God of illusions – ตอนที่ 39 ความสนใจจากสํานัก!

อ่านนิยายจีนเรื่อง God of illusions ตอนที่ 39 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

God of illusions ตอนที่ 39 ความสนใจจากสํานัก!

 

**เปลี่ยนจากห้องเรียนอํามหิตเป็นห้องเรียนคนเถื่อน** 

 

ก่อนที่ป่ายเสี่ยวเฟยจะทันได้มองเห็นฝูงชน เขาคิดว่าพวก มันมาเพื่อมอบหินชิงหลัวให้แก่เขา แต่เมื่อเขาเห็นพวกมัน เขาพลันเปลี่ยนความคิดทันที

 

“พวกมันมาเพื่อเอาชีวิตข้า!”

 

เสวี่ยอิ่งยิ่งตอบสนองตรงไปตรงมากว่า นางหยิบเสื้อคลุมที่เป็นสัญลักษณ์ของอาจารย์ออกมาจากแหวนมิติก่อนจะสวมใส่ โดยไม่กล่าวคําใด นางได้เปลี่ยนชุดเมื่อครู่เพื่อที่นางจะได้เคลื่อนไหวตามที่อยากได้ และครานี้เป็นเพื่อที่นางจะไม่ต้องเคลื่อนไหว

 

แต่ถึงจะเป็นฐานะอาจารย์ของเสวี่ยอิ่ง พวกเขาก็ไม่มีความคิดจะปล่อยเรื่องนี้ไป กลุ่มมากกว่าสามสิบของศิษย์ปีสองล้อมรอบห้องเรียน ทุกคนล้วนอยู่ในระดับปรมาจารย์!

 

“อาจารย์ คาบเรียนได้จบลงแล้วพร้อมกับงานของท่าน ท่านไม่คิดว่า…” ฉู่หมิงหยวนที่เป็นผู้นํากล่าว หัวหน้าศิษย์ปีสองของเทพในหมู่ปุถุชนและยังเป็นตัวตนที่มีรายชื่อ อยู่ในอันดับชื่อเสียง รอบกายเขามีบรรยากาศคล้ายบัณฑิต ขณะที่คําพูดแฝงหนามทิ่มแทง แต่เขาร้อยไม่คิดพันไม่คิดว่าคําพูดของเขาจะถูกขัด

 

แถมยังถูกขัดด้วยความหวาดกลัว!

 

เสวี่ยอิ่งไม่ได้เอ่ยคําใดออกมา นางเพียงยืนอยู่เบื้องหน้าหมิงหยวน แต่จิตสังหารที่นางปลดปล่อยออกมาราวกับก่อตัวขึ้นเป็นรูปธรรมและสิ่งนี้เองที่ทําให้นูหมิงหยวนต้องหยุดพูด

 

“ระวังคําพูดของเจ้าด้วย หากข้าต้องการข้าสามารถร้องเรียนได้ว่าเจ้ายั่วยุข้า และเจ้าควรรู้ว่าอาจารย์ที่ถูกยั่วยุมีอํานาจอันใดบ้าง!?” พายุหมุนขนาดเล็กพลันปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของนาง ฉู่หมิงหยวนรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบเหลือเพียงพวกเขา สองคนและไม่ว่าเขาจะไปที่ใดก็ไม่มีทางหนีนางได้พ้น

 

“หัวหน้าศิษย์! หัวหน้าศิษย์!” แรงเขย่าของลิ่วล้อที่ติดตามข้างนูหมิงหยวนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็สามารถดึงสติฉู่หมิงหยวนกลับมาได้ วินาทีที่เขารู้สึกตัว แผ่นหลังของฉู่หมิงหยวนเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ!

 

ในใจของฉู่หมิงหยวนเต็มไปด้วยความตกตะลึง

 

เมื่อครู่ เสวี่ยยิ่งเพียงใช้จิตสังหารไร้รูปก็ทําให้เขาเกิดภาพหลอนได้แล้ว! ยิ่งกว่านั้นยังเป็นภาพหลอนที่ทําให้เขาถึงกับสูญเสียจิตนึกคิด

 

ฉ่หมิงหยวนพลันตกอยู่ในสถานการณ์ยุ่งยากในทันที

 

เขาไม่มีทางต่อกรกับนางได้ เขาเชื่อว่าหากเขากล้าเคลื่อนไหว เสวี่ยอิ่งต้องโต้ตอบเขาในวินาทีแรกแน่นอน ความเชื่อนี้ราวกับฝังรากไปทั่วในใจของเขาโดยสัญชาตญาณ

 

แต่หากเขาไม่ทําอะไรสักอย่าง การกระทําของเขาที่รวบรวมคนมากมายในฐานะหัวหน้าศิษย์ก็ต้องสูญเปล่า และมันจะส่งผลต่อชื่อเสียงของเขาตลอดไป คําว่า “กลับมือเปล่า” เพียงพอที่จะให้เขาไม่อาจโงขึ้นหัวได้อีกนาน

 

“ศิษย์พี่ นี่เป็นหินชิงหลัวสองร้อยก้อน เพียงพอสําหรับท่านให้เลี้ยงมื้ออาหารทุกคน เรื่องระหว่างข้ากับศิษย์พี่หญิงฉินหลิงหยานเป็นเพียงความเข้าใจผิดเท่านั้น และพวกเราจะจัดการกับปัญหานี้เองในเวลาที่เหมาะสม ข้าขออภัยที่ทําให้ท่านลําบาก” ในช่วงเวลาสําคัญ ป่ายเสี่ยวเฟยเดินก้าวยาวๆไปหาฉู่หมิงหยวนก่อนจะแย้มยิ้มเบิกทางหนีที่รอดให้เขา

 

ฉ่หมิงหยวนผ่อนคลายในใจ เขามีเพียงความคิดที่จะกอดป้ายเสี่ยวเฟยแน่นๆ สักคราเพื่อแสดงความขอบคุณ แต่ปัญญาของเขาก็สะกดข่มไว้ในท้ายที่สุดก่อนจะเผยให้เห็นสีหน้าลําบากใจ

 

“ถึงแม้จะเป็นความเข้าใจผิดระหว่างพวกเจ้าทั้งสอง พวกเจ้าไม่อาจล้อเล่นกับอันดับค่าหัวได้” ฉ่หมิงหยวนจ้องมองป้ายเสี่ยวเฟยอย่างเย็นชาขณะที่เอ่ยคําต่อต้านสุดท้าย เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าป่ายเสี่ยวเฟยจะฉลาดพอที่จะเข้าใจความหมายของเขาได้

 

ป้ายเสี่ยวเฟยไม่ได้ทําให้เขาผิดหวัง

 

“ท่านกล่าวผิดแล้วศิษย์พี่ ข้าไม่มีความตั้งใจที่จะล้อเล่นกับอันดับค่าหัว แต่การสั่งสอนข้ามีค่าแค่หินชิงหลัวห้าสิบก้อนเท่านั้น ศิษย์พี่ท่านเรียกคนมามากมาย มันจะไปพอให้แบ่งกันได้อย่างไร?”

 

“อีกอย่างการปรากฏตัวของท่านทําให้ข้ารับรู้ถึงความผิดพลาด ท่านยิ่งได้ประโยชน์จากการทําตามภารกิจในอันดับค่าหัวด้วยการสั่งสอนบทเรียนให้แก่ข้า วิธีการสั่งสอนไม่ได้จํากัด เพียงทางกายใช่หรือไม่?” หลังจากกล่าวประโยคยาวเหยียด ป้ายเสี่ยวเฟยชูตราหยกสูงขึ้นอีกครา ครั้งนี้ฉ่หมิงหยวนนิ่งไปพักหนึ่ง เขาไม่ได้ปฏิเสธ

 

“ข้าหวังว่าความเข้าใจผิดของพวกเจ้าจะแก้ไขได้โดยไวเพราะภารกิจยังอยู่ในอันดับค่าหัวต่อไปอีกสิบวัน” ฉู่หมิงหยวนกล่าวเสียงเบา ปฏิบัติท่าที่ที่พึงกระทําก่อนจะเดินออกจากห้อง โดยมีสามสิบกว่าคนเดินตามไปด้วยสายตาของทุกคนหยุดที่ ป้ายเสี่ยวเฟยและเสวี่ยอิ่งชั่วครู่

 

หลังจากส่งภัยพิบัติอีกกลุ่มจากไปได้ ป่ายเสี่ยวเฟยถอนหายใจอย่างโล่งอก กระทั่งเสวี่ยอิ่งยังลูบอกของตนเผยสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมา

 

“ไม่เลว เสี่ยวเฟยเฟย ข้าคิดว่าเรื่องจะบานปลายอยู่แล้วเชียว” เสวี่ยอิ่งเดินมา ยื่นแขนไปยกคางของป่ายเสี่ยวเฟยขึ้น สีหน้าหยอกล้อของนางปรากฏให้เห็นอีกคราขณะที่นางเลียริมฝีปาก

 

อมิตาพุทธ..

 

หากไม่ใช่เพราะเขาอ่อนแอเกินที่จะเอาชนะเสวี่ยอิ่ง ป่ายเสี่ยวเฟยคงกระโจนเข้าหานางไปแล้ว แต่ปัญญาของเขาเอาชนะความต้องการไปได้เมื่อเผชิญหน้ากับความจริง

 

“พี่หญิงเสวี่ย หลินหลีอยู่ที่ใด?” หากต้องการให้หญิงสาวที่หยอกล้อเจ้าหมดความสนใจ เช่นนั้นการเอ่ยถึงหญิงสาวงดงามอีกคนเป็นวิธีที่ง่ายและดีที่สุด

 

ป่ายเสี่ยวเฟยขอบคุณพ่อสามของเขา ผู้เป็นปรมาจารย์ด้านบุปผา…

 

“ฮ่ม! สิ่งที่เจ้าถามมีแต่เสี่ยวหลีหลี น่าเบื่อ” เสวี่ยอิ่งแค่นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ทําท่าราวกับภรรยาเอาแต่ใจ

 

“ข้าให้นางกับสือเฉินไปหาเจ้าสํานักผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในที่นี้” เสวี่ยอิ่งเลิกคิ้วเรียวงามพลางกล่าวราวกับว่าภรรยาเอาแต่ใจเมื่อครู่ไม่เคยมีอยู่

 

“เจ้าสํานัก!?” ป้ายเสี่ยวเฟยตกใจสุดขีด ความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับคํานี้คือใบหน้าเกรี้ยวกราดของรองเจ้าสํานักจั่วซี เพราะหากไม่ใช่นางเขาจะมาอยู่ในห้องเรียนคนเถื่อนนี้ได้อย่างไร?

 

ถึงแม้ป่ายเสี่ยวเฟยจะพึงพอใจเป็นอย่างมากกับห้องเรียนนี้ เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะนึกถึงคําว่า “เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย” และ “เอาแน่เอานอนไม่ได้” เมื่อคิดถึงนาง

 

“เพื่ออันใด!?”

 

เสวี่ยอิ่งเผยให้เห็นรอยยิ้มอีกคราเมื่อนางเห็นท่าที่ไม่เต็มใจของป่ายเสี่ยวเฟย

 

“เจ้าคิดว่าข้าอยากหรือ? ชื่อของเจ้าอยู่ในอันดับค่าหัว เจ้าคิดว่าข้าสามารถจัดการกับกลุ่มคนที่จะมาหาเจ้าได้เรื่อยๆโดยไม่ขออนุญาตท่านเจ้าสํานัก? ข้ามีหวังถูกไล่ออกหากรังแกศิษย์นักเรียนมากเกินไป ข้าเพิ่งได้มาเป็นอาจารย์ในสํานักชิงหลัวด้วยความอย่างลําบาก ข้ายังไม่อยากกลับบ้านโดยเร็วนัก” สุ่มเสียงของนางมีร่องรอยตัดพ้อขณะที่นางเผยความคิดในใจ

 

“เขาจะปกป้องข้าหรือ? ท่านสนิทกับท่านเจ้าสํานัก?” ความตกตะลึงบนใบหน้าป้ายเสี่ยวเฟยเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เพราะไม่ว่าเขาจะมองอย่างไร เสวี่ยอิ่งที่ไม่ค่อยจะเหมือนอาจารย์เท่าใดนักแถมยังไม่ค่อยรู้สถานการณ์ภายในสํานักไม่น่าจะมีเส้นสายใหญ่ขนาดนี้

“เจ้าคิดว่าเช่นไร!? หากข้าสนิทกับเขามีหรือที่ข้าจะต้องเป็นกังวลเช่นนี้? เมื่อครู่ข้าคงอัดพวกนั้นไปแล้ว! เจ้ามีสมองบ้างหรือไม่!?” เสวี่ยอิ่งโขกหัวป่ายเสี่ยวเฟยแรงๆ หนึ่งที สายตาของนางราวกับกําลังมองคนโง่อยู่

 

“ถ้าท่านไม่สนิทสนมกับเขา เหตุใดจึงเชิญเขามา? ท่านเจ้าสํานักผู้สูงส่งมีหรือจะสนใจศิษย์ห้องเรียนคนเถื่อนไร้ชื่อเสียงอย่างข้า?” นี่เป็นจุดสําคัญที่ทําให้ป่ายเสี่ยวเฟยรู้สึกประหลาดใจ เพราะอย่างไรเสียคําว่า “เจ้าสํานัก” แลจะเกินเอื้อมไปเล็กน้อย

“ข้าไม่อาจทําให้เขาเคลื่อนไหว แต่เจ้านี่ทําได้!” เสวี่ยอิ่งยิ้ม เยาะพลางมองลงไปยังเสี่ยวเอ้อที่ส่ายหางเล่นอยู่

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด