God of illusions – ตอนที่ 27 อัตลักษณ์เฉพาะของเสวี่ยอิ่ง

อ่านนิยายจีนเรื่อง God of illusions ตอนที่ 27 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ความยาวของช่วงเวลากลางคืนสำหรับทุกคนไม่เท่ากัน

 

สำหรับคนอย่างป๋ายเสี่ยวเฟยที่หลับได้ทันทีเมื่อหัวถึงหมอน กลางคืนผ่านไปในชั่วพริบตา

 

แต่สำหรับคนปกติธรรมดาอย่างโม่ข่าและพวก ราตรีนี้เป็นค่ำคืนที่ยาวนานที่สุดในชีวิตพวกเขา!

 

“พี่ใหญ่เฟย ได้เวลาตื่นแล้ว!” โม่ข่าเขย่าตัวป๋ายเสี่ยวเฟยเบาๆ เมื่อไม่ได้หลับเลยสักคราตลอดชั่วข้ามคืน ขอบตาของเขาดำราวหมีแพนด้า สือขุยกับหวู่จื๋อมีสภาพไม่ต่างกันนัก

 

“แม่ใหญ่ ขอข้าหลับต่ออีกนิด…” ป๋ายเสี่ยวเฟยละเมอทำเหงื่อเย็นเยียบของโม่ข่าผุดขึ้น โชคดีที่ป๋ายเสี่ยวเฟยได้กล่าวเรียกแม่ใหญ่แทนที่จะเป็นอย่างอื่น มิเช่นนั้นเขาคงหวาดกลัวเหลือล้นเป็นแน่แท้…

 

“พี่ใหญ่เฟย ข้าเองโม่ข่า พวกเราต้องไปเรียนแล้ว!” โม่ข่าเขย่าป๋ายเสี่ยวเฟยแรงขึ้นอีกนิด เขาค่อยๆ ตื่นจากฝันแต่หลังจากเห็นหน้าโม่ข่าในระยะเผาขนเขาตกใจจนถึงขั้นกระโดดเหยงออกมาจากเตียง

 

“บัดซบ! เจ้าจะหลอกข้าให้ตายหรือไร!” ป๋ายเสี่ยวเฟยมองไปที่นาฬิกาหินกำเนิดบนโต๊ะก่อนจะดีดหน้าผากโม่ข่าด้วยนิ้ว

 

“พวกเจ้าจะกังวลไปทำไม? เพิ่งแปดโมงเอง” ป๋ายเสี่ยวเฟยเริ่มใส่เสื้อผ้าอย่างเนิบนาบพลางกล่าว

 

โม่ข่ากลืนน้ำลายก่อนจะพูดอย่างอับอาย “พี่ใหญ่เฟย คาบเรียนเริ่มตอนแปดโมง ถ้าพวกเราไปสาย…”

มาสายวันแรกเท่ากับถูกหมายหัวโดยอาจารย์ แต่พวกเขาไม่กล้าทิ้งป๋ายเสี่ยวเฟยไว้เนื่องจากกลัวว่าพวกเขาจะตกเป็นเป้าหมายของพวกจางชิงซาน มีเพียงอยู่กับคำสาปที่ชื่อป๋ายเสี่ยวเฟยเป็นตัวเลือกเดียวของพวกเขา

 

และทั้งสามกำลังคาดหวังว่า ‘กฏเข้าข้างคนหมู่มาก’ จะเป็นจริง..

 

อย่างไรก็ตามความจริงเป็นสิ่งที่โหดร้าย เสวี่ยอิ่งผู้มีสีหน้าเย็นเยียบปานน้ำแข็งกำลังรอพวกเขาอยู่ที่หน้าประตูห้อง

 

“หึ หึ ข้าละนับถือพวกเจ้าทั้งสี่ กล้านักที่มาสายตั้งแต่วันแรก ถึงแม้ข้าจะไม่เคยเป็นอาจารย์ประจำห้องมาก่อน แต่ข้ากล้าบอกเลยว่าพวกเจ้ากล้าหาญที่สุดในสำนักชิงหลัว!” คำพูดของนางเป็นดั่งประกาศิตสั่งตาย ความหวังของพวกเขาสลายหายไปราวกับหมอกควัน

 

“พี่หญิงเสวี่ย ท่านได้…”

 

