Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป – ตอนที่ 78
ตอนที่ 78 เผชิญหน้า
“ตู้ม!”
ยันต์ปราบปีศาจพุ่งเข้าไปที่ร่างของอีกฝ่ายทันที เมื่อมีธงราชันย์แห่งวิญญาณที่ทำหน้าที่ขวางกั้นเอาไว้และยันต์ปราบปีศาจที่โจมตีเข้าไป วิญญาณของชายคนนั้นก็กระเด็นออกไปทันทีจากการโจมตีที่เกิดขึ้นนี้
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ของตัวเองได้เปรียบมู่อี้ก็โจมตีต่อทันที เขาสะบัดมืออีกครั้งจากนั้นยันต์ปราบปีศาจ 2 แผ่นก็พุ่งออกไป แต่ในครั้งนี้ดูเหมือนว่าศัตรูจะมองการโจมตีครั้งนี้ออกได้อย่างชัดเจนและสามารถหลบยันต์ปราบปีศาจทั้ง 2 แผ่นได้พร้อมกับพุ่งตัวเข้ามาหามู่อี้ในทันที
เมื่อเห็นว่าศัตรูกำลังเข้ามาใกล้นั้นมู่อี้ก็เตรียมตัวเอาไว้อยู่แล้ว เขาเก็บธงราชันย์แห่งวิญญาณกลับไป และตะเกียงทองแดงก็เข้ามาแทนที่ในมือของเขา จากนั้นเมื่อศัตรูเข้ามาใกล้ตะเกียงทองแดงก็ส่องแสงออกมาในเวลาเดียวกัน
แสงสีขาวระเบิดออกจากมือของมู่อี้ มันเจิดจ้าอย่างยิ่งในค่ำคืนที่มืดมิดเช่นนี้
มู่อี้เชื่อว่าถ้าหากมีใครที่อยู่ใกล้ๆบริเวณนี้จะต้องเห็นแสงสีขาวที่เกิดขึ้นนี้อย่างแน่นอนแต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอีกแล้ว ถ้าหากเขาเลือกจะไม่ใช้ยันต์สายฟ้าก็มีเพียงตะเกียงทองแดงเท่านั้นที่เขามั่นใจว่าจะสามารถหยุดศัตรูได้
ชิวเยวี่ยถงไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงรีบวิ่งมาที่หลุมศพของชายคนนั้น แต่นางรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างในใจที่สั่งให้นางรีบวิ่งมาที่นี่ไม่อย่างนั้นนางจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
สำหรับชายคนนั้นแล้วนางไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขามากนักแม้ว่าจะมีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดก็ตาม ไม่ว่าเขาจะเป็นคนดีสำหรับคนอื่นมากเพียงใด หรือว่าจะเป็นผู้กล้าของหมู่บ้านแห่งนี้ แต่สำหรับนางแล้วเขาไม่มีคุณสมบัติจะมาเป็นบิดาของนางแค่คุณสมบัติในการเป็นสามีเขาก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ
เขาดูแลทุกๆคนในหมู่บ้านแห่งนี้ด้วยจิตใจของเขาแต่นั่นก็เป็นเรื่องของหมู่บ้านเท่านั้น เขาไม่เคยสนใจเลยว่านางจะเป็นยังไงตั้งแต่นางยังเยาว์วัยและนางต้องทำทุกอย่างด้วยตนเองเพื่อเอาชีวิตรอด จนกระทั่งมารดาของนางตายไปเขาจึงรับนางมาเลี้ยงดูต่อ จากนั้นนางก็ได้พบกับหญิงสาวฝาแฝดทั้งสองคน
แม้แต่จิตใจของชายคนนั้นก็ยังคิดว่าหญิงสาวนั้นไม่จำเป็นต้องทำอะไรมากนักเพียงแค่เติบโตขึ้นแล้วก็แต่งงานเท่านั้น จากนั้นก็อาศัยอยู่กับสามีและเลี้ยงดูบุตรหลานให้ดีก็พอ
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ มันไม่ใช่โชคชะตาของนาง และก่อนที่เขาจะได้รู้เรื่องนี้นางก็เริ่มฝึกฝนเคล็ดวิชาต่างๆจากคัมภีร์ลับที่นางมีโอกาสได้รับมา แต่เพราะนางเรียนรู้ด้วยตนเองและไม่มีผู้ใดชี้แนวทางให้นางจึงต้องพยายามมากกว่าคนอื่นหลายเท่า โชคดีที่หนทางของนางนั้นประสบความสำเร็จไม่อย่างนั้นแล้วนางคงต้องเป็นหญิงสาวที่ไม่อาจทำอะไรกับชีวิตของตนเองได้อย่างแน่นอน
แต่สิ่งที่นางทำนั้นไม่ได้รับการชื่นชมสรรเสริญ กลับเป็นการตำหนิและการซักถามด้วยความไม่พอใจ
แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วนางจะไม่ได้เก็บความโกรธของเขามาใส่ใจและเขาก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย แต่หัวใจที่เย็นชาของนางนั้นก็กลับเย็นชามากขึ้นไปอีก
หลังจากนั้นชายคนนั้นก็หายตัวไปอย่างกะทันหันเป็นระยะเวลาหนึ่งและเมื่อเขาปรากฏตัวอีกครั้งเขาก็แต่งตั้งให้นางเป็นหัวหน้าหมู่บ้านคนต่อไปและแต่งตั้งให้หลีหู่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านคนที่สองเพื่อคอยช่วยเหลือ แม้ว่านางจะได้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านรวมถึงหัวหน้ากลุ่มโจรภูเขาแต่นางก็ไม่ได้รู้สึกขอบคุณเขาเลยสักนิด
จนกระทั่งเขาตายไปท้ายที่สุดแล้วชิวเยวี่ยถงก็ได้ฝังศพเขาเอาไว้ตามตำแหน่งที่เขาได้เลือกด้วยตนเองและไม่มีแม้แต่ป้ายหลุมศพในๆ เขาสร้างศาลาบรรพบุรุษหลังเล็กๆขึ้นที่ท้ายหมู่บ้านและไม่ได้ทำการตั้งชื่อหรือสักการะอะไรด้วยซ้ำ ศาลาแห่งนั้นไม่มีชื่อแต่กลับมีเพียงตะเกียงอันหนึ่งที่ไม่อาจสว่างขึ้นมาได้อีกตั้งอยู่เท่านั้น
เขาได้บอกกับนางก่อนที่เขาจะตายไปและนางก็จำเรื่องนี้ได้ดี แต่นางก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ในตอนนั้นนางพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะจุดตะเกียงนี้ขึ้นมาให้ได้แต่ก็ไม่สำเร็จและทั้งหมดนั้นก็เป็นเพราะความไม่พอใจของนาง
หมู่บ้านแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อนางขึ้นมาเป็นผู้นำ แม้ว่านางจะเป็นเพียงหญิงสาวแต่ก็ไม่เคยสูญเสียความทะเยอทะยานในใจ วิกฤตการณ์ที่เข้ามาเป็นช่วงเวลาที่นางได้แสดงฝีมือของตนเอง และนั่นทำให้นางรู้ว่าหลีหู่สนใจแค่เพียงเรื่องของตัวเองและไม่เคยสนใจปัญหาที่ตามมาเลยด้วยซ้ำ
แต่ใครจะคิดกันว่าการนำตัวคุณชายซูมาที่นี่จะสร้างปัญหาใหญ่ขนาดนี้ หรือว่านี่จะเป็นชายที่ทรงพลังตามที่เขาบอกจริงๆ?
ด้วยคำถามมากมายที่อยู่ในใจนางจึงรีบวิ่งออกไปพร้อมกับชิวจู แม้ว่านางจะรวดเร็วมากแค่ไหนแต่ก็ยังต้องใช้เวลาอยู่สักพัก
ทันทีที่นางลงมาจากภูเขาก็ได้เห็นแสงสว่างที่เกิดขึ้นเพราะตะเกียงทองแดงของมู่อี้
เมื่อได้เห็นแสงสว่างที่เกิดขึ้นนั้นเท้าที่กำลังวิ่งอยู่ของนางก็หยุดลงทันทีและในตอนนี้นางได้เห็นมู่อี้ยืนอยู่และยังได้เห็นชายอีกคนที่กำลังยืนอยู่บริเวณหลุมศพ
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดแต่ดวงตาของชิวเยวี่ยถงก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันที
“ฉึบ!”
เมื่อรู้สึกได้ถึงคมดาบที่กำลังเข้ามาใกล้มู่อี้ก็รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาทันทีและต่อจากนั้นเขาก็ไม่คิดอะไรมากนักและใช้ธงราชันย์แห่งวิญญาณคลุมเอาไว้ที่แผ่นหลังของตนเองอย่างรวดเร็ว
“ฉึก!”
จากนั้นแผ่นหลังตรงตำแหน่งหัวใจของเขาก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่งและร่างของมู่อี้ก็กระเด็นออกไปทันที ในเวลาเดียวกันพลังแห่งจิตใจของเขาก็ขาดช่วงไปจนทำให้แสงจากตะเกียงทองแดงของเขาดับลงไปและพื้นที่รอบข้างก็กลับสู่ความมืดอีกครั้ง
ผืนธงราชันย์แห่งวิญญาณได้กลายเป็นเหมือนผ้าคลุมปกคลุมแผ่นหลังของมู่อี้เอาไว้ แม้ว่ามันจะไม่ได้ช่วยในเรื่องการหลบซ่อนตัวแต่ด้วยความมืดมิดที่เกิดขึ้นในตอนนี้ มันเหมือนกับว่าร่างกายของเขาได้หายไปในความมืดทันที
หลังจากได้พักเหนื่อยอยู่หลายลมหายใจ มู่อี้ก็ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งโดยอยู่ห่างจากจุดเดิมออกไปประมาณ 10 เมตรและจ้องมองมาที่หญิงสาวที่ยืนอยู่ห่างออกไป
“ชิวเยวี่ยถงหรือ?” หลังจากได้เห็นนางเป็นครั้งแรกมู่อี้ก็รู้ได้ทันทีว่านางคือใคร ไม่ต้องพูดถึงฝีมือของนางเลยถ้าหากเป็นหญิงสาวธรรมดาย่อมทำแบบนี้ไม่ได้แน่นอน
โชคดีที่ชิวเยวี่ยถงไม่ได้โจมตีต่อหลังจากดาบแรกแต่เป็นหญิงสาวอีกคนที่กำลังวิ่งตามนางมากำลังชี้ดาบตรงมาที่เขา
มู่อี้จ้องมองไปที่นางจากนั้นก็สะบัดนิ้วออกไป ยันต์ปราบปีศาจก็พุ่งออกไปจากมือของเขาทันที
แสงสว่างเกิดขึ้นตรงหน้าของหญิงสาวและตรงเข้าไปหาพวกนางทันที แม้ว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหันแต่นางก็สามารถใช้ดาบที่อยู่ในมือรับแสงสีขาวที่กำลังพุ่งเข้ามาได้ แต่นั่นก็ทำให้นางต้องกระเด็นออกไปด้วยเช่นกัน และแม้ว่านางจะไม่ได้กระเด็นจนล้มลงไปที่พื้นแต่สายตาที่นางจ้องมองมาที่มู่อี้ก็ดูหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น
มู่อี้ไม่สนใจนางและตะเกียงทองแดงในมือของเขาก็ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง แสงสว่างปกคลุมไปทั่วพื้นที่โดยรอบ และในตอนนี้เขากำลังถือยันต์สายฟ้าอยู่ในมือพร้อมกับจ้องมองไปที่ชิวเยวี่ยถงอยู่ตลอดเวลา
คมดาบที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ยังทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอยู่เสมอ ดาบที่เข้ามานั้นรวดเร็วมากและมันยังไม่มีเสียงใดๆเลย แม้กระทั่งในตอนที่ศัตรูจะปรากฏตัวออกมาพลังแห่งจิตใจของเขาก็ไม่อาจสัมผัสอันตรายได้เลยจนกระทั่งคมดาบนั้นเข้ามาใกล้ร่างกายของเขา. .
ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าธงราชันย์แห่งวิญญาณที่คลุมหลังของเขาเอาไว้ บางทีเขาอาจจะถูกดาบเล่มนั้นแทงทะลุหัวใจแล้วก็เป็นได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นไม่ว่าเขาจะมีความสามารถมากแค่ไหนแต่ก็ต้องตายแน่นอน
เมื่อคิดแบบนี้มู่อี้ก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย เขาเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้เป็นอย่างดีเพราะในตอนที่เขาเดินทางไปยังที่ต่างๆพร้อมกับท่านปู่นั้นเขาก็ได้เผชิญกับเรื่องเช่นนี้มามากมาย
แต่เรื่องนี้ถ้าหากจะโทษก็ต้องโทษที่ความประมาทของเขาเอง
และชิวเยวี่ยถงที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ก็ทรงพลังมากจริงๆ
ชิวเยวี่ยถงไม่ได้มองมาที่มู่อี้ ในตอนนี้ความสนใจเกือบทั้งหมดของนางจดจ่ออยู่กับวิญญาณของชายคนนั้นที่อยู่บริเวณหลุมศพ แม้ว่าเขาจะตายไปแล้วแต่นางก็สามารถจำเขาได้แม้จะเห็นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นมนุษย์แต่ในตอนนี้เขากลายเป็นวิญญาณไปแล้ว
บิดาของชิวเยวี่ยถงยังคงอยู่ที่นี่ไม่ได้ไปไหนและในตอนนี้เขาก็จ้องมองมาที่ชิวเยวี่ยถงด้วยเช่นกัน แม้ว่าในดวงตาของเขาจะไม่หลงเหลือความรู้สึกใดๆทั้งสิ้นแต่การปรากฏตัวออกมาของเขาก็ได้อธิบายปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนี้แล้ว
“ท่านผู้เฒ่า” ชิวจูตะโกนออกมาด้วยความตกใจทันที
มู่อี้ยังคงยืนนิ่งอยู่ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน เขาไม่ได้หวาดกลัวต่อชิวเยวี่ยถงแต่กำลังสงสัยถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ทำไมบิดาและลูกสาวถึงจ้องหน้ากันพร้อมกับสีหน้าที่เหมือนจะร้องไห้ออกมา? หรือว่าคนและวิญญาณทั้งสองนั้นมีเรื่องที่ผิดใจกันอยู่?
คอมเม้นต์