เทพเซียนเจ้านครวิญญาณ [仙墓] – บทที่ 43 โครงร่างมีชีวิต
GS บทที่ 43 โครงร่างมีชีวิต
“ได้ ถ้าอย่างนั้นจงตามข้ามา” เมียวไม่มีทางเลือกจําต้องทําตาม สิ่งที่เขาเป็นกังวลมากที่สุดตอนนี้คือลู่หยุนจะใช้ดาบในมือบั่นชีพจรของตนเอง หรือบั่นคอฉิงฮั่น ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นอย่างหลังน่าจะดีกว่า
“เดี๋ยวเจ้าก็จะได้เห็นอะไรที่ภาพลวงตาก่อนหน้ายังไม่อาจเทียบได้” วิญญาณหนุ่มกล่าวเสียงต่ำ “ถ้าเจ้าเผชิญหน้ากับสิ่งที่เจ้าจะได้เห็นต่อไปนี้ แล้วยังคิดว่าเป็นภาพลวงตาอีกล่ะก็เจ้าไม่รอดชีวิตกลับออกไปแน่”
“เข้าใจแล้ว” เจ้าเมืองหนุ่มส่งเสียงตอบรับก่อนจะหันหน้าไปถ่ายทอดคําพูดนั้นให้กับฉิงฮั่น
หนุ่มน้อยเชื้อสายราชวงศ์ได้แต่พยักหน้า เขาไร้เรี่ยวแรงจนไม่อาจแม้จะขยับตัว ต่อให้ภัยคุกคามที่เข้ามาไม่ว่าจริงหรือเท็จอย่างไร สําหรับเขาในยามนี้ไม่แตกต่าง ชีวิตของเขาขึ้นอยู่กับลู่หยุนโดยแท้หากเจ้าเมืองปล่อยเขาไว้ ก็คงมีแต่ตายกับตายเท่านั้น
“ พยายามต้านมันเอาไว้ให้ได้นะเยี่ยเสิน” ลู่หยุนตะโกนก่อนรีบรุดไป “อย่าให้ไอ้ผีร้ายมันฆ่าเจ้าได้”
การต้านทานพลานุภาพแห่งพลังของเจ้าเมืองเจิ้นชุยนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยพลังที่กล้าแข็งของนาง นั่นก็ทําให้เยี่ยเงินกําลังเพลี่ยงพล้ำ “ไม่ต้องเป็นห่วงข้าเจ้าค่ะนายท่าน วิญญาณของข้าจะสามารถรวบรวมพลังได้อีกครั้งเมื่ออยู่ในโลงศพ ถึงแม้ว่าข้าจะถูกนางฆ่าแล้วก็ตาม”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นลู่หยุนก็คลายความวิตก เขาได้จัดการร่ายวิชาส่งโลงศพของนางไปยังประตูสู่อเวจีและตั้งโครงร่างของศาสตร์เพาะเลี้ยงเก้าภูตผีขึ้นมาใหม่แล้ว
ต้องไปหาร่างของเมียวและปลุกฑิตวิญญาณแห่งสังสารวัฏ(ขอเปลี่ยนจากสังสารเป็นสังสารวัฏแทน)ตนที่สอง! นี่คือเป้าหมายใหม่ของหยุน
เมียวจะต้องเป็นใครสักคนอย่างแน่นอน นครเจิ้นชุยล่มสลายไปแล้วเมื่อห้าพันปีก่อนจากการถล่มของภูเขาลูกใหญ่ ทว่าวิญญาณของชายหนุ่มกลับจดจําเจ้าเมืองของเขาได้ นั่นก็หมายความว่าเขาได้ถูกฝังร่างอยู่ที่นี่เมื่อกว่าห้าพันปีที่แล้วเช่นเดียวกัน
แม้นในขณะนี้พลังของเขาก็ยังคงกล้าแข็งจนสามารถสร้างภาพลวงตาขึ้นได้ ตอนมีชีวิตจะต้องเป็นผู้เยี่ยมยุทธที่มีพลังสูงมากเป็นแน่ ทั้งต้องเป็นบุคคลสําคัญ ประสบการณ์และความทรงจําอันประมาณค่ามิได้ของเขาสามารถช่วยลู่หยุนให้พ้นอันตรายในหลุมฝังศพจนเข้าไปยังที่ที่ตนเองต้องการไปให้ถึงได้ ฉะนั้นเข้าต้องสามารถช่วยให้เขาฟันฝ่าเข้าไปยังเมืองของเจ้าเมืองปีศาจแห่งนี้ได้ด้วยเช่นกัน
