ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี – ตอนที่ 155 ความเข้าใจผิด

อ่านนิยายจีนเรื่อง ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี ตอนที่ 155 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่155 ความเข้าใจผิด

เหลียวปี้ซ่งคิดไม่ถึงเลยว่า ผู้จัดการทั่วไปคนนี้จะกล้าออกหน้าต่อสู้เพื่อชายหนุ่มคนเดียวจริงๆ

ท้ายที่สุดนี้ เหลียวปี้ซ่งถือได้ว่าเป็นแม่น้ำสายเก่าอยู่ในวงการธุรกิจมาหลายสิบปีแล้ว ตามสัญชาตญาณนักธุรกิจของเขาสามารถบอกได้ทันทีว่า ตัวตนที่แท้จริงของชายที่ชื่อจ้าวเฉียนต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ไม่อย่างนั้นผู้จัดการโรงแรมตงไห่คงไม่ออกโรงขนาดนี้แน่นอน

“คุณผู้จัดการ งั้นช่วยบอกผมทีว่าเจ้าหนุ่มคนนี้มาจากไหน คงเป็นไปไม่ได้แน่ที่คุณจะปกป้องเด็กหนุ่มคนนึงโดยไร้เหตุผลขนาดนี้?”

ผู้จัดการทั่วไปรวนหัวเราะและเอ่ยตอบกลับไปว่า

“ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ทราบแน่ชัดคือ ที่แห่งนี้คือโรงแรมตงไห่ อยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของผม ไม่ว่าประธานเหลียวจะขุ่นเคืองกับเขาเพียงใด ก็ไม่สามารถลงไม้ลงมือได้ และถ้าเกิดอะไรขึ้นกับผม ผู้อำนวยการโรงแรมจะเอาเรื่องคุณให้ถึงที่สุด”

“หวงเหริน ไอ้หนุ่มนี่มันรังแกลูกสาวฉัน จะให้จากไปเฉยๆได้ยังไงกัน? ถ้านายคิดจะปกป้องมันในวันนี้จริงๆ ฉันก็คงต้องเสียมารยาทกันหน่อยแล้ว!”

เหลียวเซียวหยุนไม่คิดเลยว่า พ่อของเธอจะหัวเสียได้ปานนี้ เธอจึงรีบกระตุกแขนพ่อและเอ่ยอธิบายโดยไวว่า

“มันไม่ใช่อย่างที่พ่อคิด อย่าถึงขั้นลงไม้ลงมือกันเลย”

“จะไม่ให้สั่งสอนมันได้ยังไง!? ถ้าลูกท้องขึ้นมา นี่ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่!”

เหลียวเซียวหยุนหน้าแดงก่ำในทันใด และรีบอธิบายต่อโดยไวว่า

“พ่อกำลังพูดเรื่องอะไร? เขาแค่จงใจไม่คุยกับหนู ยั่วให้หนูโมโหเฉยๆ”

“อย่ามาแก้ตัวแทนมัน! คนอย่างลูกไม่เคยร้องไห้กับเรื่องอะไรแค่นี้!”

เหลียวปี้ซ่งตอบสวนกลับไปทันควัน

เหลียวเซียวหยุนพยักหน้าและตอบไปว่า

“ก็ใช่น่ะสิพ่อ! หนูร้องไห้กับเรื่องแค่นี้นี่แหละ!”

เหลียวปี้ซ่งยืนแข็งทื่อชั่วขณะ ถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

“เอ่อ…”

ในทันทีทันใด เขาก็เหลียวศีรษะหันไปยิ้มแห้งให้ผู้จัดการทั่วไปที่ยืนตั้งท่าไว้พร้อม เอ่ยเสียงแผ่วขอโทษขึ้นว่า

“คุณผู้จัดการหวง ผม…ผมต้องขอโทษจริงๆครับ ทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด เชิญดื่มไวน์ด้วยกันสักแก้ว ถือเป็นการไถ่โทษของผมนะครับ”

จากนั้นเหลียวปี้ซ่งก็รีบรินไวน์สองแก้ว และยื่นให้ผู้จัดการไปแก้วหนึ่ง และอีกแก้วสำหรับตัวเอง

แต่อย่างไร คุณชายจ้าวนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ มีหรือที่เขาจะกล้าดื่มให้?

“ประธานเหลียวสุภาพเกินไปแล้ว คนที่คุณควรขอโทษไม่ใช่ผม แต่เป็นแขกคนนั้นนะครับ”

ผู้จัดการทั่วไปกล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าจริงจัง

เหลียวปี้ซ่งเป็นถึงประธานใหญ่ แล้วเขาจะลดศีรษะขอโทษจ้าวเฉียนได้ยังไง?

