Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป – ตอนที่ 64

อ่านนิยายจีนเรื่อง Heavenly Curse ยอดเซียนเต๋า เขย่ายุทธภพ ตอนที่ 64 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 64 ช่วงเวลาวิกฤต

 

“โฮก!”

 

เจิ้งสือซงเปิดปากออกมาในตอนนี้เสียงคำรามของเขานั้นเหมือนกับสัตว์ป่า เมื่อลองมองดูเขาก็สามารถเข้าใจคำพูดก่อนหน้านี้ของมู่อี้ได้อย่างชัดเจน

 

มู่อี้ไม่ได้กังวลเรื่องเจิ้งสือซงเลย ตราบใดที่แสงของตะเกียงทองแดงยังไม่ดับไปอีกฝ่ายคงไม่กล้าเข้ามาใกล้ตนเองอย่างแน่นอน นี่ยังไม่ได้พูดถึงยันต์สายฟ้าของมู่อี้ที่พร้อมจะใช้ออกไปทุกเมื่อ

 

แม้ว่าเจิ้งสือซงจะทรงพลังมากในตอนนี้ แต่เขาก็ไม่ได้ต่างอะไรจากผีดิบตนหนึ่งเท่านั้น ไม่ว่าเจิ้งสือซงจะเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนแต่เขาก็ไม่อาจหนีความหวาดกลัวที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจของเขาได้

 

ยันต์สายฟ้านั้นกล่าวได้ว่าเป็นของแสลงอย่างสิ้นเชิงสำหรับภูตผีวิญญาณ

 

เหตุผลที่มู่อี้ไม่ได้กำจัดเจิ้งสือซงตั้งแต่แรกนั่นก็เพราะว่าเขากำลังรอคอยให้ฉือกุยปรากฏตัวออกมา ไม่อย่างนั้นแล้วการที่ศัตรูซ่อนตัวอยู่แบบนี้คงเป็นปัญหาสำหรับเขาอย่างแน่นอน บางทีสักวันหนึ่งอีกฝ่ายอาจจะแทงเขาข้างหลังในวันที่เขาไม่ได้ระมัดระวังตัวก็เป็นได้

 

ก่อนหน้านี้นั้นฉือกุยสามารถหนีไปได้สำเร็จ มู่อี้กลัวว่าความผิดพลาดนั้นมันจะเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

 

ฉือกุยนั้นมีสติปัญญาที่ชาญฉลาด ตั้งแต่มู่อี้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่เขาก็ไม่มาปรากฏตัวให้เห็นเลยแต่มู่อี้แน่ใจว่าเขาจะต้องอยู่ที่นี่อย่างแน่นอนแต่ไม่รู้ว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหน

 

“ฮึ่ม ยังไม่ออกมาอีกงั้นหรอ?” มู่อี้รู้สึกไม่พอใจจากนั้นเขาก็เดินเข้าไปหาซูจินหลุนที่ถูกมัดเอาไว้ในตอนนี้ เขาอยากจะฆ่าฉือกุยและฉือกุยก็อยากจะฆ่าเขาด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นความโกรธแค้นที่ฉือกุยมีนั้นไม่อาจยุติปัญหาความแค้นระหว่างทั้งสองคนได้อีกต่อไป

 

ถ้าหากไม่ใช่เพราะมู่อี้ ฉือกุยคงจะสามารถจับเนี่ยนหนิวเอ้อร์ได้สำเร็จและอาจสามารถใช้วิชาลับต้องห้ามวิญญาณแม่ลูกได้หลังจากนั้น และในอนาคตเขายังมีธงราชันย์แห่งวิญญาณที่ทรงพลังเป็นอาวุธอีกด้วยแต่ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นกลับถูกมู่อี้ทำลายลงไป

 

ดังนั้นความเกลียดชังที่ฉือกุยมีต่อเขามันมากแค่ไหน มู่อี้ย่อมเข้าใจเป็นอย่างดี

 

แต่เพราะว่าความเกลียดชังนี้ฉือกุยจึงถูกลิขิตให้จดจ่ออยู่กับความแค้นของตนเองเท่านั้นและไม่สามารถทำอะไรต่อไปได้

 

ในตอนที่มู่อี้เดินเข้าไปใกล้ซูจินหลุน สีหน้าของเจิ้งสือซงก็ดูเหมือนจะกังวลมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแต่เพราะว่าเขาหวาดกลัวตะเกียงทองแดงในมือของมู่อี้ เขาจึงไม่กล้าเข้ามาใกล้มู่อี้แม้แต่น้อย

 

มู่อี้สะบัดมือของเขาและส่งยันต์สะกดวิญญาณออกไปทันที ยันต์แผ่นนี้ไม่ได้ตรงเข้าไปหาเจิ้งสือซงแต่กลับตกลงไปบนร่างกายของซูจินหลุนแทน

 

มู่อี้ระมัดระวังตัวอยู่เสมอ ซูจินหลุนถูกจับตัวมานานแล้ว มันยากที่จะยืนยันได้ว่าฉือกุยไม่ได้ทำอะไรกับเขาดังนั้นมู่อี้จึงต้องทดสอบดูก่อน

 

ยิ่งไปกว่านั้นยันต์สะกดวิญญาณมีผลเพียงแค่ขับไล่สิ่งที่ไม่ดีออกไปจากร่างกายเท่านั้นและมันจะไม่ทำร้ายซูจินหลุน

 

เมื่อยันต์สะกดวิญญาณแสดงผลออกมา ซูจินหลุนที่หมดสติอยู่ก่อนหน้านี้ก็ค่อยๆตื่นขึ้นมาแต่ร่างกายของเขาก็ยังคงโดนมัดเอาไว้กับเสา

 

นี่คือความแปลกประหลาดที่มู่อี้รู้สึกได้ตั้งแต่แรกเห็น

 

เมื่อมู่อี้ให้สัญญาณเนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็ลอยเข้าไปหาซูจินหลุนทันที ด้วยการโจมตีของนางเชือกที่มัดร่างกายของซูจินหลุนอยู่ก็ขาดออก

 

ในตอนนี้ซูจินหลุนอาจจะรู้สึกอ่อนแรงอยู่เพราะเขาหมดสติมาเป็นเวลานาน หลังจากที่เชือกขาดเขาก็ล้มตัวลงไปด้านข้างทันที

 

มู่อี้รีบยื่นมือออกไปประคองเขาขึ้นมา แต่ในตอนนี้หัวใจของเขาก็รู้สึกได้ถึงความอันตรายอย่างรุนแรง

 

เมื่อเกิดความรู้สึกนี้ขึ้นมามู่อี้ก็รีบก้าวถอยกลับมาโดยไม่ต้องคิดเลย

 

น่าเสียดายที่มันสายเกินไปแล้วและทันใดนั้นเอง ‘ซูจินหลุน’ ก็บิดร่างกายของเขา จากนั้นมีดสั้นสีดำที่ถืออยู่ในมือของเขาก็แทงเข้ามาที่หน้าอกของมู่อี้อย่างรุนแรงทันที

 

ในตอนนี้แม้ว่ามู่อี้จะไม่ใช่คนโง่แต่เขาก็รู้ตัวว่าตนเองได้ตกลงไปในกับดักของฉือกุยแล้ว ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้สิ่งที่ฉือกุยต้องการใช้สังหารเขานั้นไม่ใช่นักธนูคนนั้น ไม่ใช่ชายในชุดคลุมสีดำ ไม่ใช่แม้แต่เจิ้งสือซง แต่ศัตรูรู้ว่ามู่อี้ย่อมต้องการเข้ามาช่วยเหลือซูจินหลุนอย่างแน่นอน

 

ดังนั้น ‘ซูจินหลุน’ ที่อยู่ตรงหน้าของเขาในตอนนี้ถึงไม่ใช่ซูจินหลุนตัวจริงและเป็นเพียงคนที่ปลอมตัวมาเท่านั้น

 

แม้แต่ในช่วงเวลาที่วิกฤตที่สุดนี้มู่อี้ก็ยังรู้สึกงงอยู่เล็กน้อย ฉือกุยใช้วิธีใดกันจึงสามารถหาตัวปลอมที่เหมือนขนาดนี้มาได้และลมหายใจภายในร่างกายของตัวปลอมคนนี้ก็ยังเหมือนกับซูจินหลุนมาก

 

นี่จึงเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้มู่อี้ตกลงไปในกับดักของศัตรู

 

บางครั้งไม่ใช่แค่การมองเห็นจากดวงตาเท่านั้นที่สามารถหลอกลวงผู้คนได้แต่ยังมีลมหายใจที่เกิดจากพลังแห่งจิตใจด้วยเช่นกัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมซูจินหลุนถึงหันหลังให้กับเขาอยู่เสมอและอีกฝ่ายมีท่าทีที่เหมือนกับหมดสติไปก่อนหน้านี้

 

แต่กว่ามู่อี้จะรู้ตัวก็สายเกินไปแล้ว ถ้าหากเขาสามารถรับรู้ถึงความผิดปกตินี้ได้ตั้งแต่แรกช่วงเวลาที่วิกฤตนี้คงไม่เกิดขึ้นกับเขาอย่างแน่นอน

 

ถ้าหากผู้ที่โจมตีคือวิญญาณยันต์ของมู่อี้ก็มากพอที่จะหยุดการโจมตีของศัตรูเอาไว้ได้แต่ในตอนนี้อีกฝ่ายคือมนุษย์ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมยันต์สะกดวิญญาณของมู่อี้ถึงไม่ได้ผล

 

ในตอนนี้มู่อี้รู้สึกได้ว่าเขาไม่มีทางหลบการโจมตีนี้ได้แน่นอน

 

แต่ทันใดนั้นร่างเล็กๆของเนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาในทันที

 

จากนั้นเนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็ระเบิดพลังออกมา

 

คลื่นพลังที่รุนแรงระเบิดออกจากร่างกายของนางและจากนั้นก็พุ่งเข้าไปปะทะกับ ‘ซูจินหลุน’ ตัวปลอม

 

ซูจินหลุนตัวปลอมดูเหมือนจะไม่ได้เตรียมตัวมาเผชิญหน้ากับเรื่องแบบนี้และในตอนที่เขาแทงมีดในมือออกไปนั้นร่างกายของเขาก็ถูกคลื่นพลังอันมหาศาลซัดให้กระเด็นไปกระแทกกับพื้นดินอย่างรุนแรงและนอนแน่นิ่งไปทันที

 

แต่หลังจากเนี่ยนหนิวเอ้อร์ระเบิดคลื่นพลังออกมานั้นร่างกายของนางก็เริ่มจางลงไปมากขึ้นเรื่อยๆจนคล้ายกับว่าเป็นภาพลวงตา

 

“หนิวเอ้อร์” มู่อี้ตะโกนออกมาทันที แต่ในตอนนี้เจิ้งสือซงก็พุ่งเข้ามาโจมตีมู่อี้ในขณะที่เขาปล่อยมือจากตะเกียงทองแดง

 

เพราะด้วยความสามารถของมู่อี้ในตอนนี้ตะเกียงทองแดงย่อมไม่อาจแยกมิตรหรือศัตรูได้ เมื่อเป็นวิญญาณเช่นเดียวกันเนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็ได้รับผลกระทบจากตะเกียงทองแดงด้วยเช่นกัน ดังนั้นเมื่อเนี่ยนหนิวเอ้อร์ปรากฏตัวขึ้นมาเขาก็ตัดสินใจปล่อยมือจากตะเกียงทองแดงทันที

 

สายตาของมู่อี้จ้องมองไปที่อีกฝ่ายเขารู้สึกลังเลใจเล็กน้อยก่อนจะใช้ยันต์สายฟ้าในมือออกไป

 

“ตู้ม!”

 

จากนั้นสายฟ้าสีขาวที่เหมือนกับภาพลวงตาก็ผ่าลงมาที่ร่างของเจิ้งสือซงอย่างรุนแรงทันที

 

ในตอนนี้ยันต์สายฟ้าไม่ได้เหมือนกับก่อนหน้านี้อีกต่อไป แม้ว่าเจิ้งสือซงจะทรงพลังมากแค่ไหนแต่ด้วยพลังโจมตีของยันต์สายฟ้าร่างกายของเขาก็เป็นเพียงก้อนถ่านที่ไหม้เกรียมและร่วงหล่นลงสู่พื้นดินโดยไม่มีโอกาสส่งเสียงร้องใดๆออกมาเลยด้วยซ้ำ

 

แต่ในตอนนี้มู่อี้ไม่ได้รู้สึกเลยว่าวิกฤตการณ์ของเขาจะหายไปกลับกันมันยิ่งถลำลึกเข้าไปมากขึ้นเรื่อยๆ

 

เพราะในตอนนี้ฉือกุยวางแผนทุกอย่างเอาไว้เป็นอย่างดี แล้วจุดประสงค์ของการวางแผนครั้งนี้ก็เพื่อฆ่าเขา

 

“กรุ๊งกริ๊ง กรุ๊งกริ๊ง!”

 

เสียงกระดิ่งดังขึ้นมาทันทีและในตอนนี้สายลมก็เริ่มพัดเข้ามาอย่างรุนแรงขึ้น มีวิญญาณมากมายที่ออกมาจากความมืดและตรงเข้ามาหามู่อี้

 

แม้ว่าวิญญาณเหล่านี้จะไม่ได้มีพลังมากนะแต่พวกมันก็มีจำนวนมาก แค่มองผ่านผ่านก็นับได้อย่างน้อย 20 ตนแล้ว

 

มู่อี้ไม่รู้ว่าฉือกุยไปหาวิญญาณมากมายขนาดนี้มาจากที่ไหนแต่เขาก็นึกถึงสิ่งที่เซี่ยเจิ้งได้บอกกับเขา ผู้คนนับร้อยที่อยู่ภายในหมู่บ้านแห่งนี้ต่างก็ถูกฆ่าตายไปและไม่อาจหาเบาะแสของฆาตกรได้เลย. .

 

ฉือกุยไม่ได้เลือกสถานที่แบบขอไปทีเท่านั้นแต่เขาเลือกให้การต่อสู้เกิดขึ้นที่นี่อย่างจงใจ ดูเหมือนว่าเขาจะต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับการที่ผู้คนนับร้อยภายในหมู่บ้านต้องตายไปอย่างแน่นอนหรือไม่ฆาตกรในคดีนี้ก็อาจจะเป็นตัวเขาเอง

 

เพราะวิธีการของฉือกุยคือการฆ่าคนมากมายเพื่อเปลี่ยนให้คนเหล่านั้นกลายเป็นวิญญาณให้เขาใช้งาน

 

ถ้าหากเป็นเช่นนั้นช่วงเวลาที่วิกฤตก็คงเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เขาก้าวเข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้แล้ว อย่างน้อยที่สุดในตอนนี้มู่อี้ก็ไม่รู้ว่ามีอันตรายที่ซ่อนเร้นอยู่ที่นี่อีกหรือไม่

 

แม้ว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์จะระเบิดพลังออกมาแต่ร่างกายของนางก็อ่อนแอกว่าก่อนหน้านี้มากแต่เพราะว่านางอยู่ในระดับวิญญาณชั่วร้าย เมื่อเทียบกับวิญญาณธรรมดาที่อยู่ตรงหน้าแล้ววิญญาณเหล่านั้นต่างก็แสดงความหวาดกลัวต่อนางอย่างเห็นได้ชัดแต่นางก็ไม่ใช่ราชันย์แห่งวิญญาณที่จะสามารถควบคุมวิญญาณพวกนี้ได้ ด้วยพลังที่เหลืออยู่เพียงไม่มากนักของนาง นางหวังที่จะทำให้วิญญาณเหล่านี้หวาดกลัวจนหนีไปเท่านั้น

 

“กรุ๊งกริ๊ง กรุ๊งกริ๊ง กรุ๊งกริ๊ง กรุ๊งกริ๊ง!”

 

ในตอนนี้เสียงกระดิ่งดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งด้วยจังหวะที่เร็วขึ้น

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด