God of illusions – ตอนที่ 15 แนะนำตัว!
“ข้าพูดจบแล้ว ที่เหลือเป็นเวลาของพวกเจ้าในการแนะนำตัว อย่าลืมแนะนำให้น่าสนใจเพราะพวกเจ้าทั้งหมดจะเป็นเด็กใหม่ห้องห่วยสามเดือน” เสวี่ยอิ่งให้โอกาสนักเรียนในการพูดรอยยิ้มของนางแฝงไว้ด้วยความหมายลึกซึ้ง
แต่ไม่มีใครอยากจะรับบทต่อจากนางสักคน…
เสวี่ยอิ่งราวกับรู้ว่าสถานการณ์ตรงหน้าจะบังเกิดนางจึงเรียกขานป๋ายเสี่ยวเฟยก่อนที่บรรยากาศจะน่าอึดอัดไปกว่านี้” เริ่มจากเจ้าป๋ายเสี่ยวเฟย!”
โชคดีที่ป๋ายเสี่ยวเฟยให้ความร่วมมือ เขาลุกขึ้นหลังจากได้ยินเสียงเรียก
เพราะอารมณ์เขาดีอยู่ในตอนนี้…
“สวัสดี ทุกคนคงรู้ชื่อข้าแล้ว ข้าป๋ายเสี่ยวเฟย เป็นนักเชิดหุ่นสายมายาระดับชำนาญ ข้ามาจากหุบเขาแห่งหนึ่งที่ไร้ชื่อเสียง โปรดสั่งสอนข้าด้วย” ป๋ายเสี่ยวเฟยนั่งลงทันทีหลังพูดเสร็จแต่การแนะนำตัวง่ายๆ ของเขากลับส่งเสียงกระซิบกระซาบไปทั่วห้องเรียน
ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากคำว่า” สายมายา”
ความไร้ประโยชน์ของสายมายาในระดับแรกๆ เป็นสิ่งที่รู้กันโดยทั่ว เพราะเหตุนี้เองทุกคนในห้องจึงได้ตีตราป๋ายเสี่ยวเฟยว่าเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดถึงแม้เขาจะอยู่ในขั้นชำนาญก็ตาม
หลังจากเขานั่งลงก็เป็นสือเฉินที่ยืนขึ้นมา ทุกคนพลันหยุดซุบซิบทันที น้ำเสียงเปี่ยมล้นด้วยความมั่นใจดังไปทั่วห้องเรียน
“ข้าสือเฉินจากอาณาจักรเทียนชิง ข้าเป็นนักเชิดหุ่นสายพิฆาตระดับรอบรู้ เหตุผลที่ข้ามาเรียนที่สำนักชิงหลัวก็เพื่อฝึกฝนให้ตัวเองเก่งขึ้นและทำความรู้จักกับศิษย์ที่แข็งแกร่ง”
นักเชิดหุ่นสายพิฆาตระดับรอบรู้ หากไม่มีอะไรผิดพลาดสือเฉินคือผู้ที่มีพลังต่อสู้สูงสุดในห้อง
เหล่านักเรียนทั้งหลายคิดเช่นนี้พลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่
‘พี่หญิงผู้นี้มิอาจล่วงเกิน!’
แต่ไม่มีใครในหมู่พวกเขาเคยได้ยินชื่ออาณาจักรเทียนชิงมาก่อน นอกจากจักรวรรดิบางแห่งแล้วบนทวีปยังมีอาณาจักรเล็กๆ อยู่ทุกที่แต่จำนวนของมันมีมากเกินไป ไม่ต้องพูดถึงบริเวณรอบๆ ของสำนักชิงหลัวที่รายล้อมไปด้วยอาณาจักรนับไม่ถ้วน
“ข้าฟางเย่ ผู้สืบทอดจากสหพันธ์การค้าหมิงเยว่ ข้าเป็นนักเชิดหุ่นสายจู่โจมระยะไกลระดับฝึกหัด หากเจ้าคนใดมีปัญหาเรื่องการเงินสามารถมาหาข้าได้ สิ่งที่แก้ไขได้ด้วยเงินไม่ใช่ปัญหาสำหรับข้า” ความมั่นใจของฟางเย่เหนือล้ำจนสือเฉินเทียบไม่ติด แต่พวกเขาล้วนยอมรับว่าความมั่นใจของฟางเย่พิชิตใจคนไปไม่น้อย
“หวังหางนักเชิดหุ่นสายลอบสังหารระดับฝึกหัด ข้าเป็นเพียงผู้คุ้มกันของนายน้อยเท่านั้น พวกท่านไม่จำเป็นต้องใส่ใจข้านัก” หวังหางนั่งลงหลังจากกล่าวเรียบๆ ไม่กี่คำ
ตามหลังเขาเป็นสือขุย โม่ข่าและหวู่จื๋อที่กล่าวแนะนำตัวเอง พวกเขาทั้งสามมาจากอาณาจักรเดียวกันแต่ไม่ได้รู้จักมักจี่จนกระทั่งมาถึงสำนักชิงหลัว
สือขุยมีความฝันอยากจะเป็นนักสร้างหุ่นเชิดที่เก่งกาจส่วนโม่ข่าอยากเป็นนักปรุงโอสถชั้นนำ
ที่น่าสงสารคือหวู่จื๋อในฐานะผู้ครอบครองร่างกายเทียนหยวน หวู่จื๋อไม่อาจฝ่าด่านแรกในการควบคุมหุ่นเชิด ด่านเชื่อมต่อจิตใจไปได้ ท้ายที่สุดเขาเป็นได้เพียงนักสู้ อาจกล่าวได้ว่าพ่อแม่ช่างตั้งชื่อได้เหมาะสมกับเขาจริงแท้ เขาเป็นนักสู้ระดับวรยุทธ์เมื่ออายุได้สิบหกปีเท่านั้น
(หวู่จื๋อมีความหมายว่ายึดมั่นในวิถียุทธ์)
หวู่จื๋อเพียงน่าสงสารในสำนักชิงหลัวที่ซึ่งเต็มไปด้วยนักเชิดหุ่น ทั่วทั้งทวีปชิงหลัวนักเชิดหุ่นมีเพียงไม่กี่พันของประชากรทั้งหมดเพราะคนที่อยากแข็งแกร่งขึ้นส่วนใหญ่ได้เพียงแต่เดินในเส้นทางนักสู้
ระดับของนักสู้ในทวีปถูกแบ่งออกเป็นเก้าระดับเช่นกัน มีระดับฝึกหัด วรยุทธ์ นักรบ ปรมาจารย์ ยอดปรมาจารย์ ยอดยุทธ์ ตำนาน ศักดิ์สิทธิ์ เจ้ายุทธ์
สามระดับสุดท้ายมีอยู่ในทฤษฎีเท่านั้นและทั่วทั้งทวีปผู้ที่สามารถฝึกไปถึงระดับยอดยุทธ์ได้ถือเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่
แต่มีข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งสำหรับการเป็นนักสู้!
เป็นเหตุผลที่ใกล้เคียงกับการที่ว่าเหตุใดนักเชิดหุ่นสายมายาจึงไม่ถูกมองในแง่ดี หากนักเชิดหุ่นสายมายาในระดับแรกเป็นดั่งเด็กพิการ เช่นนั้นสำหรับนักสู้แล้วนักเชิดหุ่นคนอื่นไม่ต่างอะไรกับเด็กถือกิ่งไม้…
ไม่มีเหตุผลสำหรับต้าหมิง เสี่ยวหมิงและจูนั่วที่จะต้องพูดซ้ำ ในส่วนของต้วนอีอีผู้ซึ่งเขินอายเกินกว่าจะกล้าพูด นางเป็นนักเชิดหุ่นสายสนับสนุนระดับฝึกหัด เช่นเดียวกับกลุ่มของโม่ข่า พวกเขาได้ทำความรู้จักกันผ่านการทดสอบ
ชีเว่ยผู้ไม่เคยหยุดพูดเป็นนักเชิดหุ่นสายแปลงกายระดับฝึกหัด เมื่อนางเปิดเผยข้อเท็จจริงนี้ เหล่านักเรียนชายอดไม่ได้ที่จะจินตนาการว่าร่างใดบ้างที่นางสามารถแปรเปลี่ยน…
เฉินฮุยแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการเพื่อยืนยันนิสัยจริงจังของเขา อย่างน่าตกใจเขาคือนักเชิดหุ่นสายพลังงานที่หาได้ยาก เสวี่ยอิ่งตื่นเต้นอยู่นานเพราะเหตุนี้
หลังจากนักเรียนที่เพิ่งสอบเข้าจบการศึกษาจากห้องเรียนเตรียมพวกเขาจะถูกส่งไปยังสาขาต่างๆ ในสำนักชิงหลัว และสาขาของสายพลังงานถูกเรียกว่า” เทพในหมู่ปุถุชน!”