เมียวนําทางเขาไปเรื่อย ๆ ขณะปีนปายหน้าผาสูงชันโดยมีฉิงฮั่นเกาะอยู่บนหลังของลู่หยุน ผ่านทางเดินเท้ากว้างและชื่นแฉะจนเข่าที่จุ่มลงไปในน้ำรับรู้ถึงความเย็นเฉียบจนเข้ากระดูกทีเดียวยิ่งเดินต่อไประดับน้ำยิ่งสูง
“นี่คงไม่ใช่น้ำจากหนองน้ำปีศาจ ใช่ไหม” ลู่หยุนถามด้วยความกังวลใจ
“ครั้งหนึ่งที่บริเวณแถบนี้เคยมีทะเลสาบขนาดใหญ่ใกล้กับเมืองเจิ้นชุย มีชื่อเรียกว่าทะเลสาบเฉินชุย” ฉิงฮั่นเอ่ยลอย ๆ “น้ำน่าจะมาจากที่นั่น”
ลู่หยุนถอนใจอย่างโล่งอก “คงจะถูกของเจ้า หาไม่แล้ว ถ้าเป็นนาจากหนองน้ำปีศาจ ข้าก็คงจะกลายร่างเป็นผีดิบไปแล้ว”
ทั้งแม่น้ำทั้งห้วยหนองมากมายซุกซ่อนในแถบนี้ แม่น้ำเจิ้นชุยเองคงเกิดขึ้นจากรอยแยกตอนภูเขาถล่ม จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของซากอสูรยักษ์ผีดิบในหลุมฝังศพนี้
“หยุดคุยกันได้แล้ว” เมียวขัดเสียงต่ำ ก่อนที่จะพูดอะไรต่อไปพลันเสียงคํารามของเสือดังก้องขึ้น ตามมาด้วยเสียงเดินตบเท้าอึกทึกมีเสียงเครื่องดนตรีประกอบให้จังหวะ
“องค์ชายพยัคฆ์เสด็จ!” รูปเงาเคลื่อนผ่านช่องว่างเบื้องหน้าของลู่หยุนและฉิงฮั่น
ฉิงฮั่นตาเบิกโพลงแทบไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น องค์ชายพยัคฆ์ อย่างนั้นหรือ
พลันปรากฏเงาของเสือขนาดใหญ่อยู่ท่ามกลางรูปเงาทั้งหลายในท่านอนหมอบอยู่บนเสลี่ยงที่ลากโดยมังกรสามตน มีอสูรขนาดมหึมาหลายตนเดินขนาบด้านข้าง
ลู่หยุนในเวลานี้รู้สึกแทบช็อค เงาเหล่านั้นดูสงบนิ่งแต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนมันพูดได้! พวกมันเหมือนกับสิ่งมีชีวิตซึ่งตรงกันข้ามกับภาพลวงตา ในตอนนี้เขาเข้าใจสิ่งที่เมียวเตือนไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
“อย่าพูด อย่าคุย! อย่าเอะอะ ถ้าเงาเหล่านี้เห็นเจ้าเมื่อไร เจ้าจะถูกพวกมันเอาชีวิตทันที” เมียวพูดเบา “เมื่อพวกมันเอาชีวิตเจ้าแล้ว พวกมันก็จะกลับมาฟื้นคืนชีพและหนีออกไปจากหลุมฝังศพ ส่วนพวกเจ้าจะกลายเป็นผีเฝ้าสุสานแทนมัน”
ฉิงฮั่นเหมือนจะเอ่ยปากพูด เจ้าเมืองหนุ่มที่เห็นดังนั้นจึงพลันขยําต้นขาของเขาพร้อมบิดอย่างแรง กระทํากิริยาเช่นนี้ทําให้หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่โครงร่างมรณะอนิจจัง หนุ่มน้อยจึงหุบปากของตนเองแน่น ถึงจะโกรธจนตัวสั่นหากทําได้แต่ถลึงตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อมายังคนที่กําลังแบกเขา ซึ่งมัวแต่มองภาพขบวนแบกหามเบื้องหน้าด้วยความกังวลใจยิ่ง และมีท่าทีผ่อนคลายลงเมื่อขบวนนั้นผ่านไปเสียได้