“จะบอกให้ผมขอโทษเจ้าหนุ่มนั้นน่ะเหรอ? คุณผู้จัดการนี่ขี้เล่นจริงๆนะครับ เขามีคุณสมบัติอะไรมาดื่มไวน์แก้วนี้ได้?”

เหลียวปื้ซ่งกล่าวเจือน้ำเสียงขุ่นเคือง

“ฮ่าฮ่า….ตราบใดที่ประธานเหลียวไม่ได้ลงไม้ลงมือกับผม ผมจะขุ่นเคืองได้ยังไง? หรือคิดจะดื่มอวยพรให้ผมกัน? เรื่องนี้เกิดจากระหว่างพวกคุณทั้งสอง อย่าพาคนนอกมาเอี้ยวด้วยเลยครับ เช่นนั้นขอตัว”

ผู้จัดการทั่วไปโค้งศีรษะให้เล็กน้อย และเดินจากออกไปทันทีหลังกล่าวจบ พร้อมกับพรรคพวกของเขาที่ติดตามออกไป

“นายชื่อจ้าวเฉียนใช่ไหม? ที่วันนี้ออกไปเที่ยวกับลูกสาวฉัน ทำอะไรกับเธอบ้าง?”

เหลียวปี้ซ่งเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา

จ้าวเฉียนกล่าวตอบพร้อมท่าทีสบายๆไปว่า

“คุณอาจจะไม่เชื่อสิ่งที่ผมพูด ถ้าแบบนั้นก็ถามลูกสาวตัวเองเถอะครับ”

“ไม่ ฉันต้องการคำตอบจากปากนาย ถ้าไม่ตอบมา ฉันจะไม่สุภาพกับนายแล้ว”

เหลียวปี้ซ่งข่มขู่จ้าวเฉียนทันที

จ้าวเฉียนยกมือป้องปากอ้าหาวไปทีหนึ่ง ก่อนจะยิ้มถามกลับไปว่า

“คุณเหลียวคิดจะล้ำเส้นผมมางั้นเหรอ? ดูเหมือนว่าเราสองคนจะไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่นะครับ ผมพูดอะไรไปแล้วคุณจะเชื่อได้ยังไง?”

เหลียวเซียวหลง พี่ชายของเหลียวเซียวหยุนชี้หน้าใส่จ้าวเฉียน สบถคำโตไปว่า

“ไอ้เจ้านี่! หัดพูดจาดีๆหน่อยสิวะ แกมีคุณสมบัติอะไรมาพูดแบบนี้กับพ่อฉันห่ะ?!”

สีหน้าของจ้าวเฉียนแปรเปลี่ยนดูมืดทมิฬในบัดดล สายตาคู่นั้นเหลือบไปมองเหลียวเซียวหลงเล็กน้อย ประดุจคมมืดแหลม และกล่าวกับเหลียวปี้ซ่งขึ้นว่า

“เป็นพ่อประสาอะไร ไม่เคยสั่งสอนมารยาทการสนทนาให้ลูกตัวเองหน่อยเหรอ? พูดแทรกระหว่างการสนทนาของผู้ใหญ่ ส่อสันดานเสียนะครับจริงไหม?”

เหลียวปี้ซ่งจับจ้องจ้าวเฉียนด้วยสายตาขุ่นมัว แต่นี่ทำให้เหลียวเซียวหลงระเบิดอารมณ์โกรธออกมาทันที และเตรียมพุ่งไปชกจ้าวเฉียนในทันควัน

เหลียวเซียวหยุนเห็นดังนั้นรีบคว้าแขนพี่ชายของเธอทันทีและเกลี่ยกล้อมว่า

“พี่! นี่พี่จะทำอะไร?! ทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด อย่าสร้างปัญหากันเลยนะ!”

“ก็ดูเขาสิ! คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้าดูหมิ่นพ่อของเราขนาดนี้!”

เหลียวเซียวหลงคำรามโหลั่นด้วยความโกรธ

“พี่ลองคิดดูดีๆนะ ถ้าภูมิหลังครอบครัวของเขาธรรมดาทั่วไป มีเหรอจะกล้าพูดจาแบบนี้กับพ่อ? เขาจะต้องปกป้องตัวตนบางอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นจะมาจองห้องอาหารชั้นเจ็ดของโรงแรมแห่งนี้ได้ยังไง?”

คำกล่าวของเหลียวเซียวหยุน ทำให้สองพ่อลูกตระกูลเหลียวฉุกคิดขึ้นได้ในทันที ประการแรก ลูกสาวของเขาไม่มีบัตรVIP แสดงว่าคนที่พาเธอขึ้นมาทานอาหารในชั้นที่เจ็ดก็มีแต่จ้าวเฉียน และประการที่สอง ภูมิหลังต้องหยั่งลึกขนาดไหน ถึงขั้นทำให้ผู้จัดการของโรงแรมออกโรงปกป้องเขาขนาดนี้?

