จอมยุทธ์ระบบเลเวล Invincible Level Up – ตอนที่ 48

อ่านนิยายจีนเรื่อง จอมยุทธ์ระบบเลเวล Invincible Level Up ตอนที่ 48 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.
ตอนที่ 48 แบบใดจึงเรียกขวัญกล้าบังอาจ?
เสี่ยวหยูเฟิงตกตาย ฉินเทียนได้ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ คู่ประลองของเขาคือ จ้าวคง
เขาห่างจากตำแหน่งชนะเลิศอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อเสี่ยวหยูเฟิงได้ตกตายไปแล้ว ความโกรธในใจของเขาก็สลายคลาย เขาไม่ต้องการจะนำชีวิตของตนเข้าไปเสี่ยงกับการประลองอีก เขาไม่ได้ใส่ใจต่อฉายาอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งเมืองชิงเหอแม้แต่น้อย ผู้ใดอยากได้ก็รับไปเถอะ จะอย่างไรเขาก็ไม่ได้สนใจจะเป็นต้นไม้ใหญ่ต้านลมอยู่แล้ว*
[ยิ่งมีชื่อเสียง ยิ่งดึงดูดปัญหา]
หลังจากเวทีประลองถูกจัดระเบียบใหม่ สายตาเสี่ยวลี่ก็เต็มไปด้วยเพลิงแห่งโทสะที่ลุกโชน คล้ายกับต้องการใช้เพลิงโทสะในใจเผาผลาญฉินเทียนให้มอดม้วยมรณาไป
ทว่าฉินซานเทียนยังคงระแวดระวังอยู่ตลอด มันเฝ้ากังวลว่าเสี่ยวลี่จะสูญเสียสติสัมปชัญญะแล้วลงมือต่อฉินเทียน ผู้ใดยังจะยั้งยับความเศร้าโศกจากการสูญเสียบุตรชายคนโตไปได้?
อีกทั้งฉินเทียนเองก็อยู่ห่างจากตำแหน่งชนะเลิศอีกเพียงก้าวเดียว ดังนั้นมันจึงกังวลต่อความปลอดภัยของฉินเทียน ตราบใดที่ฉินเทียนคว้าตำแหน่งชนะเลิศมาได้ ตำแหน่งประมุขของมันก็จะเสถียรมั่นคง อย่างที่น้อยที่สุดเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลก็จะไม่อาจบีบให้มันลงจากตำแหน่ง
หลังจากนั้นไม่นานผู้คนของตระกูลฉินก็จะไม่มีผู้ใดกล้าไม่พอใจต่อการดำรงตำแหน่งประมุขตระกูลของมัน
ในฐานะประมุขตระกูลที่อายุน้อยที่สุดของตระกูลฉินแล้ว มันจะยังไม่มีหนทางหรือ?
ที่บนเวทีประลอง ฉินเทียนมองดูจ้าวคงอย่างสงบ
จ้าวคงหรี่ตาลงและเผยรอยยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์ราวสุนัขจิ้งจอกออกมา มันเริ่มโคจรพลังปราณเข้าสู่หมัด
ปราณเพลิงสีชาด?
“ปีศาจเฒ่าจ้าวกลับสอน ‘เคล็ดเพลิงสีชาด’ แก่มัน?” ฉินซานเทียนหันไปจ้องจ้าวอู่ตี้ สีหน้าของมันเปลี่ยนเป็นมืดมนขณะคิดขึ้นในใจ ‘ดูเหมือนฉินเทียนจะหมดหวังแล้ว’
ในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองชิงเหอ เหตุใดตระกูลจ้าวถึงอยู่อันดับที่หนึ่งน่ะหรือ?