“นี่เลิกจ้องข้าเสียที คิดว่าข้าอยากขยําก้นบุรุษด้วยกันนักหรืออย่างไร” ลู่หยุนตะคอกเสียงเขียว ฉิงฮั่นอยู่บนหลังแค่นี้จึงมีหนทางเดียวที่จะทําให้เขาหุบปาก
ฉิงฮั่นใบหน้าแดงก่ำแต่จำต้องยอมรับว่าเจ้าเมืองหนุ่มพูดถูก ไม่ถูกที่ถูกเวลาที่จะมาคิดมากในตอนนี้
“พวกนั้นคืออะไร” เขาจึงหันมาถามเสียงสั่น “ผีเซียนหรือ”
“ไม่ใช่” ลู่หยุนสั่นหัว
“ข้าตอบไม่ได้เหมือนกัน” เมียวส่ายหน้า “พวกมันหาได้มีชีวิต เป็นเพียงรูปเงาเท่านั้นแต่ก็ไม่ใช่ภูตผี เพราะมันไม่มีวิญญาณ ขนาดข้ายังไม่กล้าแตะต้องพวกมันด้วยซ้ำ”
“ข้ารู้” เหงื่อเม็ดเป้งผุดเต็มหน้าผากของลู่หยุน “แต่ขอใคร่ครวญให้แน่ใจเสียก่อน”
คัมภีร์เป็นตายเคลื่อนไหวภายในจุดตันเถียนของร่างกาย ก่อนที่จู่ ๆ จะปรากฏเงาร่างของอสูรเลื้อยคลานสองขาทั้งเก้า มันคือผู้พิทักษ์โลงศพนั่นเอง มังกรเก้าตัวทะยานขึ้นสู่เบื้องสูงขณะกําลังแบกโลงศพ
“อะไร” ฉิงฮั่นนัยน์ตาเบิกโพลง “นี่ก็ไม่ใช่เงาด้วยใช่ไหม” ภาพมังกรของลู่หยุนทําให้เขารู้สึกเฉกเช่นเดียวกับเงาองค์ชายพยัคฆ์และเงาอสูรอื่นด้วย
“เจ้าคิดถูกแล้ว พวกมันเป็นโครงร่างเช่นเดียวกับอสูรเลื้อยคลานสองขาทั้งเก้าผู้พิทักษ์โลงศพ!” ลู่หยุนเสียวสันหลังวาบ การเผยเงาของอสูรเลื้อยคลานสองขาทั้งเก้าซึ่งเป็นผู้พิทักษ์โลงศพสร้างความตกตะลึงไม่น้อย ภายในหลุมฝังศพฮวงจุ้ยแห่งนี้ เพียงแค่ตําแหน่งการจัดวางองค์ประกอบก็แสดงให้เห็นถึงความชาญฉลาดของผู้สร้างแล้ว
“นี่เป็นการต่อสู้ของมังกรและเสือสินะ!” ความคิดจุดประกายขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าว่าอะไรนะ” ฉิงฮั่นถามเสียงแสดงความวิตก
“การต่อสู้ระหว่างมังกรและเสือเป็นฮวงจุ้ยที่ขัดแย้งหลายประการ การปะทะกันของพลังมหาศาลทั้งสองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทําให้ดวงวิญญาณของผู้ถูกฝังร่างไม่เป็นอิสระ! มังกรมากมายกางกงเล็บเข้าหาขณะที่เสือนําพาอสูรอีกนับร้อย ฮวงจุ้ยทั้งตําแหน่งหลักและตําแหน่งรองมีกระจายอยู่ทั่วบริเวณ ทําให้ที่นี่เสมือนมีชีวิตเพราะเต็มไปด้วยสนามพลังแห่งการต่อสู้ห้ำหั่นกัน” ก่อนที่เขาจะหันไปพูดกับเมียว “ต้องมีอํานาจลึกลับสักอย่างจึงทําให้ฮวงจุ้ยมีชีวิตขึ้นได้ ข้าไม่แปลกใจแล้วว่าทําไมเจ้าจึงไม่อยากให้ข้ามาที่นี่ตั้งแต่แรก”
เมียวพยักหน้า “เมื่อห้าพันปีก่อนสถานที่นี้ไม่ได้เป็นหลุมฝังศพก่อนที่เขาลูกใหญ่จะถล่มลงมาจากฟากฟ้า”
ลู่หยุนขมวดคิ้วและพยายามค้นหาคําตอบที่ให้ความกระจ่าง ทว่าไม่มีสิ่งใดหลุดออกจากปากอีก
