God of illusions – ตอนที่ 18 ข้าจะกินให้ท่านเจ็บ
ป๋ายเย่สาบานว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนกล้ากลั่นแกล้งฉินหลิงหยานเช่นนี้ และเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นนางทำสีหน้าแบบนี้ด้วย!
บนโต๊ะข้างหน้าพวกเขามีจานขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้างวางเรียงกันเกือบสองชั้นแต่บริกรก็ยังไม่เลิกยกจานอาหารมาส่ง
“เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้ากินหมด?” ฉินหลิงหยานกัดฟินแน่นจนมีเสียงออกมาเพราะอาหารไม่กี่จานตรงหน้ามีราคาเท่ากับค่าอาหารของนางทั้งเดือน
“อย่ากังวลไปศิษย์พี่หญิง ข้าไม่มีทางกินทิ้งกินขว้างแน่นอน หากข้าทำเช่นนั้นข้าจ่ายค่าอาหารเองก็ได้!!” ป๋ายเสี่ยวเฟยถูมือทั้งสองข้างพับแขนเสื้อขึ้นไป ก่อนที่เขาจะลงมือจัดการอาหารตรงหน้าเสี่ยวเอ้อก็พลันส่งเสียงเห่าออกมมา
“ไม่ เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือไร? ข้าอนุญาตให้เจ้ากินได้เท่าที่อยากแล้วข้าจะไปแข่งกับเจ้าได้ไง?” ป๋ายเสี่ยวเฟยกลอกตามองเสี่ยวเอ้อแล้วจึงเข้าสู่สนามรบ
หลังจากนั้นป๋ายเย่และฉินหลิงหยานได้รู้เห็นเป็นพยานแก่พายุบ้าคลั่งภายในร้านอาหารที่กวาดล้างทุกสิ่งตรงหน้า!
หนึ่งจาน สองจาน สามจาน…
ไม่ว่าอาหารบนจานจะเป็นอะไรก็ไม่อาจหยุดหยั้งป๋ายเสี่ยวเฟยได้ เขาเพียงดึงจานอย่างราบเรียบก่อนจะสวาปามทุกอย่างเข้าไป ที่น่าตกใจคือเขาสามารถวิจารณ์อาหารอย่างเหมาะสมด้วยความรวดเร็วเช่นนี้!
เพียงชั่วพริบตา พื้นที่ตรงหน้าถูกเปลี่ยนให้กลายเป็น ‘บริเวณว่างเปล่า’
เว้นแต่ว่าป๋ายเสี่ยวเฟยยังเป็นรองสุนัขของเขาเสี่ยวเอ้อ ผู้ซึ่งฉินหลิงหยานเคยคิดว่าเป็นแค่หุ่นเชิดที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ หากฉินหลิงหยานได้มีโอกาสย้อนเวลากลับไปอีกครั้งนางต้องไม่มีทางประเมินว่าเสี่ยวเอ้อเป็นแค่สุนัขตัวน้อยแน่นอน
‘มันไม่ใช่สุนัข!’
‘มันเป็นช้างในคราบสุนัข! ต้องเป็นเช่นนี้ไม่ผิดแน่!!!’
เสี่ยวเอ้อร่างกายไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แต่มันราวกับเป็นเหมือนกับหลุมดำที่ดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไป ที่สำคัญมันกินเร็วกว่าป๋ายเสี่ยวเฟยตั้งสองเท่า!
ยิ่งกว่านั้นหากมองสีหน้าตื่นเต้นของมันให้ดีจะเห็นได้ว่ามันเพิ่งอุ่นเครื่องเสร็จ…
“เอ๋ ทำไมท่านทั้งสองไม่กิน?” เมื่อป๋ายเสี่ยวเฟยลูบพุงป่องของตนพลางเลอออกมา ในที่สุดเขาก็จำได้ว่ายังมีอีกสองคนที่นั่งโต๊ะเดียวกับเขา ริมฝีปากป๋ายเสี่ยวเฟยมีคราบน้ำมันส่องสว่างไปทั่ว “อา ข้าขอโทษ ข้าเผลอกินไปหมดซะได้”
ป๋ายเสี่ยวเฟยมองบนโต๊ะเห็นแต่จานว่างเปล่า เขาตบตัวเองที่กระหม่อมเผยให้เห็นรอยยิ้มเขินอาย
เป็นจังหวะนี้เองที่ป๋ายเย่ตกตะลึง ส่วนฉินหลิงหยานผู้ที่ควรจะโกรธเกรี้ยวเพราะโทสะไม่รู้ว่านางควรจะทำสีหน้าเช่นไรดีในสถานการณ์เช่นนี้
ทั้งสองมีความคิดเดียวกันผุดขึ้นมาในหัว ‘พวกเขากินเสร็จเสียที!’
น่าเสียดายที่สิ่งที่พวกเขาคิดกลับไม่เป็นความจริง…
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร นี่เป็นเพียงอาหารชุดแรกเท่านั้น ยังมีอีกมากที่ข้าสั่งไว้ พวกท่านทั้งคู่ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้กิน” เมื่อป๋ายเสี่ยวเฟยกล่าว ฉินหลิงหยานกับป๋ายเย่สีหน้าเปลี่ยนเป็นน่ากลัวทันที
“ยังมีอีก!!??” ทั้งคู่ตะโกนในจังหวะเดียวกัน ใบหน้าเหลือเชื่อไม่แม้แต่จะอธิบายความตกตะลึงในใจพวกเขาได้หมด
“ถูกต้อง ข้าสั่งอาหารชุดเมื่อครู่ทั้งหมดสี่ชุด เราสามารถสั่งได้อีกหากมันไม่พอ” ป๋ายเสี่ยวเฟยกล่าวเสียงเรียบแตกต่างจากป๋ายเย่และฉินหลิงหยานที่ตกตะลึงพรึงเพริด
ในตอนนี้เองที่ป๋ายเย่เข้าใจคำถามเมื่อครู่ของป๋ายเสี่ยวเฟย ‘อาหารเต็มโต๊ะสี่ชุด ฉินหลิงหยานอาจไม่มีเงินจ่ายจริงๆ ….’
“ป๋ายเสี่ยวเฟย!!!”
ปัง!
ฉินหลิงหยานลุกขึ้นยืนใช้มือตบโต๊ะแรงจนมันสั่น แต่ก่อนที่นางจะได้ระบายโทสะป๋ายเสี่ยวเฟยชิงจังหวะพูดออกมาเสียก่อน
“ศิษย์พี่หญิงไม่ต้องเป็นกังวล เพียงบอกข้าหากท่านไม่มีเงินจ่าย ข้าจะได้บอกยกเลิกอาหารชุดที่เหลือ ข้าไม่ใช่คนไม่รู้กาลเทศะและข้าจะไม่ทำให้ท่านลำบากใจ” ฉินหลิงหยานกลืนคำพูดที่นางจะกล่าวลงไปเมื่อได้ยินเช่นนี้
ส่วนป๋ายเย่ผู้นั่งอยู่ข้างกายเขากังวลกับอนาคตของป๋ายเสี่ยวเฟยขึ้นมา
‘ไม่ต้องจินตนาการก็เห็นภาพเลยว่าอนาคตของศิษย์ใหม่ที่กล้าหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความเป็นปฏิปักษ์กับศิษย์พี่หญิงผู้โด่งดังอย่างฉินหลิงหยานจะเป็นเช่นไร’
‘นี่หรือที่เขาหมายถึงเมื่อพูดว่า “อยู่ให้ต่ำจนถึงที่สุด” แต่..’
‘มันจะต่ำตมเกินไปแล้ว!!!’
ป๋ายเย่คิดพลางทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตุการณ์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“บริกร เอาอาหารมาอีกสองชุด!!” เสียงของฉินหลิงหยานดังก้องผิดกับภาพลักษณ์เย็นชาของนาง นางราวกับได้เข้าสู่สนามรบเพื่อต่อสู้เป็นตายกับป๋ายเสี่ยวเฟยเสียแล้ว
“วันนี้ไม่เจ้าตายเพราะพุงแตกก็เป็นข้าที่จน! มิเช่นนั้นอย่าหวังว่าจะได้ก้าวขาออกไปจากที่นี่!” ฉินหลิงหยานขึงตาที่เต้มไปด้วยโทสะใส่ป๋ายเสี่ยวเฟย นางกล่าวความคิดในใจไม่คิดจะปิดบังแม้แต่น้อย
“ศิษย์พี่หญิง ท่านจะทรมานตนเองไปทำไม?” ม่านตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวเฟยหดลงเล้กน้อย บนหน้ามีความลำบากใจปรากฏให้เห็น
“ข้าไม่ได้ทรมานอะไรทั้งนั้น เจ้ากินของเจ้าไป!” ฉินหลิงหยานนั่งลงอีกครั้ง ในที่สุดนางก็รู้สึกถึงชัยชนะอันใกล้ น่าเสียดายที่ความรู้สึกนี้อยู่ไม่นานนัก…
“บริกร ยกอาหารมาอีกสองชุด” ป๋ายเสี่ยวเฟยกล่าวเมื่อเห็นฉินหลิงหยานนั่งลง ทำให้นางรู้สึกราวกับว่านางได้ตัดสินใจผิดไป
“เสี่ยวเอ้อ เมื่อครู่ไม่ใช่เจ้าหรือที่ต้องการประลองแข่งกินกับข้าว่าใครจะกินได้มากกว่ากัน?” ในขณะที่เขาพูดความผันผวนพิเศษพลันถูกปลดปล่อยมาจากข้างในร่าง
เมื่อเสี่ยวเอ้อที่กำลังหยุดพักระหว่างการต่อสู้ได้ยินเช่นนี้ มันรีบส่ายหัวอย่างรวดเร็วราวกับกำลังจะพูดคำที่ป๋ายเสี่ยวเฟยเคยกล่าวกับเขา
‘การประลองกับเจ้าในสภาพนี้จะไปต่างอะไรกับให้อาหารสุนัขเจ้าฟรีๆ !?’
เป็นเวลาชั่วไม่กี่ลมหายใจที่เสี่ยวเอ้อพร่ำบ่นนี้เองที่ท้องป่องๆ ของป๋ายเสี่ยวเฟยหดลงด้วยความเร็วสูงอย่างเห็นได้ชัด พลังภายในร่างคล้ายจะเพิ่มขึ้น
เมื่อตอนเขาอยู่กับชายชราเทียนจี ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่ได้บอกทุกเรื่องเกี่ยวกับตัวเขาให้ชายชราฟัง
เรื่องที่เขาไม่สามารถโคจรปราณกำเนิดเป็นเรื่องจริงแต่ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่เคยหยุดควบคุมหุ่นเชิดของเขา พลังพิเศษที่ทำให้เขาสามารถควบคุมหุ่นเชิดได้แม้ไม่มีปราณกำเนิดมาจากพ่อสี่ของเขา!
สุนัขกลืนสวรรค์ ถูปู้จิน
มีเพียงไม่กี่คนภายในทวีปที่รู้จักฉายาสุนัขกลืนสวรรค์ แต่เคล็ดวิชาของเขาถูกเล่าขานว่าเป็นตำนาน
เคล็ดวิชากลืนโลกามีความสามารถในการสะสมพลังงานภายในร่างกายด้วยการกิน พลังงานนี้สามารถใช้แทนอาหารในแต่ละวันที่ต้องกินหรือแปรเปลี่ยนไปเป็นปราณกำเนิดถึงแม้คุณภาพจะอ่อนด้อยกว่าของแท้ก็ตาม
เป็นเคล็ดวิชานี้เองที่ช่วยให้ถูปู้จินสามารถสร้างประวัติศาสตร์หลบหนีเป็นเวลาสามเดือนโดยไม่ต้องกินไม่ต้องหลับนอนในขณะที่เขาทำการสังหารศัตรูที่ไล่ตามเขานับไม่ถ้วน
ป๋ายเสี่ยวเฟยใช้งานเคล็ดวิชานี้เอง…
เวลาไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในชีวิตฉินหลิงหยานที่นางรู้สึกว่าการมองคนอื่นกินอาหารช่างเจ็บปวดทรมานเหลือเกิน
วินาทีที่ป๋ายเสี่ยวเฟยหยุดกิน ฉินหลิงหยานพลันรู้สึกราวกับได้ถูกปลดปล่อยและไม่ใช่นางเท่านั้นที่รู้สึกเช่นนี้ แม้แต่ป๋ายเย่ก็ยังอดไม่ได้ที่ขับเหงื่อเย็นเยียบออกมา
“วันนี้พอแค่นี้เถิดศิษย์พี่หญิง อย่างไรเสียข้าก็ไม่อาจให้ท่านขายกายจ่ายค่าอาหารได้ จริงหรือไม่?”
ฉินหลิงหยานไม่สนคำพูดป๋ายเสี่ยวเฟย นางเชื่อว่าหากนางกล่าวโต้ตอบออกไปเขาจะต้องสั่งอาหารมาอีกสองชุดเป็นแน่แท้ ไม่มีทางที่นางจะสามารถจ่ายอาหารอีกสองชุดไหว….
ป๋ายเสี่ยวเฟยผู้ดื่มด่ำกับอาหารจนพึงพอใจเช็ดปากแล้วจึงดีดนิ้วใส่เสี่ยวเอ้อ
“ไปกันเถอะเสี่ยวเอ้อ!”
ฉินหลิงหยานจ้องมองหนึ่งคนหนึ่งสุนัขเดินจากไป นางพลันนึกถึงคำที่ป๋ายเสี่ยวเฟยเคยกล่าวไว้ทันที
‘ข้าจะให้ศิษย์พี่หญิงเลี้ยงอาหารข้ามื้อใหญ่จากนั้นท่านจะเจ็บปวดใจจนไม่สามารถลืมข้าลง….’
คอมเม้นต์