กลุ่มสุดท้ายที่แนะนำตัวคือคู่รักวัยเยาว์ฉิงหนานและจู๋ซือซือ การหมั้นหมายในอายุเพียงสิบหกเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อในหลายที่แต่สำหรับบ้านเกิดของพวกเขาอายุนี้ถือได้ว่าช้าพอสมควรแล้ว
จู๋ซือซือเป็นนักเชิดหุ่นสายจู่โจมรวดเร็วระดับรอบรู้ ในขณะที่ฉิงหนานเป็นสายจู่โจมระยะไกลระดับรอบรู้เช่นกัน
เมื่อทุกคนได้แนะนำตัวเองเสร็จ มีเพียงหลินหลีเท่านั้นที่ยังนั่งนิ่งเงียบ อย่างไรก็ตามนางไม่มีทีท่าที่จะลุกขึ้นแม้แต่น้อย
“ถึงตาเจ้า” ป๋ายเสี่ยวเฟยยื่นนิ้วไปจิ้มหลินหลี ความอ่อนนุ่มและอบอุ่นทำป๋ายเสี่ยวเฟยแช่มชื่นในใจไม่น้อย
“ตาข้า…ทำอะไร?” หลินหลีกล่าวกลางหันหน้ามาหาเขา ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้กับคำถามนี้ดี
“ตาเจ้าแนะนำตัว แค่พูดชื่อเจ้าก็พอ”
สายตาของคนทั้งห้องจับจ้องที่หลินหลี พวกเขาเต็มไปด้วยความสงสัย… ‘สงสัย’ ในตัวดรุณีน้อยที่งดงามหลุดโลกคนนี้…
หลินหลีพูดชื่อตัวเองอย่างแช่มช้า” หลิน…หลี” ใบหน้ายังคงแข็งตั้งแต่ตอนเข้ามาในห้องเรียน
“ยื่นขึ้นแล้วพูด..” ป๋ายเสี่ยวเฟยเตือนอีกครั้ง นางยืนขึ้นเอ่ยชื่อของตัวเองซ้ำอีกครั้งและจึงเงียบไป
เขาถามต่อ “เจ้ามาจากที่ใด?”
“ภูเขาวั่งฉิง”
“เป็นนักเชิดหุ่นสายอะไร?”
“พลังงาน”
“ระดับไหน?”
“ปรมาจารย์” คำตอบของนางทำให้ทุกคนตกตะลึง
‘เราได้ยินผิดไปหรือไม่?’
‘เป็นไปไม่ได้!’
‘ถ้าเช่นนั้นนางอยู่ระดับปรมาจารย์ได้อย่างไร!?’
‘นักเชิดหุ่นสายพลังงานระดับปรมาจารย์ถูกส่งมาที่ห้องเรียนอำมหิตได้เช่นไร!? แล้วนางยังมาช้าอีก!?’
ในหัวของทุกคนเต็มไปด้วยคำถามอยู่ชั่วครู่
“ข้ายัง…ต้องกล่าวอะไรอีกหรือไม่?” ครั้งนี้เป็นหลินหลีเองที่ก้มหน้าถามป๋ายเสี่ยวเฟย เสียงสดใสไพเราะเสนาะหูของนางดึงสติป๋ายเสี่ยวเฟยกลับเข้าตัว
“ไม่…ไม่ต้องแล้ว” ป๋ายเสี่ยวเฟยกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงไปพลางสำรวจหญิงสาวข้างกายเขาที่เงอะงะไม่สันทัดเรื่องวาจา
“อา…ขอบคุณ” รอยยิ้มของสาวงามงดงามราวกับบุปผาบานสะพรั่งและเมื่อนางกล่าวคำขอบคุณใบหน้าเผยร่องรอยความเปลี่ยนแปลงและเป็นสิ่งนี้เองที่ทำให้ทุกคนคิดเป็นเสียงเดียวว่า
‘พวกเราสะสมบุญไว้มากเท่าใดในชาติก่อนถึงได้โชคดีมาเรียนอยู่ห้องเดียวกับหญิงสาวระดับนี้!!?’
แม้แต่นักเรียนผู้หญิงก็อดคิดเช่นนี้ไม่ได้…
“เอาล่ะในเมื่อพวกเจ้าทุกคนแนะนำตัวกันเสร็จแล้ว ต่อไปจะเป็นการแบ่งหอพัก” ความได้เปรียของอายุเผยให้เห็นเมื่อเสวี่ยอิ่งดึงความสนใจของทุกคนมาจากหลินหลี
ไม่เหมือนการแนะนำตัว การแบ่งหอพักคือส่วนสำคัญ!
คอมเม้นต์