God of illusions – ตอนที่ 10 โกหกหน้าตาย!
เทียบกับพื้นที่สำหรับนักเรียนแล้ว พื้นที่จัดการงานมีคนน้อยกว่ามาก ยิ่งบริเวณสำนักงานของเจ้าสำนักมีพื้นที่กว้างขวางแต่ไม่เห็นแม้แต่เงาคนให้ถามทาง
เป็นเหตุให้ป๋ายเสี่ยวเฟยสิ้นเปลืองพลังงานและเวลาไปอย่างมากก่อนจะเจอสถานที่ที่ป๋ายเย่บอกว่า ”เดินตรงไปและเลี้ยวขวา”
เขาสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเคาะประตูเบาๆ
”เข้ามา” เสียงนั้นอ่อนโยนเป็นอย่างมาก ต่างจากตัวตนยากจะเข้าใกล้อย่างที่เขาคาดคิด
ป๋ายเสี่ยวเฟยโล่งอก เขาดันประตูเข้าไป
เครื่องของตกแต่งข้างในห้องเรียบง่ายเป็นอย่างมากไม่มีสิ่งไร้ประโยชน์แม้แต่น้อย ข้างหลังโต๊ะกว้างตัวหนึ่งมีผู้หญิงนั่งอยู่ ใบหน้าอ่อนโยนของนางยิ้มอ่อนเล็กน้อยเมื่อนางเห็นป๋ายเสี่ยวเฟย ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลาของนางไม่อาจปกปิดความงดงามในวัยเยาว์ได้
”คำนับท่านรองเจ้าสำนักลั่ว ข้าอยู่ในระหว่างการสอบเข้าสำนักชิงหลัวและข้าก็มาเพื่อผ่านบดทดสอบสุดท้าย” ป๋ายเสี่ยวเฟยทำสีหน้าเชื่อฟังของเด็กดีอย่างหาได้ยาก
”เด็กน้อยเจ้าทำได้ดีมาก นานมาแล้วที่สำนักชิงหลัวไม่ได้มีศิษย์ที่ทำคะแนนสอบได้ดีเช่นเจ้า กรอกรายละเอียดลงในกระดาษนี้แล้วเจ้าก็จะกลายเป็นศิษย์สำนักชิงหลัว” เสียงของลั่วซีเต็มไปด้วยความชื่นชมนางยื่นกระดาษให้ป๋ายเสี่ยวเฟย
”ขอรับ” ป๋ายเสี่ยวเฟยกรอกรายละเอียดทั้งหมดเสร็จภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที
เขาต้องขอบคุณแม่คนที่สองของเขา หากไม่ใช่เพราะนางป๋ายเสี่ยวเฟยคงไม่อาจอ่านเขียนได้เป็นแน่แท้
ลั่วซีผู้อ่อนโยนเริ่มอ่านผ่านๆ หลังจากนางได้รับมันมาสีหน้านางแข็งค้างทันที
ในชั่วพริบตานางฟ้าก็ได้กลายเป็นนางมาร!
ไม่หลงเหลือร่องรอยความอ่อนโยนบนใบหน้าเธออีกต่อไป มันถูกแทนที่ด้วยความโกรธเกรี้ยวและเกลียดชัง
”เจ้าแซ่ป๋าย!? ” ลั่วซีตะโกนถามเสียงดุดันกระดาษในมือนางถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย สายตาแหลมคมราวกับว่าจะมองลึกไปข้างใน
”ข้าไม่ทันสังเกตแต่หน้าเจ้าทำให้ข้าอยากจะฉีกเป็นชิ้นๆ เหมือนกระดาษนั่น ไสหัวไป! หากข้ายังอยู่ในสำนักชิงหลัวเจ้าอย่าหวังจะได้เป็นศิษย์ที่นี่! ”
ลั่วซีโกรธจนตัวนางสั่นเทิ้ม คำพูดที่ว่านางอยากจะฉีกป๋ายเสี่ยวเฟยเป็นชิ้นดูเหมือนไม่ใช่คำโกหก
ป๋ายเสี่ยวเฟยสามารถสัมผัสได้ถึงความโกรธเกรี้ยวอันรุนแรงของนางจากที่ไกล แต่เมื่อเจอเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเช่นนี้กลับไม่มีสีหน้าตกใจของเขาปรากฏให้เห็น ใบหน้าป๋ายเสี่ยวเฟยเต็มไปด้วยความตื้นตันแทน
ต่างจากลั่วซีที่มีสีหน้าประหลาด
”เจ้าแสร้งเรียกร้องความสงสารหรือไร? ไม่ได้ผลกับข้า! ” นางกล่าวเสียงเย็นชา โทสะของนางถูกขัดแต่ท่าทีต่อป๋ายเสี่ยวเฟยก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
”ท่านรองเจ้าสำนักลั่ว! พูดตามจริงข้าก็เหมือนท่าน ข้าเกลียดแซ่ของข้าเหลือเกิน มันเป็นความอัปยศของข้า! ”
ป๋ายเสี่ยวเฟยกล่าวใบหน้าของเขามีความเกลียดชังอันลึกล้ำ อารมณ์ภายในดวงตาไม่น้อยไปกว่าลั่วซีแม้แต่น้อย
”ข้าไม่เคยเจอพ่อข้ามาก่อนส่วนแม่ข้าก็หายตัวไปหลังจากให้กำเนิดข้าได้ไม่นาน สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดคือการที่แม่ข้ามักจะพูดเสมอว่าข้าหน้าตาคล้ายคลึงเขา ข้าเกลียดที่ต้องใช้แซ่เดียวกับพ่อข้า! ”
”ข้าได้คิดว่าจะเปลี่ยนแซ่ข้ามาหลายคราแต่ข้าก็ทำไม่ได้” ความโศกเศร้าพลันเปลี่ยนเป็นโทสะ หยาดน้ำตารื้นในดวงตาที่แดงก่ำ
”แต่แม่ของข้าไม่ยอมให้ข้าเปลี่ยน นางบอกว่ามันเป็นหลักฐานอย่างเดียวของที่บ่งบอกว่าข้าเป็นลูกชายของเขา ข้าสามารถเปลี่ยนแซ่ได้ก็ต่อเมื่อข้าพบพ่อและถ่ายทอดคำพูดของแม่ให้เขา”
”เพราะเหตุนี้ข้าจึงจำต้องใช้ชีวิตด้วยแซ่อันน่าเกลียดชังจนกว่าข้าทำคำขอสุดท้ายของแม่ให้เป็นจริง…”
โทสะของป๋ายเสี่ยวเฟยแปรเปลี่ยนกลับเป็นเศร้าโศกปนอ่อนโยน เขาสามารถควบคุมอารมณ์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ป๋ายเสี่ยวเฟยปาดน้ำตาจากนั้นจึงกล่าว
”ข้ามีเป้าหมายเพียงอย่างเดียวที่เข้าสอบที่สำนักชิงหลัว คือการฝึกปรือจนกลายเป็นนักเชิดหุ่นที่แข็งแกร่งเพื่อข้าจะได้สอนบทเรียนให้มัน! ”
ดวงตาเข้มแข็งเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
”ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดท่านจึงเกลียดแซ่ป๋ายรองเจ้าสำนักลั่ว หากท่านเกลียดแซ่นี้จริงๆ ท่านยิ่งควรให้ข้าเข้าสำนัก! ”
ช่วงเวลาที่กล่าวจบเป็นตอนเดียวกับเวลาที่มือทั้งสองของป๋ายเสี่ยวเฟยกระแทกเข้ากับโต๊ะทำงาน ดวงตาจ้องเขม็งไปที่ลั่วซี
ลั่วซีผู้ยืนอยู่ค่อยๆ นั่งลงไป แววตาแหลมคมหมายจะสำรวจภายในใจของป๋ายเสี่ยวเฟย
ภายในห้องเงียบเป็นเวลานานไร้ซึ่งเสียงรบกวน
ความเงียบไม่ทำให้ป๋ายเสี่ยวเฟยลำบากใจแต่อย่างใด เพราะเพียงแค่ลั่วซีสงบลงจากความเกรี้ยวกราดมันก็เป็นชัยชนะของเขา
และเขาได้ทำสำเร็จ
ท้ายที่สุดคือลั่วซีที่ทำลายความเงียบ นางยื่นแบบฟอร์มให้ป๋ายเสี่ยวเฟย
”กรอกรายละเอียดลงไป ข้าจะคอยจับตาดูเข้าไว้ อย่าให้ข้าจับได้ว่ามีสิ่งใดที่เจ้าพูดโกหก!”
กระดาษที่ถูกส่งให้เขาแลจะแตกต่างจากอันก่อน แต่ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่อยู่ในอารมณ์จะไปใส่ใจ เขาจำเป็นต้องแสดงอารมณ์ประหลาดใจอย่างยินดี
”ขอบคุณ ท่านรองเจ้าสำนักลั่ว! ”กล่าวเน้นทีละคำ ป๋ายเสี่ยวเฟยแสดงอารมณ์ทางสีหน้าโดยการยิ้มพลางน้ำตาคลอ
เมื่อเขาเดินออกจากห้องป๋ายเสี่ยวเฟยถูกจู่โจมด้วยความอยากถอนหายใจยาวแต่เขาข่มกลั้นมันไว้
ไม่ใช่เหตุผลอื่นใดนอกจากเขากลัวนางจะจับได้…
ในใจป๋ายเสี่ยวเฟยกล่าวขอบคุณทุกคนในหุบเขาวีรบุรุษ
เมื่อพวกเขาพบว่าป๋ายเสี่ยวเฟยไม่อาจโคจรปราณกำเนิดของตน กลุ่มคนที่ถูกปฏิเสธจากทวีปได้พยายามอย่างหนักในการสอน”ความรู้”มากมายหลายอย่างเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไม่ให้เขารู้สึกด้อยค่าในตัวเอง
แน่นอนว่าพวกเขาทุกคนล้วนได้ลิ้มรสเมล็ดพันธุ์ที่พวกเขาหว่านไว้…
คิดๆ ดูแล้ว หุบเขาวีรบุรุษได้เลี้ยงเขาให้กลายเป็นผู้มีความสามารถรอบด้านที่สามารถเอาตัวรอดได้ทุกสถานการณ์!
ป๋ายเสี่ยวเฟยถือแบบฟอร์มที่มีตราประทับพลางวิ่งอย่างตื่นเต้นไปยังจุดรับสมัคร เขายังต้องไปเอาสัมภาระที่นั่น
ในระหว่างทาง เสี่ยวเอ้อผู้ ”หาย” ไปเป็นเวลานานได้เจอเจ้านายมันอีกครั้ง มันวิ่งวนรอบป๋ายเสี่ยวเฟยอย่างกระตือรือร้น
”ไม่เลว เจ้าทำภารกิจได้ดีมากวันนี้ ไว้วันหลังข้าจะพาเจ้าไปกินอาหารอร่อยๆ ” ป๋ายเสี่ยวเฟยอุ้มเสี่ยวเอ้อขึ้นมา เขาเป็นคนแรกที่มาถึงจุดรับสมัคร ศิษย์พี่ที่รับผิดชอบเป็นผู้หญิงรูปลักษณ์ธรรมดา
”ศิษย์พี่หญิงมีอะไรหรือ? แบบฟอร์มที่ข้านำมาไม่ถูกต้องตรงไหน? ” เมื่อป๋ายเสี่ยวเฟยผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเห็นสีหน้าแปลกๆ ของศิษย์พี่หญิง เขารู้ทันทีว่ามีอะไรผิดไป
”ไม่มีอะไร มันแค่แปลกเล็กน้อย” นางกวาดตามองที่กระดาษอีกทีจากนั้นจึงทำสีหน้ารู้แจ้งเข้าใจ
”ป๋ายเสี่ยวเฟย…อ๋อ! ข้าเข้าใจแล้ว! เจ้าไปหารองเจ้าสำนักลั่วใช่หรือไม่? ” สายตาของศิษย์พี่หญิงมีร่องรอยความคาดหวังหมายอยากให้สิ่งที่นางคิดไว้เป็นจริง
”ใช่ ทำไมหรือ? ” ป๋ายเสี่ยวเฟยรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย
”งั้นก็ถูกต้องแล้ว! ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าเป็นคนแรกที่มาถึงแต่กลับถูกส่งไปเรียนห้องอำมหิต” ศิษย์พี่หญิงดื่มด่ำกับความฉลาดของนางเผยให้เห็นรอยยิ้มอ่อนจาง
”เอาล่ะ ของพวกนี้เป็นของเจ้า รับไป” หลังจากเขารับสิ่งของมาจากศิษย์พี่หญิง ป๋ายเสี่ยวเฟยถามเสียงสดใส
”ศิษย์พี่หญิง ห้องอำมหิตคือสิ่งใด? ”
คอมเม้นต์