Monster Factory – ตอนที่ 17 คนที่ไม่เข้าใจ
ตอนที่ 17 คนที่ไม่เข้าใจ
“ขอโทษนะครับ ที่นี่มีสีย้อมผมขายไหม”
“ครับ ครับ มีครับ” เมื่อมีคนมาซื้อของ เจ้าของร้านก็ขว้างไฟในมือทิ้งแล้ววิ่งมา
“คุณต้องการสีอะไร ราคาเท่าไหร่ครับ?”
“ผมอยากได้แบบที่ราคาไม่แพงแล้วก็สีไม่ซีดเร็ว” เย่ชิงไม่ค่อยรู้เรื่องสินค้าเกี่ยวกับเส้นผมมากนัก “ผมอยากให้เป็นสีดํามากเท่าที่จะดําได้เลยครับ ไม่รู้ว่ามันเรียกอะไร แบบว่ามันเป็นสีผิวของคนผิวดํา”
“คุณผสมมันได้นะครับ คุณเป็นเจ้าของร้านทําผมแต่คุณไม่รู้วิธีผสมสีได้ยังไงเนี่ย” เย่ชิงส่ายหัว “คุณผสมสีแล้วก็บอกอัตราส่วนมาให้ผมหน่อยละกัน”
เจ้าของร้านดีดนิ้วราวกับว่ากําลังพูดว่า ”เข้าใจแล้วครับ”
เจ้าของร้านไม่ได้โกหกเลย ไม่นานหลังจากผสมสีสองสีแล้วสีที่เย่ชิงต้องการก็ถูกสร้างขึ้น เย่ชิงเอานิ้วแตะดู มันดูเหมือนสีผิวของคนผิวดําในโทรทัศน์จริงๆ เย่ชิงซื้อทั้งสามสีที่ต้องเอามาผสมสีละ 50 ชิ้น มีดโกนไฟฟ้าขนาดใหญ่สองสามชุดและเสื้อผ้าที่ออกแบบมาพิเศษสําหรับคนอ้วนมาก
เมื่อเย่ชิงกลับมาสิ่งแรกที่เขาทําคือยื่นมีดโกนให้คนงานและบอก ให้พวกมันโกนขนออก
คนงานมีความสูงมากกว่า 1.9 เมตร หากไม่ใช่เพราะรถตู้เชิงพาณิชย์คันใหญ่พอและไม่มีเบาะหลังก็คงไม่มีทางที่ทั้งสองจะนั่งอยู่ในรถได้พอดี ในขณะที่พวกมันโกนขนอยู่เย่ชิงก็เอาสูตรออกมา และผสมสีย้อมโดยใช้ตะเกียบตามอัตราส่วน เย่ชิงใช้สีย้อมผมทาคนงานทั้งสองตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ที่นี้พวกมันก็ดูไม่เหมือนมอนสเตอร์อีกต่อไป แต่กลับดูแล้วเหมือนมนุษย์ถ้ำผิวดําอย่างไม่น่าเชื่อ
“เสร็จแล้ว!” เย่ชิงวางแปรงลงในขณะที่มองดูงาน ศิลปะที่เขาพออกพอใจ
ข้อดีของสีย้อมนี้คือมันไม่ถูกน้ําล้างออก ตราบใดที่ทั้งสองตัวได้รับการทาสีสองครั้งต่อเดือน เย่ชิงก็มั่นใจว่าคนอื่นๆจะคิดว่าพวกมันเป็นพี่น้องจากแอฟริกา ไม่มีทางที่ใครจะคิดว่าเป็นมอนสเตอร์ ส่วนรูปลักษณ์ของพวกมันนั้น มีคนที่หน้าตาน่าเกลียดทั่วไปอยู่แล้ว คนในบางประเทศโดยเฉลี่ยแล้วอาจหน้าตาเลวร้ายยิ่งกว่าสองตัวนี้ ด้วยซ้ำ
เมื่อสีย้อมแห้งลงเชิงก็ส่งเสื้อผ้าให้พวกมันตัวละชุด แม้ว่าขนาดของมันจะใหญ่มากเป็นพิเศษแต่เมื่อทั้งสองตัวสวมแล้ว มันก็แนบไปกับร่างกาย แขนขาที่หนาและหน้าอกที่แข็งเหมือนแผ่นเหล็กของพวกมันดูเด่นกว่าที่เคย เขาเตรียมรองเท้าบาสเก็ตบอลมืออาชีพไซส์ 15 ไว้ให้แต่ก็ไม่ค่อยพอดีนัก ตบท้ายด้วยแว่นกัน แดด 2 คู่ เมื่อแว่นกันแดดปิดดวงตาที่ขุ่นมัวของพวกมัน แม้แต่เย่ชิงก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสองตัวนี้เป็นมอนสเตอร์จริงๆ
ดูเผินๆแล้วพวกมันเหมือนนักบาส NBA ผิวดํา ต่อหน้าเจ้าพวกนี้แล้วแม้ว่าจะเป็นอันธพาลที่ชั่วร้ายก็ยังต้องคิดแล้วคิดอีกก่อนจะทําอะไร นี่คือความแตกต่างด้านรูปร่างและพละกําลัง เหมือนกับที่ไม่มีแกะตัวไหนจะกล้ามาสู้กับหมาป่า แต่จริงๆแล้วพว กมันเป็นเสือที่กําลังโกรธเสียมากกว่า เสือที่ล้อมรอบไปด้วยฝูงแกะ
“สมบูรณ์แบบ!” เย่ชิงถอนหายใจ มีฮัลค์หนึ่งและฮัลค์สองมาด้วยจะต้องกลัวอะไรอีก? แม้ว่าสงครามโลกครั้งที่สามจะเกิดขึ้นเขาก็ไม่กังวล
เวลา 19.00 น. แสงไฟสว่างไสวไปทั่วถนนเหลียงเจียง เย่ชิงจอดรถตู้ในลานจอดรถใต้ดินของเทียนหรันจู ถึงแม้ว่าเทียนหรันจูจะไม่ใช่ร้านอาหารชั้นนําแต่ก็มีประวัติเกี่ยวกับอาหารทะเลหายากมายาวนาน ตอนนี้ที่จอดรถใกล้เต็มแล้ว ในบรรดารถที่จอดอยู่นั้นจะขาดรถหรูราคาหลายล้านหยวนไปไม่ได้เลย
รถจากัวร์สีดําขับตัดหน้าเยู่ชิง เมื่อมองผ่านกระจกหน้าต่างรถที่เลื่อนลงก็เห็นชายหนุ่มหน้าสิวที่ใช้มือข้างเดียววางบนพวงมาลัยและอีกข้างอยู่ที่อื่น
มือขวาที่ค้างเติ่งอยู่นั้นกําลังกอดสาวสวยผมยาวประบ่าที่เอามือปิดปากหัวเราะคิกคัก คนขับมองเชิงอย่างอวดๆแล้วเร่งความเร็วผ่านไป
เมื่อล็อครถแล้วเย่ชิงก็มองกุญแจรถที่ดูเหมือนของเก่าในมือแล้วก็มองโฆษณาทั้งหมดบนรถตู้เชิงพาณิชย์ จากนั้นก็เห็นรอยบุบและรอยขีดข่วนที่ยังไม่ได้ซ่อมบนกันชน ความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงปะทุขึ้นในใจของเยู่ชิง
รถยนต์ ผู้หญิง เรือยอชและเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวจะเป็นของเขา แน่ถ้าเขาพยายาม คนงานทั้งสองตัวในรถตู้ทําให้เขามั่นใจ
มุ่งหน้าไปหาเงินมาซะ!
เย่ชิงก้าวเท้าเข้าสู่เทียนหรันจูด้วยใจที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“สวัสดีค่ะ จองไว้หรือยังคะ?” พนักงานต้อนรับคนสวยสวมก เพ้าสีแดงทักทายอย่างอบอุ่น
“ห้องหมิงเยว่อยู่ชั้นไหนครับ?”
