God of illusions – ตอนที่ 6 สอบเข้า
สำนักชิงหลัวหาใช่สำนักเดียวในทวีปชิงหลัวไม่ หากแต่มันเป็นสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!นักเรียนทุกคนที่จบการศึกษาไปต่างก็ได้ดิบดีดีทำงานในจักรวรรดิต่างๆ เป็นเหตุนี้เองที่ทำให้การสอบรับสมัครประจำปีของสำนักชิงหลิวเป็นที่นิยมชมชอบอย่างมาก
และป๋ายเสี่ยวเฟยก็กำลังลิ้มรสความโด่งดังของมันในขณะนี้…
หลังจากเข้าแถวรอเป็นเวลานานกว่าสามชั่วโมงป๋ายเสี่ยวเฟยก็ได้ลงทะเบียนเสร็จเสียทีข้างหลังเขายังคงมีแถวยาวเหยียด ป๋ายเสี่ยวเฟยหิวจนแสบท้องไปหมด โชคดีที่สำนักชิงหลัวมีบริการแจกอาหาร!
ป๋ายเสี่ยวเฟยเมินสายตารอบข้างที่จับจ้อง เขาเรอออกมาอย่างพึงพอใจหลังจากทำการเขมือบอาหารจานใหญ่เป็นจานที่สาม นักเรียนจากสำนักชิงหลัวผู้ไม่สบอารมณ์เท่าไรนักรีบกล่าว
”ในเมื่ออิ่มแล้วก็รีบลุกขึ้นเสีย ข้าจะพาพวกเจ้าไปยังที่พัก และข้าจะเป็นคนจัดการข้อสอบของพวกเจ้าพรุ่งนี้! ”
ม่านตาป๋ายเสี่ยวเฟยหดลงเล็กน้อยในขณะที่เขากวาดตามองอย่างเย็นชาไปที่นักเรียนคนนั้นผู้ซึ่งได้จากไปแล้ว
‘เป็นนักเรียนชิงหลัวแล้ววางมาดได้ทุกที่หรืออย่างไร!? เจ้าคิดว่าท่านปู่ของเจ้าเป็นใครกัน!? ‘
ป๋ายเสี่ยวเฟยวิ่งเหยาะๆ แบกพุงซึ่งเต็มไปด้วยอาหารมากมายตามพวกเขาไปถึงข้างหลังของนักเรียนชิงหลัว
ส่วนเสี่ยวเอ้อหายตัวไปตั้งแต่ตอนไหนไม่มีใครทราบ
ภายใต้การนำทางของนักเรียนชิงหลัว กลุ่มของพวกเขามาถึงบ้านไม้ที่สร้างไว้เพื่อนักเรียนที่มาทำการสอบโดยเฉพาะ ก่อนที่นักเรียนผู้จัดการจะทันได้วางมาดรุ่นพี่ของเขา นักเรียนอีกคนซึ่งปรากฏตัวข้างหน้าประตูทางเข้าก็พลันเดินอาดๆ ผ่านมา
”ศิษย์พี่! ”
คำกล่าวนี้คล้ายจะเป็นคำทักทายในสำนักชิงหลัว เมื่อศิษย์น้องพบเห็นศิษย์พี่พวกเขาจำเป็นต้องกล่าวคำนี้และก้มหัวลง
เหล่าผู้คนที่อยู่กลุ่มเดียวกับป๋ายเสี่ยวเฟยต่างก็หวาดกลัวว่าตนจะฝ่าฝืนกฎ มีเพียงป๋ายเสี่ยวเฟยที่เผยให้เห็นถึงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เขายังเป็นคนสุดท้ายที่ก้มหัวอีกด้วย ในระหว่างนั้นเขาได้ใส่ของบางอย่างเล็กๆ เข้าไปในแขนเสื้อของนักเรียนผู้จัดการข้างหน้าเขา
หลังจากนักเรียนผู้จัดการรออยู่นาน ”รุ่นพี่” ของเขาก็ไม่กล่าวอะไรสักที ทำให้เขาจำต้องแอบกลอกตาขึ้นไปมอง หากแต่ตรงนั้นกลับไม่มีใครอยู่ เขาเงยหน้าแดงก่ำที่เต็มไปด้วยความเขินอายขึ้น ไอสองครั้งก่อนจะหันกลับไปพูดกับคนที่ข้างหลัง
”ในสำนักชิงหลัว เจ้าต้องกล่าวทักทายศิษย์พี่และอาจารย์เมื่อพบเห็นพวกเขา เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะไม่สนใจเจ้า แต่ไม่ต้องเป็นกังวล พวกเจ้าทั้งหมดทำได้ดี” หลังจากพูดอย่างเคอะเขินเพื่อแก้ต่างให้ตนเอง นักเรียนผู้จัดการทำหน้าขึงขังหมายปั้นจะวางมาดศิษย์พี่
ไม่นานนักเสียง ”ปู้ด” ก็ดังออกมาจากข้างหลังเขา กลิ่นเหม็นหึ่งพลันตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ
”ศิษย์พี่ ผายลมท่านเหม็นเกินไปแล้ว! ” โดยไม่คิดจะปกปิดสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ป๋ายเสี่ยวเฟยรีบวิ่งออกห่างในขณะที่เขาพูดราวกับว่ากลัวกลิ่นไม่พึงประสงค์นั้นจะมาติดเขา
หลังจากได้ยินที่ป๋ายเสี่ยวเฟยกล่าวผู้คนรอบๆ ครุ่นคิดว่าพวกเขาควรจะหลบดีหรือไม่ หลังจากผ่านไปนานพวกเขาก็ยิ่งแน่นิ่งเพราะเกรงกลัวว่าจะทำให้ศิษย์พี่ไม่สบอารมณ์
”เจ้าพูดอะไร! ข้า…” นักเรียนผู้จัดการยังไม่ทันพูดจบ เสียงเช่นเดิมก็ดังขึ้นอีกครั้ง แน่นอนว่ากลิ่นก็เหม็นฉุนกว่าเดิมเช่นกัน
”ข้าเปล่า…! ”
ปู้ด!
”จริงนะ! ”
ปู้ด!
ยิ่งนักเรียนผู้จัดการประหม่ามากขึ้นเพียงใด เสียงปู้ดก็ดังถี่ขึ้นเท่านั้น หลังจากมันหยุดผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทิ้มใบหน้าพวกเขาน่าเกลียดอย่างยิ่ง
บางคนถึงกับอาเจียนอาหารที่กินเข้าไปเมื่อครู่ออกมา…
เมื่อฝูงชนโดยรอบเห็นเช่นนั้นพวกเขาก็กลายเป็นสับสนอลหม่านในทันที สถานการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆ
แต่สิ่งที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวเฟยประหลาดใจคือตรงจุดศูนย์กลางของกลิ่น นักเรียนผู้จัดการคนนั้นกลับไม่เป็นอะไร เขาดูเหมือนไม่สะทกสะท้านจากกลิ่น มีเพียงสีแดงก่ำจากความเขินอายบนใบหน้าของเขาเท่านั้น
”ไม่เลว ไม่เลว สามารถทนกลิ่นหญ้าเหม็นโฉ่ได้ด้วย” ป๋ายเสี่ยวเฟยผู้ซึ่งได้อุดรูจมูกสองข้างของตนด้วยยาพิเศษกำลังเพลิดเพลินกับฉากตรงหน้า เขาคงไม่สามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายของเขาได้อีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชื่อเสียงที่เขาจะได้รับ
ไม่มีทางที่เขาจะไม่กลายเป็นคนมีชื่อเสียงจากเหตุการณ์ครั้งนี้…
เมื่อนักเรียนผู้จัดการคนหนึ่งกำลังนำทางให้กับเหล่าผู้ลงทะเบียนการสอบ เขาก็พลันผายลมใส่คนพวกนั้นเป็นเหตุให้บ้างก็อาเจียนบ้างก็หลบหนี กลิ่นของมันติดนักเรียนผู้จัดการเป็นอาทิตย์…
ไม่ว่าจะคิดอย่างไร ข่าวนี้ต้องกระจายไปทั่วสำนักเป็นแน่แท้!
หลังจากรอนานกว่าครึ่งชั่วโมง ศิษย์พี่คนใหม่ซึ่งเป็นสาวสวยได้มารับหน้าที่แทน นางพาพวกป๋ายเสี่ยวเฟยมายังบ้านพัก
”ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะสามารถจำสิ่งที่ข้ากำลังจะพูดเพราะมันเกี่ยวพันกับการที่พวกเจ้าจะสามารถเป็นศิษย์ของสำนักชิงหลัวได้หรือไม่! ” เสียงสดใสไพเราะของศิษย์พี่แฝงไว้ซึ่งความจริงจังอย่างหามิได้
ทุกคนเงียบลงในทันทีไม่เว้นแม้แต่ป๋ายเสี่ยวเฟย การพูดไร้สาระในเวลาแบบนี้ไม่ต่างจากรนหาที่ตาย
”ก่อนอื่นพวกเจ้าต้องตื่นหกโมงเช้าพรุ่งนี้ หลังจากนั้นสิบนาทีจะมีรถม้ามารับพวกเจ้าและมันจะรอพวกเจ้าเพียงสามสิบวินาที ใครที่สายเชิญกลับไปได้เลยเพราะบทเรียนแรกคือการตรงต่อเวลา”
”หลังจากนั้นพวกเจ้าจะต้องเข้าสู่การทดสอบความอดทน มันจะเริ่มหลังจากรถม้าถึงจุดหมาย พวกเจ้าทุกคนจะต้องวิ่งกลับมาที่นี่! ”
”พวกเจ้ามีเวลาหนึ่งชั่วโมง พวกเจ้าสามารถใช้วิธีไหนก็ได้แต่ใครที่ใช้เวลาเกินจะถูกตัดสิทธิ์ ยิ่งพวกเจ้ามาถึงไวเพียงใดคะแนนที่ได้ก็ยิ่งเยอะขึ้น”
”คนที่ผ่านบดทดสอบแรกจะต้องทำการทดสอบที่สองในทันที ส่วนรายละเอียดก็ง่ายๆ พวกเจ้าเพียงต้องหาผ่านประตูหลักของสำนักเท่านั้น”
”หลังจากเข้าไปแล้วก็จะเริ่มบดทดสอบที่สาม หาที่ทำงานของเจ้าสำนักหรือรองเจ้าสำนักมีเจ้าสำนักหนึ่งคนและรองเจ้าสำนักสามคนในสำนัก พวกเจ้าสามารถรับใบผ่านการทดสอบจากพวกเขาได้”
”ข้าได้พูดไปหมดแล้ว ต่อไปถึงตาพวกเจ้าถาม พวกเจ้าทั้งหมดถามได้แค่สามคำถามเท่านั้นและข้าจะตอบเฉพาะคำถามที่ข้าอยากตอบ” หลังจากพูดสิ่งที่จำเป็นหมดแล้วนางกวาดตามองทุกคน
ทันใดนั้นเองที่นางสังเกตมือที่ชูขึ้น
”ศิษย์พี่หญิง ท่านช่างสวยงดงามปานบุปผา เสียงของท่านก็ไพเราะเสนาะหูเหลือคณานับ นามของท่านคงน่าฟังไม่ต่างกันใช่หรือไม่? ” ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังครุ่นคิดว่าจะถามอะไรดีป๋ายเสี่ยวเฟยก็ได้เปิดฉากถามคำถามที่ไร้ซึ่งแก่นสาร เสียงกร่นด่าดังขึ้นมาทันทีแต่ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่คิดจะสนใจ ใบหน้าเขามีรอยยิ้มจาง อดทนรอให้ศิษย์พี่หญิงตอบคำถาม
”ฉินหลิงหยาน นักเรียนปีหนึ่ง หากเจ้าสามารถใช้ข้อมูลนี้ให้เกิดประโยชน์ได้ข้าจะเลี้ยงข้าวเจ้ามือนึง”
ฉินหลิงหยานยิ้มอ่อนเพราะขนาดนางเองยังคิดว่าข้อมูลนี้ช่างไร้ประโยชน์ ต่างจากป๋ายเสี่ยวเฟยที่ยิ้มอย่างพอใจ
”ขอบคุณศิษย์พี่หญิงสำหรับความใจดีของท่าน อย่าปวดใจหลังจากข้าสั่งอาหารมื้อใหญ่เสียล่ะ”
ป๋ายเสี่ยวเฟยนิ่งเงียบรอฟังคำถามอีกสองข้อจากคนที่เหลือ แต่หลังจากได้ยินป๋ายเสี่ยวเฟยไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
”พวกเจ้าสามารถไปพักได้ ข้าหวังว่าพวกเราจะได้กลายเป็นศิษย์ร่วมสำนักในวันพรุ่งนี้”
หลังจากคนอื่นจากไปหมดแล้ว มีเพียงป๋ายเสี่ยวเฟยที่ยังยืนอยู่กับที่
”เจ้าไม่ไปพักหรือ? ” ฉินหลิงหยานยิ้มให้กับป๋ายเสี่ยวเฟย นางมีความสนใจในตัวเขาเพราะเขารู้ว่าพูดอย่างไรจึงจะทำให้คนอื่นรู้สึกดี
คอมเม้นต์