“ช่างเถอะ!” ระบายลมหายใจ “เดี๋ยวข้าก็จะรู้เองเมื่อเข้าไปถึงตรงกลางหลุมฝังศพและได้เห็นการต่อสู้ระหว่างมังกรกับเสือ! พวกเรารีบไปกันดีกว่า!” ความตื่นเต้นที่จะได้เห็นส่งให้นัยน์ตาเป็นประกายลุกวาว ไม่มีอะไรจะตื่นเต้นเร้าใจมากไปกว่าการค้นหาคําตอบในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อนเช่นนี้
พวกเขายิ่งเดินลึกเข้าไปมากเท่าใด โครงร่างแห่งฮวงจุ้ยยิ่งปรากฏให้เห็นหลายแห่ง ตราบใดที่ลู่หยุนและฉิงฮั่นยังสงบปากสงบคําโครงร่างเหล่านั้นจะยังไม่รับรู้การมาของพวกเขา
“โอ้” ลู่หยุนเบี่ยงหลบโครงร่างแห่งหนึ่ง มันส่งเสียงหวีดแหลมทักทาย นางแม่มดผีดิบตนหนึ่งกระโจนใส่อย่างมุ่งร้ายขณะลุยน้ำลึกแค่เอว
“เฮ้ย!” เขาไหวตัวทัน เบี่ยงหลบพร้อมเหวี่ยงดาบพิฆาตโลกันต์ตัดร่างของมันจนขาด
แม้ว่าร่างจะปราศจากหัว แม่มดผีดิบยังพุ่งเข้าหาเขาอย่างดุร้ายไม่ยอมลมลดละ
ลู่หยุนใช้ดาบฟาดฟันมันจนขาดกระจุยแหลกละเอียด ดาบพิฆาตโลกันต์เป็นอาวุธล้ำค่าระดับเก้า ความคมของอาวุธชนิดนี้สามารถตัดขาดร่างแม่มดผีดิบได้ง่ายดายราวปอกกล้วย แต่กระนั้นชิ้นส่วนของอสูรยังเคลื่อนไหวได้ และยังพุ่งเข้ามาหาเขาอยู่ตลอดเวลา
พรึ่บบบ
แสงจากดาบพิฆาตโลกันต์สว่างเจิดจ้าขณะลู่หยุนเสือกดาบแทงออกไป ปะทะเศษชิ้นส่วนกระเด็นกระดอนไปไกล
“ใครบังอาจบุกรุกเข้ามาในเขตขององค์ชายพยัคฆ์!” เสียงแผดก้องกัมปนาทดังขึ้นจากเหนือศีรษะประหนึ่งอสูรยักษ์กระโจนลงมายังลู่หยุน บรรยากาศรอบตัวหนาหนักขึ้นเงาของร่างยักษ์ค่อยๆ เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า
“จิตวิญญาณคืนร่าง!” เสียงดังสนั่นอย่างยินดียิ่ง “ข้าจะกินเจ้าเสียและข้าจะฟื้นคืนชีพออกไปจากที่นี่!”
“หลีกไป!” ลู่หยุนตะโกนข่มขู่พร้อมกับวาดมือออกไป ส่งผลให้เงามังกรพุ่งกระจายออกไป
“มังกร!” เสียงร้องอย่างตระหนก มังกรสองเท้าทั้งเก้าตรงเข้าขย้ำอสูรเงาจนย่อยยับก่อนจะกลืนกินมันอย่างกระหายจนหมดสิ้น
“หา วิชาของข้าได้ผลหรือนี่” ลู่หยุนรำพึงขณะมองดูเหล่ามังกรกําลังกัดกินเงาอสูรอย่างประหลาดใจเหลือคณา เขาเคยคิดว่าผู้พิทักษ์โลงศพเป็นเพียงการร่ายคาถาเสกหลังจากที่เขาฝึกวิชานี้ แต่พวกมันกลับมีชีวิตและยังกัดกินโครงร่างฮวงจุ้ยได้ด้วยหรือ”
“เร็วเข้าเถิด” ฉิงฮั่นร้องเตือนมาอย่างอ่อนแรง “ฝูงแม่มดผีดิบแห่กันมาแล้ว!”
ทันใดนั้นลู่หยุนหันไปมองหลัง เห็นภาพแม่มดผีดิบนับสิบตัวกําลังทะยานมาตามสายน้ำมุ่งมาทางนี้ ชายหนุ่มถึงกับสะดุ้งเขาจัดการเรียกเงามังกรกลับก่อนออกวิ่งไปอย่างรวดเร็ว เสียงเอะอะโกลาหลเกิดขึ้นจากเหล่าบรรดาเงาที่แฝงอยู่ภายในอุโมงค์ พวกมันเริ่มปีนปายตะเกียกตะกายจนทําให้บรรยากาศที่อยู่รอบตัวดํามืดลง
โฮกกก!
เสียงคํารามดังสนั่น ราวจะประกาศการมาถึงขององค์ชายพยัคฆ์ซึ่งกําลังกระโจนทะยานเหนือกลุ่มเงื่อมเงาทั้งหลาย
“จิตวิญญาณคืนร่างสองคน!” เสียงนั้นแหบลึกแต่แฝงไว้ด้วยความตื่นเต้นยินดี “ข้าจะกลืนกินจิตวิญญาณและครอบงำร่างเจ้าเสีย จากนั้นทั้งข้าและบิดาจะได้ออกไปจากที่นี่ ไม่ต้องต่อสู้ขับเคี่ยวกับเจ้ามังกรชรานั่นต่อไป!”
พูดพลางเงาหนักโถมทับเหนือร่างของลู่หยุนพร้อมด้วยฉิงฮั่น
“ปล่อยข้าลงแล้วหนีไป” ฉิงฮั่นร้องเร่ง “ไม่ต้องห่วงข้า!” ขณะเดียวกันพยายามบิดตัวเองออก แต่เขาไม่มีแรงแม้แต่จะขยับนิ้ว
เขาตระหนักดีว่าตนเองเป็นภาระของลู่หยุน หนทางเดียวที่ลู่หยุนจะรอดชีวิตออกไปจากที่นี่ เขาจะต้องใช้ฉิงฮั่นเป็นเหยื่อล่อและเรียกเก้ามังกรออกมา อย่างน้อยเพื่อถ่วงเวลาร่างเงาให้สามารถหลบหนีได้ทัน มิฉะนั้นเห็นที่จะต้องตายเสียทั้งสองคน
องค์ชายพยัคฆ์ตนนี้ร้ายกาจยิ่งกว่าค่ายกลไหน ๆ ลําพังมันก็สามารถเอาชนะทั้งลู่หยุนและฉิงฮั่นได้อย่างง่ายดาย
“หุบปาก!” ลู่หยุนไม่คํารามเปล่า หากมือฟาดลงไปที่บั้นท้าย ความเจ็บทําให้หนุ่มน้อยถึงกับกัดฟันน้ำตาซึม
“บอกแล้วว่าบุรุษเขาไม่ขี้แย” ลู่หยุนหายใจหอบขณะเรียกเก้าผู้พิทักษ์โลงศพ ขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าครานี้พวกมันกลับถูกกรงเล็บเสือตะปบฉีกทันทีที่ออกมา เปลวไฟแสงดําพลุ่งในตาขณะเพ่งกระแสจิตคิดหาทางออก
ตูม
ทันใดเสียงคํารามอย่างน่ากลัวดังออกมาจากร่างของเขา ภายใต้สถานการณ์คับขันบีบบังคับ เขากลับทะลุทะลวงผ่านอำนาจของภัยคุกคามที่ร้ายแรงด้วยพลังแปรเปลี่ยนจนเกิดศาสตร์ความตายขึ้นในกาย
ดวงตาปีศาจ สัญลักษณ์แห่งความตาย จากหยินสู่หยาง มองทะลุผ่านเป็นและตายแม้อยู่ในที่ที่ไกลแสนไกล
ฟุบบบ!
ภาพวาดที่ลอยละลิ่วขึ้นสู่อากาศคลื่ออก เผยให้เห็นทัศนียภาพแห่งขุนเขาโอบล้อมแผ่นน้ำ ทว่ามันกลับมีชีวิตชีวาด้วยเสียงนกร้องและกลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์
ทั้งคู่หยุนและฉิงฮั่นต่างรู้สึกว่าความกังวลต่อสถานการณ์กดดันพลันมลายไปสิ้น รวมทั้งเสือร่างยักษ์ฉับพลันหันไปซึมซับความงดงามแห่งทัศนียภาพร่วมดื่มด่ำความงดงามด้วยที่ท่าเบิกบาน
ร่างของยู่อิงเดินออกมาท่ามกลางหมอกควัน
“ยู่อิงล่าช้า ขอนายท่านโปรดลงโทษ” นางยืนโค้งตัวอยู่ในน้ำ
“เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว” ลู่หยุนมองอย่างโล่งอก เขาถอยห่างออกจากสถานการณ์ครุกกรุ่นทันที ส่งต่อหน้าที่ให้ยู่อิงจัดการต่อไป
ประการสําคัญ เมื่อคัมภีร์ถูกปลุกเร้าให้กลับมีชีวิต นั่นก็ทําให้ผู้ฝึกตนพัฒนาพลังที่กล้าแข็งขึ้น นางในตอนนี้นั้นจึงฟื้นคืนพลังจนกลับมาเป็นเซียนแท้จริง!
คอมเม้นต์