“โปรดตามฉันมาค่ะ” เพราะเหตุใดไม่ทราบพนักงานต้อนรับคน นี้ไม่ได้สนใจแขกคนอื่นๆแต่กลับนํามาทางเย่ชิงไปเป็นการส่วนตัว ระหว่างทางเธอไม่เพียงแสดงความเคารพนอบน้อม แต่ยังรีบไปทําสิ่งเล็กๆน้อยๆเช่นกดปุ่มลิฟต์ให้
ชั้นสามตกแต่งด้วยศาลาไม้โบราณ หลิวเฟิ่งจีนและซางฉิงนั่งบนเก้าอี้ไม้สีแดงกระซิบกันอยู่ รอบๆตัวพวกเขามีอาหารตาอยู่มากมาย ซางฉิงจ่ายเงินจํานวนมากจ้างสาวๆเหล่านี้มาจากติงฉางคลับเฮาส์
เมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเธอ หลิวเพิ่งจินก็หน้าแดงก่ํา ตรงกันข้ามกับ หัวหน้าของเจียงชานการก่อสร้าง ซางฉิงรู้สึกตื่นเต้นด้วยเหตุผลแปลกๆถึงขนาดที่เวลาพวกเขาพูดกันแม้แต่ผนังของห้องก็กันเสียงไม่ได้
ตอนนี้การเปลี่ยนแปลงแผนการของจงหยุนทําให้ธุรกิจหลายอย่างที่เกี่ยวกับวัสดุก่อสร้างสร้างรายได้มหาศาล แต่เดิมซางฉิงควรรวมอยู่ในรายการนี้ด้วย แต่เขาไม่คาดคิดว่าจะมีใครบางคนโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้แล้วก็ขโมยเอาข้อตกลงไปจากเขา
10 ล้านหยวน! เพื่อข้อตกลงนี้ซางฉิงไม่เพียงจ้างคนงานเพิ่มขึ้น 50 คนเท่านั้น แต่เขายังซื้อเครื่องสกัดหินอ่อนและเครื่องตัดหินอื่นๆมาใหม่ ทุกอย่างพร้อมแล้วยกเว้นในตอนสุดท้ายที่หลิวเพิ่งจินโทรมาบอกเขาว่าหัวหน้าตัดสินใจเป็นการส่วนตัวที่จะ ทําข้อตกลงเรื่องขอบคันหินกับคนอื่น
ใครกันที่พยายามขโมยธุรกิจของฉัน?
ในฐานะที่เป็นคนมีชื่อเสียงรู้จักไปทั่วและเจ้าของธุรกิจที่มีลูกจ้าง 200 คน แน่นอนว่าซางฉิงจะต้องโกรธ เจียงชานการก่อสร้างเป็นโรงงานที่ใหญ่ที่สุดในจงหยุน เขาเป็นคนรังแกคนอื่นมาตลอด แล้วกลายเป็นเขาเองที่โดนรังแกตั้งแต่เมื่อไหร่?
แต่อย่างไรก็ตามแม้ซางฉิงจะโมโห เขาก็ยังมีความอดทนที่จะถามหาสาเหตุ จากนั้นเขาก็ถึงกับเหวอ ..
ไม่ใช่คนที่ทําธุรกิจแบบเดียวกัน ไม่ได้มีคนขโมยธุรกิจขอบคันหินของเขา แต่เป็นใครบางคนที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ที่เขาไม่เคยได้ยิน นี่มันเป็นการแกะสลักแบบพิเศษในราคาที่ฆ่าตัวตายชัดๆ นี่คือทักษะที่ช่วยในการแกะสลักรูปภาพที่มีรายละเอียดลงบนขอบคันหิน
ตอนแรกซางฉิงยังสงสัยอยู่ว่าจะมีใครในจงหยุนที่รู้เรื่องหินมากกว่าเขาอีก ขอบคันหินเหล่านี้ไม่ได้เป็นทรัพยากรเชิงกลยุทธ์ดังนั้นพวกมันจึงถูกวางไว้ที่ลานของสํานักงานการก่อสร้างเมือง เมื่อซางนิ่งไปดูกับตาเขาแทบไม่อยากเชื่อ
จากการมองเพียงครั้งเดียว ครั้งเดียวเท่านั้น ซางฉิงก็สติหลุดอย่างสมบูรณ์
การแกะสลักหิน! ประติมากรรมหิน!
วันนี้ซางฉิงก็ได้เข้าใจในที่สุดว่าการแกะสลักหินที่แท้จริงเป็นอย่างไร
พอพูดถึงความจริงที่น่าเกลียดแล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าความงามที่ไม่มีใครเทียบของศิลปะระดับสุดยอดนี้หินแกะสลักที่โรงงานของเขาผลิตเทียบไม่ได้แม้แต่ขี้เล็บ! มันคือความสิ้นหวังจนแทบหายใจไม่ออก ความห่างชั้น ยิ่งเข้าใจเรื่องธุรกิจการค้าขายมากเท่าใดเขาก็ยิ่ง เข้าใจคุณค่าของงานศิลปะเหล่านี้และเงินจํานวนมหาศาลที่เกี่ยวข้องกับมันมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อผ่านพ้นความช็อคในตอนแรกไปแล้วสิ่งที่เหลืออยู่คือความปรารถนาไม่รู้จบที่อยากจะครอบครองเทคโนโลยีนี้
ถ้า……….. ถ้าฉันมีเทคโนโลยีแบบนี้ ไม่ใช่แค่ในจงหยุนเท่านั้น แต่จะมีใครในมณฑลเจียงหนานกล้ามาแข่งกับฉันเรื่องคุณภาพผลิตภัณฑ์อีกล่ะ?
เสียน้อยเพื่อให้ได้มาก!
ก่อนหน้านี้ซางฉิงอยากจะฆ่าตัวตายเมื่อเขาสูญเสียข้อตกลงยักษ์ใหญ่นั่น แต่ตอนนี้เขาติดอยู่ในความปีติยินดี เมื่อมีเครื่องจักรที่ทันสมัยนี้อยู่ในมือ ขอบคันหินแล้วไง? ข้อตกลงล้านหยวนแล้วไง? ข้อตกลงเรื่องขอบคันหินและวัสดุก่อสร้างจากเมืองใกล้ เคียงทั้งหมดก็จะกลายเป็นของฉันไม่ใช่หรือ?
บรรดาบริษัทไฮเทคที่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีล้ำายุคแบบนี้ย่อมจดสิทธิบัตรเทคโนโลยีนับไม่ถ้วนและมีความแข็งแกร่งอย่างหาตัวจับยาก ทําไมบริษัทพวกนั้นจะต้องมาแข่งขันกับเราที่ขายหินเพื่อหาเลี้ยงชีพ? พวกเขาก็แค่กําลังเปิดตัวเครื่องจักรแกะสลักสมัยใหม่และต้องการทําบางอย่างเพื่อพิสูจน์ความสามารถของมัน ท้ายที่สุดพวกเขาก็เพียงแค่โฆษณาเครื่องจักรใหม่นี้เท่านั้นแหละ ทุกบริษัทก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ? ทันทีที่มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ สิ่งแรกที่พวกเขาทําคือการโฆษณามันนั่นแหละโว้ย แต่ซางฉิงก็ต้องยอมรับว่าโฆษณาของผลิตภัณฑ์นี้ดังเปรี้ยงปร้างจริงๆ
จากการมองเพียงครั้งเดียว ครั้งเดียวเท่านั้น ซางฉิงก็มีแรงกระตุ้นอย่างฉับพลันที่จะครอบครองเครื่องจักรนี้สักเครื่องไม่ว่าราคาจะแพงแค่ไหนก็ตาม
เร็วๆเลย ต้องรีบแล้ว!
ถ้า…. ขอบคันหินชุดนี้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชนแล้ว บริษัทก่อสร้างและพวกคนที่ทําธุรกิจแบบเดียวกัน ในบริเวณใกล้เคียงนี้จะต้องรีบมารุมล้อมเหมือนฝูงผึ้งแล้วโบกแผ่นเช็คในมือไปมา
“ขายให้ผม! ขายให้ผม! ผมจะให้เช็คเปล่า คุณกรอกราคาที่คุณต้องการได้เลย!”
แต่ฉันจะมีโอกาสได้มันมาไหมนะ? เครื่องจักรแบบนี้ช่างมีราคาแพงเกินเหตุจริงๆ และมันคงจะไม่สามารถผลิตออกมาได้ถี่เหมือนถั่วงอกที่งอกออกมาทุกสองสามวันอย่างแน่นอน
เมื่อเล็งเห็นผลประโยชน์ได้อย่างชัดเจนแล้วซางฉิงจะต้องแคร์อะไรอีก เขากลายเป็นเหมือนลูกอมเหนียวๆที่ติดหนึบอยู่กับหลิวเพิ่งจินอย่างไม่ขยับเขยื้อนไปไหน หลิวเพิ่งจินบอกตอนที่โทรมาว่าจะแนะนําหัวหน้าโรงงานคนนี้ให้กับเขา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมบอกซางฉิงว่าเป็นบริษัทไหนที่เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่นี้ ซางฉิงเข้าใจทันทีว่าหลิวเฟิ่งจินต้องการอะไร ตาแก่เจ้าเล่ห์คนนี้แค่จะบอกเป็นนัยว่าข้อตกลงมันยังไม่จบ
อีกฝ่ายเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องมือกล พวกเขาไม่มีทางที่จะสร้างขอบคันหินได้เอง ดังนั้นทุกอย่างก็จะกลับมาที่ขอบคันหินของฉันในที่สุด ตราบใดที่ฉันประจบประแจงเขาสักหน่อย เขาก็จะแนะนำหัวหน้าคนนั้นให้ฉันอย่างแน่นอน และหัวหน้าก็จะซื้อขอบคันหินจากฉัน ซางฉิงยิ้มอย่างเย็นชา ไอ้คนเซ่อที่ไม่รู้ว่าเครื่องแกะสลักหินไฮเทคเป็นอย่างไร ขอบคันหินเหรอ? ขอบคันหินบ้า อะไร! ข้อตกลงล้านหยวนของฉันถูกขโมยไป!
นั่นคือเกียรติยศ! แล้วนั่นก็คือโอกาสของฉันเช่นกัน!
เมื่อถึงเวลาที่ฉันได้พบหัวหน้าคนนั้น ฉันก็จะขอร้องเขาทั้งน้ำตาบอกว่าข้อตกลงนั้นเป็นของฉันตั้งแต่แรก แล้วแกล้งทําเป็นว่าบริษัทของฉันดูแย่กว่าความเป็นจริงเหมือนกับว่าถ้าไม่มีข้อตกลงนี้พวกคนงานก็จะต้องอดอยากแล้วก็บลาๆๆ
จากนั้นหัวหน้าที่เป็นเจ้าของเครื่องจักรล้ำยุคแบบนี้ก็จะโบกมือนิดๆ เมตตาฉันและขายเครื่องจักรสักสองสามเครื่องให้…… ถ้าเป็นแบบนั้นฉันก็คงจะไปถึงจุดที่แม้จะมีคนงานนับ 100 คนก็ยังทํางานไม่ทันสินะ?
แบบนั้นแล้วยังจะต้องการข้อตกลงเรื่องขอบคันหินไปทําไมอีก?
ฉันจะมอบของขวัญเป็นขอบคันหิน 250,000 ชิ้น ให้กับบริษัทของพวกเขาเพื่อชดเชยราคาของเครื่องจักร
แหะๆ~
โชคดีที่หลิวเฟิ่งจินเป็นคนโง่เง่าที่ไม่เข้าใจอะไรไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะฆ่าฉันและฉันก็ต้านทานไม่ได้แน่นอน
สําหรับวัตถุประสงค์ของการประชุมครั้งนี้เรียกได้ว่าซางฉิงต้องจ่ายเงินเป็นจํานวนมากเลยทีเดียว ไม่ต้องพูดถึงเงินที่จ้างนางแบบจากคลับระดับท็อปมา เพียงแค่ปลาเก๋าทะเลจากเวียดนาม เทียนหวั่นจูเรียกก็เก็บเงินจากเขามากกว่า 8,000 หยวนแล้ว
พนักงานเสิร์ฟประจําห้องอาหารทราบจากหูฟังของเธอว่ามีแขก ถามถึงห้องหมิงเยว่และใกล้จะมาถึงที่นี่แล้ว
“ในที่สุดก็มา!” ซางฉิงตัวสั่นสะท้านไม่หยุดและลุกขึ้นจากที่นั่งอ ย่างตื่นเต้น วันนี้เขาตั้งใจแต่งตัวมา เขาสลัดสร้อยทองคําทิ้งทั้งหมด แล้วสวมจี้ห้อยคอรูปพระซึ่งทําให้ดูเป็นผู้ดีมากขึ้น
นี่คือการสร้างความประทับใจที่ดีให้แก่หัวหน้าคนนั้น
คอมเม้นต์