เหลียวเซียวหลงเอ่ยถามขึ้นว่า

“ไอ้หนุ่ม บอกความจริงมาเถอะ นายเป็นใครกันแน่?”

สีหน้าการแสดงออกของจ้าวเฉียนดูผ่อนคลายขึ้นมาดก เขาเอ่ยตอบน้ำเสียงเรียบไปว่า

“ไม่ได้เป็นใครทั้งนั้น ก็แค่พนักงานตัวเล็กๆคนหนึ่ง ที่มาหาในวันนี้ก็เพื่อดิลคู่ค้า อยากขอความร่วมมือพัฒนาโปรเจคเกมด้วยกัน แต่แล้วน้องสาวของคุณก็ลากผมออกมา วิ่งไปโน่นไปนี่ตลอดทั้งวันเต็ม โดยที่เธอสัญญาว่าจะทำให้สองบริษัทร่วมมือกันได้แน่นอน แต่ยังไงก็ขอรับฟังความเห็นของทางพวกคุณก่อนน่ะครับ”

เนื่องจากอีกฝ่ายมาที่นี่เพื่อขอความร่วมมือ นั้นหมายถึงโอกาสทำกำไรครั้งใหม่ ทัศนคติของเหลียวปี้ซ่งที่มีต่อจ้าวเฉียนจึงดีขึ้นเล็กน้อย

“โอ้? ดิลกับทางเรางั้นเหรอ? แล้วนายมาจากบริษัทไหนล่ะ?”

“บริษัทเกมฟางนี่ครับ เคยสร้างเกมยอดฮิตให้กับซิงหยวนมาแล้ว”

จ้าวเฉียนกล่าวตอบตามความจริง

เหลียวปี้ซ่งระเบิดหัวเราะลั่นทันที

“ฮ่าฮ่า…นายไม่รู้รึไงว่าบริษัทซิงหยวนเป็นคู่แข่งของเรา? แล้วจะเป็นไปได้ยังไงที่จะยอมร่วมมือกับบริษัทที่ร่วมมือกับคู่แข่งตัวเอง คงเป็นไปไม่ได้หรอกจริงไหม?”

จ้าวเฉียนไม่มีท่าทีประหม่าแต่อย่างใด เขาเอ่ยอธิบายอย่างใจเย็นว่า

“ถูกต้องแล้วครับ แต่เพราะแบบนี้จึงยิ่งการันตีคุณภาพในการทำงานของบริษัทเราได้มากขึ้น ผมพูดถูกต้องไหมมครับ?”

“มันก็ใช่ แต่อย่าลืมไปสิว่า นายไม่ใช่บริษัทเดียวที่สามารถผลิตเกมคุณภาพได้ แล้วมีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องเลือกบริษัทนายด้วย?”

เหลียวปี้ซ่งเอ่ยถามอย่างมีวาทศิลป์

“ลองถามลูกสาวคุณดูสิครับ ว่าทำไมคุณต้องร่วมมือกับผม?”

หลังจากที่กล่าวจบ จ้าวเฉียนก็เหลียวไปมองเหลียวเซียวหยุนเล็กน้อย ตอนนี้ถึงเวลาที่เธอต้องออกโรงแล้ว

อย่างไรก็ตาม จ้าวเฉียนอยู่กับเธอเป็นเวลาหนึ่งวัน ดังนั้นเธอเองก็ควรปฏิบัติตามสัญญาเช่นกัน

“พ่อ ปีนี้หนูเองก็ต้องผึกงานแล้วเหมืแนกัน ถ้าจะฝึกงานในบริษัทพ่อก็อาจโดนทุกคนดูแคลนได้ ถ้าแบบนั้นก็ต้องหาโปรเจคความร่วมมือระหว่างบริษัทอื่นมาให้หนูฝึกงาน”

เหลียวปี้ซ่งเข้าทราบดีว่าสิ่งที่ลูกสาวของเขากล่าวไปหมายความว่ายังไง เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่งเอ่ยถามไปว่า

“ลูกรู้จักเขามานานแค่ไหนแล้ว?”

“เพิ่งเจอกันวันนี้”

เหลียวเซียวหยุนตอบกลับไปตามความจริง

“เพิ่งเจอกันวันนี้? แล้วรู้ไหมว่าเขาเป็นใครมาจากไหร? แล้วจะเชื่อใจเขาได้ยังไง? ลูกพ่อยังไร้เดียงสาเกินไปมากนะ พ่อไม่ได้กังวลเรื่องโปรเจคอะไรเลย เงินทุนที่จมไปเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยทันทีเมื่อเทียบกับความปลอดภัยของลูก”

ในเวลานั้นเองเหลียวเซียวหลงก็เอ่ยเสริมขึ้นว่า

“พ่อครับ นี่อันตรายเกินไปที่จะปล่อยให้น้องสาวอยู่กับคนไม่รู้จัก ผมเองก็ไม่ยอมเหมือนกัน!”

เหลียวปี้ซ่งพยักหน้าตอบกลับทันทีว่า

“อืม ลูกเองก็คิดเหมือนกันใช่ไหม? เสี่ยวหยุน กลับกันเถอะลูก”

“พ่อ! พ่อทำให้หนูผิดหวัง! หนูไม่อยากเจอหน้าพ่อกับพี่อีกแล้วในอนาคต! หนูจะอยู่กับจ้าวเฉียน!”

ทันทีที่พูดจบ เหลียวเซียวหยุนก็ฉุดแขนจ่าวงเฉียนออกไปโดยตรง สองพ่อลูกตระกูลเหลียวถึงกับยืนอ้าปากค้างอยู่ชั่วขณะ จ้าวเฉียนคนนี้เป็นใครกัน ทำไมถึงครองใจเหลียวเซียวหยุนได้อยู่หมัดขนาดนี้?

พลันได้สติชั่วขณะ เหลียวปี้ซ่งรีบวิ่งไปดึงแขนลูกสาวกลับมา แล้วตำหนิทันทีว่า

“ชักจะไปกันใหญ่แล้ว! ลูกจะไปอยู่กับผู้ชายสองต่อสองได้ยังไง?”

“นี่มันขาหนู ร่างกายก็ร่างกายหนู! ตราบใดที่หนูพอใจ หนูจะไปไหนก็ได้!”

เหลียวเซียวหยุนเริ่มงอแง กล่าวอ้างโดยไม่มีเหตุผล

เหลียวปี้ซ่งเองก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน เขาถอนหายใจอีกเฮือกหนึ่งพร้อมกล่าวว่า

“โถ่ลูกพ่อ ก็พ่อกลัวว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับลูกไง เอาแบบนี้แล้วกันนะ ลูกต้องสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรโง่ๆ เป็นผู้หญิงควรรักนวลสงวนตัว เข้าใจไหม?”

“มันก็ขึ้นอยู่กับการประพฤติตัวของพ่อกับพี่นั้นแหละ ถ้าทำตัวดีหนูก็จะทำตาม แต่ถ้าไม่…หนูเองก็ลองประสบการณ์ใหม่ๆดูเหมือนกัน! ถ้าคิดว่าไม่กล้าก็ลองดูได้!!”

เหลียวปี้ซ่งเหลือบมองจ้าวเฉียนเจือสายตาหงุดหงิดไม่น้อย แต่อย่างไรก็ต้องไว้หน้าอีกฝ่ายในระดับหนึ่งเช่นกัน ราวกับว่า เขาได้มาพบกับลูกเขยในอนาคตของลูกสาวเขาครั้งแรก ถึงจะไม่ชอบ แต่ในเมื่อลูกสาวของตนคิดจะลงเอยกับชายคนนี้จริงๆ ในฐานะคนเป็นพ่อก็ควรยินดี ถึงอย่างไรเขาก็ยังกล่าวขู่ใส่ไปว่า

“ไอ้หนุ่ม คุยกันแบบลูกผู้ชายนะ อย่าให้ลูกสาวฉันต้องมีมลทิน!”

จ้าวเฉียนเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มไปว่า

“คุณเหลียวกังวลมากเกินไปแล้ว ผมมีความซื่อสัตย์พอ ธุรกิจคือธุรกิจ ไม่มีเรื่องส่วนตัวรวมไปถึงความคิดอื่นใดเข้าเกี่ยวพัน”

เหลียวปี้ซ่งพยักหน้า เอ่ยตอบกลับว่า

“ได้ยินแบบนี้ฉันก็สบายใจ เรียกพนักงานเสิร์ฟมาเช็คบิลที”

จ้าวเฉียนโบกมือปัดและกล่าวตอบไปว่า

“ไม่ต้องครับ ผมจ่ายไปเรียบร้อยแล้ว สามารถเดินทางกลับได้เลยครับ เชิญ”

แววตาคู่นั้นของเหลียวปี้ซ่งเปล่งประกายขึ้นทันใด เขาค่อนข้างคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดี และทราบว่าห้องอาหารส่วนตัวในชั้นที่เจ็ด ผนวกกับอาหารจานหรูมากมายเต็มโต๊ะขนาดนี้ มันแพงขนาดไหน และเป็นไปไม่ได้เลยที่ชายหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งจะจ่ายเองได้

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด