ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี – ตอนที่ 16 ยินดีเดิมพัน
ตอนที่16 ยินดีเดิมพัน
มีข้อแม้สองข้อที่จ้าวเฉียนได้ตั้งเอาไว้คือ หนึ่ง นี่จะต้องเป็นทีมของเขาในอนาคต และสอง อู๋เลอจะต้องติดสามอันดับแรกในการแข่งขันระดับเขตให้ได้ภายในหนึ่งปี
จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขทั้งสองข้อนี้ มิฉะนั้นจ้าวเฉียนจะไม่นำเงินมาลงทุนเพิ่มอีกต่อไป
อู๋เลอครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่งและเอ่ยตอบขึ้นว่า
“ทีมนี้แน่นอนว่าต้องเป็นของนาย แต่นายเองก็แน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะลงทุนไหว? ต้องใช้ค่าสนับสนุนอย่างน้อยที่สุดสองล้านหยวนต่อปี ส่วนเรื่องสามอันดับแรก เชื่อมือฉันได้ทำสำเร็จตามต้องการแน่นอน”
เงินไม่ใช่ปัญหาสำหรับจ้าวเฉียน ตราบใดที่ทีมนี้สามารถสร้างชื่อเสียงให้ได้ เหล่าสปอนเซอร์จะแห่กันเข้ามาเอง ดังนั้นกุญแจสำคัญคืออู๋เลอ ผลลัพธ์จะออกเป็นด้านไหนขึ้นอยู่กับเขาแล้ว และในเวลาเดียวกัน มือถือของจ้าวเฉียนก็ดังขึ้น ฟางนี่โทรเข้ามา
“ฮาโหล คุณชายจ้าว คุณสุดยอดจริงๆ! เมื่อครู่เฉินหยางจากบริษัทบ็อกเชอร์ติดต่อมาเป็นการส่วนตัว และขอความร่วมมือใหม่อีกครั้ง นี่คุณทำได้ยังไงกัน?”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่บอกความจริงที่เขาควรรู้ก็เท่านั้น สงสัยคงสะเทือนใจจัดจนเข้าหาพวกเราด้วยความจริงใจ”
“เยี่ยมไปเลย แล้วเมื่อไหร่คุณจะกลับมาบริษัท นี่มันบ้าไปแล้ว พวกเขาต่างพูดขอบใจคุณ”
“โอเคเลย เดี๋ยวผมจะรีบกลับไป”
ฟางนี่ฮัมเพลงแสนสุขใจพร้อมกดวางสายไป
จ้าวเฉียนกล่าวลากับอู๋ซินและคนอื่นๆ ขับรถกลับมายังบริษัท
ทันทีที่เขาก้าวผ่านประตูเข้ามา เหล่าเพื่อนร่วมงานของเขาต่างรีบส่งเสียงชื่นชม ปรบมือทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม
“คุณชายจ้าว! ผมไม่คิดเลยจริงๆ ว่าคุณจะทำสำเร็จจริงๆ! ตั้งแต่วันนี้ไปผมจะไม่แกล้งคุณแล้ว นี่แหละคุณชายจ้าวหนึ่งในใจผม!”
“ฉันเองก็เช่นกัน! จากนี้ต่อไปคุณคือคุณชายจ้าวผู้กอบกู้วิกฤตบริษัท! ขอให้ฉันเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารสักมื้อนะ!”
“ฮ่าฮ่า…ต้องฉลอง!”
เพื่อนร่วมงามของจ้าวเฉียนต่างมีความสุขกันอย่างมาก เพราะความสำเร็จที่จ้าวเฉียนเป็นคนนำพามันกลับมาในครั้งนี้ ได้สร้างผลกำไรให้แก่บริษัทฟางนี่เป็นจำนวนหลายล้านหยวน นอกจากนี้ยังหมายความได้อีกว่า พนักงานทุกคนจะได้รับเงินเดือนกลับมาเป็นปกติ ไม่ต้องถูกหารครึ่งแบบก่อนหน้าแล้ว
แต่เมื่อมีคนสุขย่อมมีคนเศร้าเช่นกัน เจวียงหยวน, หวังเฉียน, เจียงเสี่ยวปิง นอกจากนี้ยังมีหวันชวนที่คิดว่าสถานะตนเองไม่ได้แย่ไปกว่าจ้าวเฉียนนัก รอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาแห้งกราดและดูฝืนอย่างที่สุด ราวกับตอนนี้พยายามบีบยาสีฟันที่ใกล้หมด
จ้าวเฉียนกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มว่า
“ขอบคุณทุกคนอย่างมาก…ในฐานะหนึ่งในสมาชิกของบริษัทแห่งนี้ อนาคตต่อไปผมจะตั้งใจทำงานเพื่อบริษัทของพวกเราต่อไป!”
“จ้าวเฉียน ฉันเคยมองเธอผิดมาโดยตลอดเลย คิดแค่ว่าเธอไม่มีเงินเป็นพวกกินเงินเดือน แต่ตอนนี้มันได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเธอไม่ใช่คนแบบนั้นเลย!”
หลิวเหม่ยเอ่ยปากชมเชยจ้าวเฉียนจากใจจริง ตั้งแต่ที่เธอถูกจ้าวเฉียนช่วยเอาไว้ในKTVได้อย่างหวุดหวิดในคืนนั้น ทัศนคติของเธอต่อเขาก็แปรเปลี่ยนไป
หวางจวนเพื่อนสาวอีกคนที่จ้าวเฉียนช่วยเอาไว้ในคืนนี้ก็รีบกล่าวชื่นชมเช่นเดียวกัน และเอ่ยทิ้งท้ายไว้ว่า ในอนาคตต่อไป อยากให้จ่าวเฉียนมาช่วยสอนเธอเกี่ยวกับวิธีติดต่อสื่อสารกับลูกค้า เพื่อพัฒนาทักษะการเจรจาจะได้เก่งๆ แบบเขา
สีหน้าของหวันชวนบิดเบี้ยวน่าเกียจเกินบรรยาย เพราะหวางจวนเปรียบเสมือนนางฟ้าสำหรับเขา ทว่านางฟ้าตนนี้กลับเอ่ยปากยกย่องจ้าวเฉียนไปเสียแล้ว นี่ยิ่งทวีความอิจฉาริษยาภายในใจ
จ้าวเฉียนยิ้มและเอ่ยตอบด้วยความยินดีว่า แน่นอน นี่เป็นเรื่องปกติที่เพื่อนร่วมงานสมควรจะช่วยเหลือกัน หลังจากนี้พวกเขาทั้งสองคงมีเวลาพูดคุยกันอีกมากในอนาคต
เพราะท้ายที่สุดนี้ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในปัจจุบันของบริษัทเกมฟางนี่ก็คือ จ้าวเฉียน แน่นอนว่าเขาย่อมยินดีที่จะช่วยปรับปรุงความสามารถของพนักงานให้มีศักยภาพสูงขึ้น
แต่คนที่มีสีหน้าไม่สู้ดีที่สุดคงไม่ใช่ใครอื่น นอกเหนือไปจากเจียงเสี่ยวปิง เธอรู้สึกว่างครั้งนี้ไม่ใช่เพราะจ้าวเฉียนโชคดี แต่นี่แหละคือจุดแข็งที่แท้จริงของเขา
หวังเฉียงไม่อาจทนดูความสำเร็จของจ้าวเฉียนได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงรีบหมุนตัวกลับและกำลังจะเดินกลับไปยังห้องทำงานของตัวเองอย่างรวดเร็ว
“ผู้จัดการหวัง ทิ้งกันแบบนี้เลยเหรอ?”
หวังเฉียงชะงักชะงันทั้งแบบนั้น ก่อนจะเหลียวมองกลับมาเล็กน้อยและเอ่ยถามขึ้นว่า
“ว่าไง? มีอะไรหรือเปล่า?”
ทว่าขณะที่จ้าวเฉียนยังไม่ทันเอ่ยปาก กลับเป็นฟางนี่ที่พูดแทนเขาในทันใด
“ก่อนหน้าที่จ้าวเฉียนจะเดินทางไปยังบริษัทซิงหยวน นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่ารับคำเดิมพัน ถ้าจ้าวเฉียนทำได้สำเร็จ นายต้องขอโทษเขาต่อหน้าทุกคน ตอนนี้ทุกอย่างก็ประสบความสำเร็จไปด้วยดี นายก็ควรรักษาสัญญาใช่ไหม?”
ร่างกายของหวังเฉียงสั่นเทาอย่างหนัก ใบหน้าแดงก่ำลามจนถึงใบหูด้วยความอับอายสุดขีด ทุกคนในออฟฟิศตอนนี้ต่างมองมาที่เขาจนเป็นตาเดียว แม้แต่เจียงเสี่ยวปิงยังจ้องเขม็งมา ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ แน่นอนว่าเขาไม่ยอมสร้างความอัปยศให้ตนเองแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงคลี่ยิ้มบางให้และเอ่ยขึ้นเสียงอ่อนว่า
“ประธานฟางก็จริงจังเกินไป นี่ก็แค่เรื่องอำเล่นกันเท่านั้น ขนาดจ้าวเฉียนเองยังไม่ได้คิดจริงจัง แล้วทำไมประธานถึงต้องจริงจังขนาดนั้นจริงไหมครับ?”
สิ่งที่ทำให้หวังเฉียงอับอายอย่างที่สุดคือ เขาต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ทั้งๆ ที่เจียงเสี่ยวปิงกำลังเฝ้ามองดูอยู่
สีหน้าของจ้าวเฉียนดูจริงจังขึ้นทันทีหลายส่วน เขาเอ่ยเสียงเย็นชาขึ้นว่า
“สิ่งที่ผู้จัดการหวังพูด มันไม่ดูไร้ความรับผิดชอบเกินไปหน่อยเหรอครับ? ในเมื่อคำพูดของคุณมันไร้น้ำหนักขนาดนี้ ต่อไปพวกเราคงไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังคุณแล้วก็ได้ จริงไหม?”
“ถูกต้องแล้ว! คำพูดของผู้จัดการ สุดท้ายก็แค่ผลักความรับผิดชอบออกให้พ้นตัว นี่ส่งผลต่อความเชื่อถือของทุกคนในบริษัทเป็นอย่างมาก และถ้าหากหลังจากนี้ไม่มีใครเชื่อผู้จัดการแล้ว พวกเราจะดำเนินงานกันต่อไปได้ยังไง?”
“แต่ละคนก็ล้วนโตกันเป็นผู้ใหญ่หมดแล้ว ในเมื่อตบปากรับคำเดิมพันสุดท้ายก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา นี่มันหลักการพื้นฐานเลยนะ”
“ใช่ และในเมื่อผู้จัดการหวังเป็นฝ่ายแพ้ คุณก็ต้องทำตามที่เดิมพันไว้ แต่หากตรงกันข้าม ถ้าจ้าวเฉียนเป็นฝ่ายแพ้ในตอนนี้ ฉันเองก็เดาได้เลยว่า…”
เมื่อเห็นทัศนคติของทุกคนที่แสดงความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ฟางนี่จึงกล่าวเสริมกับหวังเฉียงขึ้นว่า
“หวังเฉียง ฉันไม่อนุญาตให้นายทำตัวมีปัญหา โดยเฉพาะกันเรื่องนี้ซึ่งมีผลกระทบต่อความสามัคคีในเรื่องง่าย ยิ่งไปกว่านั้น ฉันเองก็เป็นประธานบริษัทแห่งนี้ ฉันว่าตนเองมีสิทธิ์ที่จะสั่งนายได้”
ตอนนี้สถานการณ์ทุกอย่างชัดเจนมากแล้ว หวังเฉียงยอมเดิมพันเองด้วยความเต็มใจ แต่ทันทีที่รู้ตัวว่าตนเองแพ้ กลับคิดที่จะชิ่งหนีไปทั้งดื้อๆ
ถ้าเป็นแค่พนักงานธรรมดาทั่วไป หวังเฉียงคงยอมขอโทษแต่โดยดีตามพื้นงานและไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก ทว่าไอ้คนที่ต้องขอโทษกลับเป็นจ้าวเฉียน แถมเจียงเสี่ยวปิงก็กำลังมองอยู่ด้วย
ทั้งยังมีตำแหน่งผู้จัดการวางอยู่บนบ่าทั้งสองข้าง เขาไม่มีทางเต็มใจก้มหัวขอโทษง่ายๆ อยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้บริษัทเกมฟางนี่กลับมาร่วมมือกับบริษัทบ็อกเชอร์อีกครั้งหนึ่งแล้ว ภายใต้ความช่วยเหลือจากบริษัทแม่อย่างซินหยวน ตราบใดที่พวกเขายังคงยินยอมให้ความร่วมมือต่อไป และยังทำกำไรได้ทุกปีในอนาคต บริษัทเกมฟางนี่จะต้องเติบโตอย่างก้าวกระโดด ไม่ว่ายังไงเขาจะต้องรั้งตำแหน่งผู้จัดการต่อไปให้ได้ แต่ถ้าไม่ขอโทษจ้าวเฉียนในตอนนี้ ไม่แน่ว่าบางทีประธานฟางอาจจะไล่เขาออก… ตะ-แต่…แต่จะก้มหัวขอโทษไอ้เวรนั้นต่อหน้าเจียงเสี่ยวปิง มันก็….
“จ้าวเฉียน…คุณชายจ้าว…เอ่อ….พวกเราออกไปคุยกันส่วนตัวดีไหม?”
“คุณกำลังพูดอะไรอยู่น่ะ? คิดจะขอโทษเป็นการส่วนตัว? ยังมีศักดิ์ศรีความเป็นคนอยู่ไหมครับ?”
จ้าวเฉียนไม่มีทางยอมอ่อนข้อให้กับคนที่แย่งแฟนเขาไปแน่นอน หากไม่ใช่เพราะช่องว่างระหว่างตัวตนของพวกเขาที่กว้างใหญ่เกินทดแทน จ้าวเฉียนคงไม่มีโอกาสดีๆ แบบนี้มาถึงมือ หากพลาดโอกาสแบบนี้ไปคงเสียดายแย่ และนี่เป็นแค่โรมโรงเปิดฉากเส้นทางการเอาคืนของจ้าวเฉียนเท่านั้น
ต้องทนมองแฟนของตัวเองอยู่ในสภาพอับอายแบบนี้ เจียงเสี่ยวปิงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป
“จ้าวเฉียน นี่นายเป็นคนสันดารเสียแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? นายก็แค่โชคดีเท่านั้น ถ้าเก่งจริงทำไมถึงไม่ให้เรื่องแล้วมันแล้วไป?”
จ้าวเฉียนหัวเราะเยาะคิกคัก เอ่ยตอบกลับไปว่า
“โอ้? ทนไม่ได้ที่แฟนถูกรังแก? ถ้างั้นก็มาตบแทนเขาเอาไหม? เพราะตามที่เดิมพันมันไม่ใช่แค่ขอโทษ แต่ยังต้อง ‘ตบหน้า’ ตัวเองต่อหน้าทุกคนด้วย ว่าไง? หากให้เขาตบหน้าตัวเองก็คงดูน่าอับอายเกินไปจริงๆ ถ้าแบบนั้น….ผมให้โอกาสคุณ ‘ตบ’ หน้าตัวเองดีไหม?”
“นาย…”
เจียงเสี่ยวปิงตกใจอย่างมากเมื่อได้ยิน เธอที่ได้ยินแบบนั้นถึงขั้นพูดไม่ออก ก่อนจะเหลือบมองหวังเฉียงด้วยสีหน้าจนปัญญาแล้วเช่นกัน
ตอนนี้ที่จ้าวเฉียนพูดไปก็เหมือนกำหนดเส้นทางให้พวกเธอทั้งสองไปแล้วภายในตัว หากเธอไม่ช่วยอาสาตบหน้าเธอเอง ก็เท่ากับว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับหวังเฉียนในอนาคตต่อไปย่อมเกิดรอยร้าวแน่นอน เพราะเธอเป็นแฟนเก่าของจ้าวเฉียน ถ้าให้หวังเฉียงตบหน้าตัวเอง นั้นสื่อถึงอะไรล่ะ? ดังนั้นแล้ว….
หวังเฉียงกุมมือของเจียงเสี่ยวปิงไว้ในทันใดและพูดด้วยความรักใคร่ว่า
“เสี่ยงปิง ครั้งนี้เธอช่วยที ไม่ต้องกังวลไป ยังไงฉันก็รักเธอตลอดไปและ…”
ทันทีที่เอ่ยถึงตรงนี้เขาก็เข้ากระซิบข้างหูของเธอต่อว่า
“ฉันเป็นถึงผู้จัดการ มันเป็นแค่พนักงานตัวกระจ้อยคนหนึ่ง เรายังมีโอกาสอีกมากในการแก้แค้น! ฉันจะต้องเอาคืนให้สาสมแน่นอน! วันนี้แค่เธอเล่นตามน้ำไปก่อนก็พอ!”
‘ฉันเป็นถึงผู้จัดการ มันเป็นแค่พนักงานตัวเล็กๆ คนหนึ่ง’ ทันทีที่ประโยคนี้ดังก้องขึ้นในใจของเจียงเสี่ยวปิง เธอก็ตาสว่างขึ้นทันที และปลอบใจตัวเองว่า เธอเลือกถูกคนแล้ว เพราะสุดท้ายนี้ จ้าวเฉียนก็เป็นได้แค่ ‘พนักงานตัวกระจ้อย’ คนนึงเท่านั้น
คิดได้ดังนั้นเธอจึงง้างมือตบหน้าตัวเองสุดแรง
“เพี๊ยะ!!”
เสียงดังหน้าดังกึกก้องไปทั่วออฟฟิศ รอยนิ้วมือทั้งห้าปรากฏขึ้นบนหน้าสวยของเจียงเสี่ยวปิง
“พอ…พอใจแล้วใช่ไหม?”
สีหน้าของจ้าวเฉียนยังคงนิ่งสงบไม่แปรเปลี่ยนใดๆ เขายิ้มตอบแค่ว่า
“ก็ดี”
หลังจากพูดจบ จ้าวเฉียนก็เดินไปชงกาแฟและเปิดคอมทำงานตามปกติ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ส่วนเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ พยายามกลั้นขำสุดฤทธิ์ บางคนถึงกับทนไม่ไหวเปล่งเสียงหัวเราะออกมา
เจียงเสี่ยวปิงรู้สึกสะเทือนใจสุดขีด เธอระเบิดน้ำตาร้องไห้และรีบวิ่งไปห้องน้ำทันที
หวังเฉียงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ และเดินกลับเข้าไปที่ห้องทำงานดังเดิม
จ้าวเฉียนแอบแสยะยิ้มอย่างลับๆ นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นและยังมี ‘เสียงตบ’ อีกหลายฉะใหญ่สำหรับพวกเขาแน่นอนในอนาคต
คอมเม้นต์