สาเหตุหลักเลยก็คือ ‘เคล็ดเพลิงสีชาด’ ซึ่งนับเป็นทักษะระดับทองคำ เป็นทักษะเฉพาะที่เหนือกว่าทักษะระดับสูงของเมืองชิงเหอ นี่เป็นทักษะที่บรรพบุรุษของเมืองชิงเหอค้นพบระหว่างการผจญภัยในเทือกเขา ผู้บ่มเพาะจะสามารถใช้ปราณเพลิงสีชาดที่ร้อนแรงคล้ายเพลิงจากมังกรทำให้ผู้อื่นยากจะเข้าใกล้ ทั้งมันยังสามารถยกระดับพลังของทักษะได้นับเท่าตัว
ที่ทั้งเคราและเส้นผมของจ้าวอู่ตี้มีสีแดงฉานก็เพราะมันฝึกฝนเคล็ดเพลิงสีชาดนี้เอง ทั้งยังมีผลลัพธ์ไม่เลว แม้ว่าจ้าวคงจะไม่อาจเทียบกับจ้าวอู่ตี้ได้ แต่สำหรับมันที่สามารถมาถึงขั้นปลดปล่อยปราณสีชาดได้นั้น ระดับบ่มเพาะของมันก็สมควรอยู่ห่างจากระดับสูงสุดขั้นก่อตั้งวิญญาณไม่มาก
ตระกูลจ้าวเก็บงำมานานหลายปี สุดท้ายเพาะสร้างอัจฉริยะผู้ยอดเยี่ยมขึ้นมา
ผู้อาวุโสบางคนเริ่มหันไปกระซิบกระซาบกัน เดิมทีพวกมันคิดว่าฉินเทียนจะเป็นผู้ชนะเลิศ ทว่าตอนนี้ไม่มีผู้ใดคิดเช่นนั้นแล้ว
จ้าวอู่ตี้สมเป็นจิ้งจอกเฒ่าจริงๆ ม่านตาของมันหดเล็กลง รอยยิ้มยิ่งมายิ่งกว้าง สำหรับงานชุมนุมสี่ตระกูลในครั้งนี้แล้ว ตระกูลของมันจะต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน
“เจ้าช่างโชคร้ายนัก สิ่งนี้เตรียมไว้เพื่อเสี่ยวหยูเฟิง แต่น่าเสียดายที่มันตกตายไปแล้ว ดังนั้นข้าจึงต้องต่อสู้กับเจ้าแทน” จ้าวคงกล่าวอย่างโอ่อ่า ในสายตาของมัน ฉินเทียนได้กลายเป็นคนตายไปแล้ว
“วางใจเถอะ ข้าจะปราณีต่อเจ้า”
“ข้าเพียงจะส่งเจ้ากลับไปพิการดังเดิม”
“ท้ายที่สุดแล้ว ตัวตนของเจ้าก็ถือเป็นภัยคุกคามต่อตระกูลจ้าวไม่น้อยเลย”
สองมือพลันขยับเคลื่อนไหวก่อเป็นหมัดนับไม่ถ้วน บรรยากาศเปลี่ยนเป็นร้อนระอุราวกับยืนอยู่บนปากปล่องภูเขาไฟ การหายใจของมันแทบจะสมบูรณ์ไร้ที่ติ ร่างกายของมันมั่นคงดุจขุนเขา มีเพียงผู้บ่มเพาะที่ทรงพลังและมีความมั่นใจอย่างเปี่ยมล้นเท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จถึงขั้นนี้ การเก็บงำฝีมือของจ้าวคงนับว่ายอดเยี่ยมยิ่ง
ฉินทียนระมัดระวังมากยิ่งขึ้นขณะมองดูหมัดนับไม่ถ้วนกำลังก่อตัว เขาพลันคิดไปถึง ‘ฝ่ามือลวงตา’ กระนั้นในครั้งนี้เขากลับไม่อาจแยกแยะพวกมันได้ ราวกับว่าหมัดทุกหมัดนั้นเป็นของจริง
“ฆ่ามันซะ….”
จ้าวเจียงหนานที่ด้านล่างเวทีตะโกนออกมา แววตาของมันเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดีก่อนจะหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ภายใต้ปราณหมัดเพลิงสีชาดแล้ว ยังจะมีผู้ใดต้านทานได้อีก?
จ้าวคงไม่ได้เอ่ยวาจาอีก มันเหวี่ยงหมัดทั้งสองไปเบื้องหน้าและทำให้หมัดนับไม่ถ้วนที่อยู่ด้านหลังเริ่มเคลื่อนไหว หมัดเหล่านั้นเริ่มสับเปลี่ยนตำแหน่งอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังผนึกหนทางถอยของฉินเทียนเอาไว้ทั้งหมด
หมัดนี้ปิดทางถอยทั้งหมดเอาไว้
ฉินเทียนต้องถอยหลบอย่างไม่มีทางเลือก แต่ไม่ว่าเขาจะหลบไปทางใด หมัดทั้งหมดก็จะติดตามเขาดุจเงาตามตัว บรรยากาศยิ่งมายิ่งร้อนอบอ้าว เสื้อผ้าของฉินเทียนชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
“บัดซบ นี่แค่ท่าแรกยังต้องเล่นใหญ่ถึงเพียงนี้เลย?”
ฉินเทียนก่นด่าอยู่ในใจก่อนจะเรียกใช้เคล็ดมังกรฟ้า ฝุ่นผงโดยรอบเริ่มพัดหมุน พลังปราณของเขาแผ่พุ่งต้านทานอากาศร้อนเอาไว้
“เปล่าประโยชน์ เจ้าเพียงอยู่ในระดับสี่ขั้นก่อตั้งวิญญาณ ขณะที่ข้าอยู่ในระดับที่แปดแล้ว เจ้ายังไม่ใช่คู่มือของข้า ในการต่อสู้ก่อนหน้าเจ้าได้ใช้พลังปราณไปมหาศาล อีกไม่นานเจ้าก็จะทนไม่ไหว ฟังคำชี้แนะของข้าหรือลิ้มรสการถูกเพลิงผลาญ”
ทุกครั้งที่จ้าวคงก้าวเท้าออก แรงกดดันก็กดทับเข้าใส่ฉินเทียนมากขึ้น แรงกดดันมหาศาลที่มาพร้อมความร้อนของเปลวเพลิงทำให้ฉินเทียนแทบเสียสติ
เขาจะต้องฝืนต้านทานหมัดนี้ต่อไป มิเช่นนั้นเขาก็อาจตายหรือพิการ
นี่จะไม่ปราณีต่อเขาหน่อยหรือ?
“บัดซบ…..”
ฉินเทียนสบถขณะมองจ้าวคงที่ใกล้เข้ามา ทันใดนั้นม่านตาทั้งสองของเขาพลันเบิกกว้าง เสียงกู่ร้องของมังกรดังขึ้นตามมา
โฮกกกกกกกก
พลังมังกรบรรพกาลสีครามพร้อมด้วยคชสารดึกดำบรรพ์พลันไหลทะลักออกมา
ขุมพลังทั้งสองผสานเข้าด้วยกัน สั่นสะเทือนไปทั้งสวรรค์และปฐพี หมัดนับไม่ถ้วนที่ลอยอยู่ในอากาศเริ่มสลายหายไป เสียงคำรามยังคงดังกึกก้อง จ้าวคงหน้าเปลี่ยนสี กระนั้นมันกลับไม่ลนลาน มันรีบถอยออกไปโดยเร็ว จากนั้นจะตะโกนว่า “อัคคีผลาญฟ้า!”
ร่างกายของจ้าวคงคล้ายกลายเป็นเพลิงกลุ่มหนึ่ง พลังของมันเพิ่มขึ้นดุจเหินบิน
สิ้นเสียงตะโกน ร่างของมันก็หายไปแล้ว
ขณะที่ฉินเทียนกำลังตกใจ เขาก็สัมผัสได้ถึงความร้อนจากด้านบน ฉินเทียนเร่งใช้พลังมังกรพิสุทธิเข้าต้านทาน
ครืนนนนนนน
ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงฉานดุจโลหิต แฝงเอาไว้ด้วยความอันตรายและความงดงาม
พื้นเวทีประลองที่ฉินเทียนยืนอยู่เริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ขุมพลังอันกล้าแข็งนี้ทำให้ผู้ที่มีระดับบ่มเพาะอ่อนด้อยเริ่มหน้ามืด เหล่าผู้อาวุโสเร่งโคจรพลังปราณเข้าต้านทานพลังที่แผดพุ่งเข้าหาพวกมัน
พลังทั้งสองขุมเข้าปะทะกันจนก่อเป็นคลื่นกระแทกสาดซัดไปโดยรอบ
ไม่นานฝุ่นผงก็หายไป พื้นเวทีใต้เท้าของฉินเทียนแหลกละเอียดเป็นผุยผง ใบหน้าของเขาซีดขาว มีโลหิตไหลย้อยจากมุมปาก ฉินเทียนกวาดสายตาอย่างเย็นชา “พลังปราณของระดับที่แปดขั้นก่อตั้งวิญญาณช่างแข็งแกร่งจริงๆ น่ากลัวนัก”
อีกด้านหนึ่ง เสื้อผ้าของจ้าวคงฉีกขาดจนเผยให้เห็นชุดเกราะที่แผ่กลิ่นอายพลังวิญญาณออกมา ใบหน้าของมันเผยแววโล่งใจ เมื่อเทียบกันแล้ว มันยังบาดเจ็บน้อยกว่าฉินเทียน
“เกราะวิญญาณ?”
“จ้าวอู่ตี้ สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร?”
ฉินซานเทียนลุกขึ้นด้วยความโกรธ มันชี้นิ้วไปยังจ้าวอู่ตี้ขณะที่ตะโกนถามออกมา
“อืม” จ้าวอู่ตี้เริ่มหัวเราะ “ข้าเพียงมอบรางวัลให้กับผู้ชนะเลิศเป็นการล่วงหน้า”
“เจ้าปีศาจเฒ่า นี่เกินไปแล้ว เจ้ากลับมอบรางวัลให้จ้าวคงโดยที่มันยังไม่ชนะ งานชุมนุมนี้ยังมีความยุติธรรมอยู่หรือไม่? ยังมีกฏกติกาอยู่หรือไม่?” ประมุขตระกูลลี่ลุกขึ้นดล่าวเสียงเย็น
รางวัลสำหรับผู้ชนะเลิศคือเกราะวิญญาณ ซึ่งมีเพียงประมุขสี่ตระกูลใหญ่เท่านั้นที่ทราบ และเกราะที่จ้าวคงสวมใส่อยู่ก็คือรางวัลที่ว่า สำหรับเกราะวิญญาณระดับกลางชิ้นนี้ มันเรียกได้ว่าถูกจัดอยู่ในอันดับต้นๆของอุปกรณ์ระดับกลางเลยก็ว่าได้
ผู้ที่สวมใส่มันย่อมมีเปรียบเหนือคู่ต่อสู้ระดับเดียวกันไปโข
“ความยุติธรรมงั้นหรือ? กฏกติกางั้นหรือ?” จ้าวอู่ตี้โผบินขึ้นกลางอากาศ เส้นผมสีแดงเพลิงของมันชี้ชันไปทุกทิศราวกับปีศาจร้าย มันตะโกนออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน “ตัวข้าคือความยุติธรรม! ตัวข้าคือกฏ!”
ด้วยระดับการบ่มเพาะที่อยู่ในระดับที่เจ็ดขั้นกลั่นวิญญาณแล้ว ไม่มีผู้ใดในเมืองชิงเหอแห่งนี้ที่สามารถต่อกรกับมัน
ตอนนี้เอง รัศมีเปลวเพลิงของมันเริ่มกดทับเข้าใส่ทุกคน กระทั่งฉินซานเทียนที่เป็นผู้บ่มเพาะขั้นกลั่นวิญญาณเช่นกันยังต้องใช้พลังปราณเข้าต้านทาน และไม่กล้าเอ่ยปากขึ้นอีก
แบบใดจึงเรียกว่าขวัญกล้าบังอาจ แบบใดจึงเรียกว่าทะนงถือดีน่ะหรือ?
ฉินเทียนเลิกคิ้ว สภาพจิตใจและร่างกายของเขาพลันเปลี่ยนไป หลังจากลงมือสังหารมาตอลดครึ่งเดือน มีสัตว์ปีศาจหลายพันตัวที่ตกตายด้วยเงื้อมมือของเขา เขาอยู่ห่างจากการบรรลุกฏเพียงก้าว ตอนนี้ราวกับว่าฉินเทียนได้ก้าวเข้าสู่โลกอีกใบหนึ่ง เป็นโลกของเขาเพียงคนเดียว
ตอนนี้เองที่เสียงของระบบได้ดังขึ้นในใจ “ขอแสดงความยินดีต่อผู้เล่น ‘ฉินเทียน’ ที่สามารถรู้แจ้งกลิ่นอายนักล่า….”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด