักหน่อยซื้อมันมา!”
“เรียนถามไต้ซือ ราคาประเมินคือเท่าไร?” ชายร่างใหญ่ถามอย่างตื่นเต้น
“ถ้าประมูล ราคาขั้นต่ำสามารถกำหนดได้ระหว่างหนึ่งล้านถึงสองล้าน แต่จะประมูลได้เท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับตัวนายแล้ว”
“ขอบคุณไต้ซืออย่างยิ่ง”
ชายร่างใหญ่จากไป จากนั้นจึงเป็นคนที่สองเข้ามา
ไปไปมามา ไม่มีอะไรสะดุดตา
เมื่อมาถึงคนที่เก้า โล่เฉินคิ้วก็กระตุก
“เครื่องราง”
ทันใดนั้น จางหลิ่งก็อุทานออกมา
“รีบไปมาเอามา ให้ฉันดูหน่อย”
มันเป็นแจกันศิลาดลชิ้นหนึ่ง มีกลิ่นอายลึกลับแผ่วเบาแผ่ซ่านออกมา คนธรรมดาทั่วไปไม่อาจมองเห็นได้ แต่ในฐานะผู้ฝึกฝน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักพรตที่มีพลังจิตแข็งแกร่งแค่เหลือบมองก็สามารถมองเห็นสิ่งพิเศษได้ในพริบตา
ไต้ซือหลายคนรุมล้อมเข้าไป และพูดคุยกันไม่หยุด
ในที่สุด จางหลิ่งก็มีท่าทีราวกับไต้ซือคนใหญ่คนโต เขาหรี่ตาและกล่าวว่า “มันเป็นเครื่องรางชิ้นหนึ่ง แต่ประโยชน์การใช้งานกลับยังไม่ชัดเจนนัก นี่ยิ่งบ่งบอกถึงความลึกลับของเครื่องรางชนิดนี้ แจกันศิลาดลนี่ฉันเขา ไหนลองบอกมาว่านายเรียกเท่าไหร่?”
“ไต้ซือ ฉันขาดแคลนเงิน” หญิงสาวในวัยยี่สิบของเธอพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“พูดมาพูดมาว่า อยากได้เท่าไหร่”
“หนึ่งแสนเป็นไปได้ไหม?”
หญิงสาวถามเสียงอ่อน เมื่อเห็นจางหลิ่งไม่พูดจา เธอก็รีบชูมือออกไป “ไต้ซือ ห้าหมื่น ห้าหมื่นได้ไหม?”
“ฮ่าฮ่าฮ่าหนังหนู เธอต้องรู้ว่าเครื่องรางเป็นของล้ำค่า อย่าว่าแต่ห้าหมื่นเลย ต่อให้เป็นห้าแสน ห้าล้านฉันก็ได้เปรียบ”
“อะไรนะ?” หญิงสาวมีสีหน้าไม่อยากเชื่อ
จางหลิ่งเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึมอีกครั้งเขาเอ่ย “แต่ว่า ประโยชน์ของเครื่องรางนี้ยังไม่แน่ชัด บางทีอาจเป็นแค่เพียงเครื่องรางทั่วไป ยังมีความเสี่ยงอยู่มาก ดังนั้นเอางี้ สองแสนแล้วกัน ฉันซื้อ”
หญิงสาวคนนั้นตื่นเต้นสุดขีด เธอไม่คาดหวังถึงห้าล้าน แค่สองแสนก็เกินความคาดหมายไปแล้ว
ในที่สุดเธอก็สามารถช่วยน้องชายได้แล้ว
แต่ในขณะที่หญิงสาวกำลังร้องไห้ด้วยความดีใจ ไม่ไกลก็มีเสียงคนเยาะเย้ยดังขึ้น “ช่างมีตาหามีแววจริงๆ ระดับเท่านี้ยังกล้าเรียกว่าไต้ซือ”
วาบ
ผู้คนหันไปมองยังต้นเสียง และคนที่เอ่ยขึ้นก็คือโล่เฉินนั่นเอง
“เจ้าหนุ่ม!”
ยันต์แผ่นหนึ่งของจางหลิ่งถูกส่งออกไป ก่อนจะทำลายหินก้อนใหญ่ตรงหน้าออกเป็นเสี่ยงๆ
น้ำเสียงของเขาดังลั่นราวกับฟ้าร้อง รังสีฆ่าฟันปกคลุม “คิดว่าฉันไม่เอาเรื่องแล้วจริงๆ หรือไงถึงได้มาทำให้ฉันอับอายขายหน้าอยู่ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า วันนี้ ฉันจะฆ่านายให้ได้!”
“ฆ่าฉันเอาไว้ก่อนเถอะ นายใช้เงินสองแสนซื้อแจกันกระเบื้องธรรมดาๆ มา แถมยังคิดไปเองอีกว่าตนเองมีลาภแล้ว ช่างทำให้เสียหน้านักพรตจริงๆ !”
โล่เฉินไม่ได้ยืดเยื้อต่อ เขาหันไปเอ่ย “ฉินต้าวจื่อ เผาที่จุดศูนย์กลางด้านล่างของแจกันศิลาดล รวมถึงฐานของแจกันขวดนั้น”
“เอ๋?ขอรับ”
หลังจากตะลึงไปชั่ววินาที ฉินต้าวจื่อก็ลุกขึ้นและเดินไป
จางหลิ่งเยาะเย้ย “ฉันอยากจะเห็นนัก ว่านายจะมาไม้ไหนอีก แต่ว่า ต่อให้นายจะดิ้นรนยังไง นายก็อยากจะหลีกหนีความตายได้อยู่ดี ต่อให้เป็นฉินต้าวจื่อก็ไม่สามารถช่วยนายได้”
“พูดพร่ำอะไร ส่งมาให้ฉัน”
ฉินต้าวจื่อหยิบแจกันศิลาดลมา ในมือมีดวงไฟปรากฏขึ้น
ตามคำบอกของโล่เฉิน เขาเผาไปบนก้นขวดฐานของแจกัน
สิ่งที่น่าตื่นตะลึงปรากฏขึ้นทันที แจกันศิลาดลที่แต่เดิมส่องสว่างสดใสราวกับถูกลอกสีสันสดใสออกไป และกลายเป็นเพียงกระเบื้องที่มีลักษณะบ้านๆ ทั่วไป
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ไม่มีกลิ่นอายลึกลับอยู่แล้ว
ไม่ต้องสงสัยอีกต่อไป นี่เป็นเพียงแจกันกระเบื้องธรรมดาๆ อันหนึ่ง
ฝูงชนตะลึงงันไป
“ฮ่าฮ่าฮ่า จางหลิ่ง สมกับเป็นนายจริงๆ ใช้เงินสองแสนเพื่อซื้อกระเบื้องธรรมดาๆ นายรวยจริงๆ พวกเราสู้ไม่ไหว”
ฉินต้าวจื่อโยนแจกันกระเบื้องให้กับจางหลิ่ง ในขณะที่ฝ่ายหลังเขวี้ยงมันไปที่พื้นอย่างแรง
เพล้ง
แจกันกระเบื้องแตกออกเป็นเสี่ยง
“สารเลว แกกล้ามาหลอกฉัน ตายซะเถอะ!”
จางหลิ่งโกรธจนขาดสติ เขาใช้คาถา “กระบี่ปราณ” ออกมาทันที
ชริ้งชริ้งชริ้ง
กระบี่ปราณเต็มท้องอากาศพุ่งเข้าแทงหญิงสาวผู้บอบบาง
นี่คิดจะทำให้เธอพรุนเป็นรังผึ้ง
“ไม่ได้การ”
ใบหน้าของโล่เฉินเปลี่ยนไปอย่างมาก
แต่เขายังอยู่ในระยะอ่อนแอ ไม่อาจลงมือได้เลย
ในขณะเดียวกันฉินต้าวจื่อก็เข้าไปหยุดไว้ไม่ทันเช่นกัน
ในช่วงเวลาวิกฤติ ตรงหน้าของหญิงสาวก็ปรากฏเงาร่างสูงโปร่งขึ้นมา พร้อมกับน้ำเสียงันเย็นชาทรงพลัง “ฆ่าฟันผู้บริสุทธิ์ นายกล้าดีเสียจริง”
บูม!
หนึ่งฝ่ามือ
สลายกระบี่ปราณในอากาศอย่างราบคาบ
คอมเม้นต์