“หุบปาก! ข้าไม่อยากได้ยินคำชมหรือข้อแก้ตัวใดๆ ของเจ้า” ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่ทันพูดจบก็โดนขัด ท่าทีของนางแตกต่างจากเมื่อวานราวหน้ามือเป็นหลังเท้า

 

“ข้าไม่ว่างคุยเรื่องไร้สาระ รีบไปนั่งได้แล้ว! พวกเจ้าทั้งหมดจะต้องเรียนหนักกว่าคนอื่นเป็นสองเท่าสำหรับวันนี้!” ต่างจากที่ป๋ายเสี่ยวเฟยคาดคิด เสวี่ยอิ่งไม่ได้

เทศนาพวกเขาแม้แต่น้อย ในช่วงเวลานี้ภาพในใจของทุกคนเกี่ยวกับเสวี่ยอิ่งคือสาวงามแข็งนอกอ่อนใน…

 

“ขอบคุณ พี่หญิงเสวี่ย!” ป๋ายเสี่ยวเฟยยิ้มพลางเดินนำหน้าเข้าห้องเรียน เมื่อเขามาถึงที่นั่ง หลินหลีเผยสีหน้าผ่อนคลายทันทีก่อนจะดึงชายเสื้อของป๋ายเสี่ยวเฟย

 

“หอพัก… เสียงดังเหลือเกิน…” หลินหลีพึมพำ ใบหน้าของป๋ายเสี่ยวเฟยเต็มไปด้วยความอับอาย

 

หากพูดถึงเรื่องเสียงดังคงไม่มีที่ใดสามารเทียบได้กับห้อง 807 เมื่อวาน…

 

“ถึงแม้จะหนวกหูไปนิดแต่ก็น่าสนใจมากใช่หรือไม่?” ป๋ายเสี่ยวเฟยหัวเราะในลำคอ การได้เที่ยวเล่นกับคนรุ่นเดียวกันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในในหุบเขาวีรบุรุษ

 

“ใช่…” หลินหลีขานตอบ หน้าแข็งเย็นชาของนางเผยให้เห็นรอยยิ้ม

 

ดูเหมือนว่าการได้มาพบปะพูดคุยกับหลายคนในรุ่นเดียวกันจะเป็นสิ่งที่หลินหลีไม่ค่อยชินชาซึ่งดูได้จากสีหน้าของนาง

 

“ในเมื่อทุกคนมากันพร้อมหน้า งั้นก็เริ่มเรียนกันเลย” เสวี่ยอิ่งยืนข้างหลังแท่นวางหนังสือนางยังคงมีสีหน้าเย็นเยียบปฏิเสธที่จะเปิดเผยอารมณ์ในใจเฉกเช่นเมื่อครู่

 

“ก่อนอื่นข้าอยากจะกล่าวย้ำว่าหากมีใครกล้ามาสายอีกข้าจะให้มันต้องชดใช้!” เสวี่ยอิ่งกวาดตามองไปยังพวกป๋ายเสี่ยวเฟยขณะพูด ความรู้สึกอับอายที่ไม่เคยเป็นมาก่อนพลันผุดขึ้นในใจป๋ายเสี่ยวเฟย

 

“แน่นอนว่าพวกเจ้าสี่คนก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ข้าจะไม่ปล่อยผ่านแม้แต่ครั้งเดียว! และถึงข้าจะไม่ได้พูดเจาะจงนักแต่หากเจ้าคนใดทำให้ข้ารู้สึกไม่ดี มันผู้นั้นก็จะต้องชดใช้เช่นกัน!”

 

เสวี่ยอิ่งจงใจปล่อยรังสีกดดันไร้รูปใส่ศิษย์ทุกคนในห้อง แม้แต่หลินหลีผู้ซึ่งอยู่ระดับปรมาจารย์ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อย

 

เพียงแต่ว่าทั้งหลินหลีและป๋ายเสี่ยวเฟยต่างก็ได้ประสบพบเจอสิ่งเลวร้ายกว่านี้มาแล้ว พวกเขาจึงไม่ลำบากใจเท่าใดนัก

 

“ต่อไปข้าต้องการให้ใครสักคนตอบคำถามข้อแรกของข้า อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในการเป็นนักเชิดหุ่น?” เมื่อนางกล่าวจบสายตาก็พลันกวาดตามองไปรอบห้องเรียน นอกจากป๋ายเสี่ยวเฟยและหลินหลีคนที่เหลือล้วนตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด

 

“เฉินฮุย เจ้าตอบ” เฉินฮุยลุกขึ้นทันทีที่ถูกเรียกชื่อโดยเสวี่ยอิ่ง เขาตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แก่นแท้ พลังงาน ร่างกาย วิญญาณ จิตใจและปราณกำเนิดคือตัวกำหนดความแข็งแกร่งของนักเชิดหุ่น แต่ทว่าวิญญาณคือรากฐานส่วนปราณกำเนิดคือพื้นฐานและจิตใจคือแก่น ดังนั้นข้าคิดว่าสามอย่างนี้สำคัญที่สุดสำหรับนักเชิดหุ่น” ความมั่นใจเผยบนหน้าเขาเมื่อเฉินฮุยกล่าวจบเพราะคำถามเช่นนี้ไม่มีที่ใดถาม ทำไมน่ะหรือ? เพราะมันเป็นความรู้ทั่วไป!

 

“ยอดเยี่ยมแต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าอยากจะสอนพวกเจ้าในวันนี้” เสวี่ยอิ่งพลันหายตัวไป ในพริบตานางก็อยู่ตรงหน้าเฉินฮุยก่อนที่พวกเขาจะได้ยินเสียงของนางเสียอีก พร้อมกับมีดในมือที่วางราบแนวนอนที่คอหอยของเฉินฮุย

 

ชั่วครู่หนึ่ง ทุกคนในห้องหยุดชะงักไม่มีใครกล้าพูด ในขณะที่เฉินฮุยเริ่มตัวสั่นเทิ้มอย่างช่วยไม่ได้

 

เสวี่ยอิ่งถอนมีดของนางออกจากนั้นจึงเดินไปทั่วห้อง ไม่ว่าใครก็ตามที่นางเดินผ่าน นางจะใช้มีดเคาะไปที่โต๊ะของคนนั้น

 

“ไม่ว่าหุ่นเชิดของเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงใดพวกมันล้วนไร้ค่าหากเจ้าไม่มีโอกาสใช้งาน วิธีใช้งานหุ่นเชิดหลากหลายรูปแบบคือสิ่งที่อาจารย์คนใหม่ในสาขาต่างๆ จะถ่ายทอดให้พวกเจ้า แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ข้าอยากจะสอน” เสวี่ยอิ่งเดินกลับไปยังแท่นวางหนังสืออีกครั้งเมื่อนางหยุดเดิน มีดในมือก็พลันจมลงไปในไม้อ่อน

 

“การเอาตัวรอด!” เมื่อคำนี้ถูกกล่าวออกมา ทุกคนในห้องเหม่อมองนาง แม้แต่ป๋ายเสี่ยวเฟยผู้ซึ่งชินชากับสิ่งผิดแผกจากปกติยังไม่เคยคาดคิดว่านางจะประกาศออกมาเช่นนี้

 

แต่เมื่อเขาคิดให้ดี ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางพูดจะไม่ผิด

 

“หากนักเชิดหุ่นต้องการเอาตัวรอดในการต่อสู้ในสถานการณ์ที่ซับซ้อนแตกต่างกันไป พวกเขาจำต้องก้าวข้ามความอ่อนแอจากภายใน ความอ่อนแอของร่างกาย!” เสวี่ยอิ่งเริ่มกล่าวอธิบายความคิดอันเป็นเอกลักษณ์ของนาง มันเป็นความคิดที่ไม่มีอาจารย์ห้องอื่นสอนเด็กใหม่แน่นอน พวกเขาทุกคนล้วนพูดคุยเกี่ยวกับวิธีประยุกต์ใช้หุ่นเชิดและวิธีตัดสินใจเลือกหุ่นเขิดในอนาคต

 

“จากนี้ไปสามเดือน ไม่ว่าจะเป็นห้องเรียนหรือสนามฝึก การสอนของข้าจะมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ความคิดนี้ ตัวแปรสำคัญคือสมรรถนะทางร่างกายของพวกเจ้า!” เมื่อนางพูดจบมุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ป๋ายเสี่ยวเฟยผู้ถูกนางจ้องรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาโดยพลัน…

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด