ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี – ตอนที่ 39 สงครามตั๋วนิยายรายเดือน
ตอนที่39 สงครามตั๋วนิยายรายเดือน
หวังเฉียงเปิดประตู คลี่ยิ้มให้ฟางนี่และพูดว่า
“ประธานฟาง ไม่มีอะไรครับ พวกเราแค่ทะเลาะกันนิดหน่อย เป็นปกติที่ขึ้นเสียงดังกันบ้าง”
ฟางนี่เหลือบสายตาไปมองเจียงเสี่ยวปิงที่อยู่ด้านหลัง และเอ่ยถามขึ้นว่า ไม่มีอะไรผิดปกติใช่ไหม เธอแค่ยิ้มและส่ายหัวบอกว่าไม่เป็นอะไร ทว่าน้ำตายังคลอไม่หยุด
เนื่องจากทัศนคติที่มีต่อเธอของจ้าวเฉียน ฟางนี่จึงไม่คิดที่จะสนใจเธอเท่าไหร่นัก ตราบใดที่ไม่ได้ทะเลาะถึงขั้นใช้ความรุนแรงในบริษัท ทุกอย่างย่อมปล่อยผ่านไปได้
“เรื่องส่วนตัวไปเคลียร์กันที่บ้าน ที่นี่มันออฟฟิศ อย่าให้ฉันเห็นเป็นครั้งที่สองอีก”
หวังเฉียงรีบขอโทษโดยไวพร้อมรอยยิ้ม
“ผมต้องขอโทษประธานฟางจริงๆ ครับ ผมขาดสติเล็กน้อย ถ้าอย่างงั้นผมกับเธอขอตัวกลับก่อนนะครับ นี่ก็ดึกแล้วด้วย…”
ฟางนี่พยักหน้า หมุดตัวจากออกไปโดยตรง
จ้าวเฉียนเองก็เก็บข้าวของและออกจากออฟฟิศไปเช่นกัน คล้อยหลังหวังเฉียงวิ่งออกมาตาม แต่ก็พบว่าอีกฝ่ายไม่อยู่แล้ว ทั่วทั้งกระเพาะอาหารเปี่ยมล้นด้วยความขื่นขม และไฟแห่งความโกรธเกลียด ดังนั้นหวังเฉียงจึงจิกหัวลากเจียงเสี่ยวปิงกลับไปทรมานต่อที่บ้าน หวังเพื่อระบายความเคียดแค้นทั้งหมดออกจากหัวใจ
ทางด้านจ้าวเฉียนไม่ได้ให้ความสนใจกับเจียงเสี่ยวปิงเลยสักนิด ต่อให้เธอเป็นตายร้ายดียังไง มันก็ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเขา
ตอนนี้เขากำลังมุ่งความสนใจกับสงครามตั๋วอ่านนิยายรายเดือน ทันทีที่ให้สัญญา เหล่าพ่อค้าพวกนั้นก็แห่เทกระจาดตั๋วอ่านนิยายรายเดือนทั้งหมดลงให้กับเรื่อง《ล้ำฟ้าย่ำสวรรค์》ส่งผลให้นิยายเรื่องนี้พุ่งทะยานติดอันดับหนึ่งทันทีในชั่วข้ามคืน
เช้าวันรุ่งขึ้น ฟางนี่ได้โทรหาจ้าวเฉียน
“ฮาโหลคุณชายจ้าว ฉันมีธุระต้องกลับบ้านเกิดสักพัก ระหว่างนี้หวังเฉียงจะเข้ามาดูแลกิจการแทน คุณไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”
“เกิดอะไรขึ้นกับที่บ้านรึเปล่า? ให้ผมช่วยอะไรไหม?”
“ไม่ค่ะไม่ แค่ไปเยี่ยมคุณพ่อกับคุณแม่เฉยๆ”
“อืม…หวังเฉียงเป็นผู้จัดการ เขาก็ต้องเป็นคนดูแลยามที่คุณไม่อยู่”
“ถ้าคุณชายจ้าวไม่มีปัญหาอะไร งั้นฉันก็จะปล่อยให้เป็นหน้าที่เขาดูแลไปสักพัก”
จ้าวเฉียงส่งเสียง อืม เป็นคำตอบกลับ จากนั้นก็วางสายไปและงีบต่อ
จวนใกล้เวลาเที่ยงวัน จ้าวเฉียนมาถึงบริษัทและอังเอิญพบเข้ากับเจียงเสี่ยวปิง เธอในขณะนี้อยู่ในสภาพค่อนข้างโทรมหนัก เดินโซเซ ขากะเผลก ซ้ำยังมีรอยฟกช้ำทั่วทั้งแขนและขา ดูเหมือนว่า หวังเฉียงจะทรมานทุบตีเธอตลอดทั้งคืน จ้าวเฉียนเหลือบมองเธอด้วยหางตาเล็กน้อย แต่ไม่ได้เอ่ยทักอะไร ทว่าสายตาที่เจียงเสี่ยวปิงมองสวนเขากลับไป มันเปี่ยมล้นไปด้วยความอาฆาต เห็นได้ชัดว่า เธอในตอนนี้รังเกียจจ้าวเฉียนมากเพียงใด อย่างไรก็ตามแต่ ภายในออฟฟิศมีเพื่อนร่วมงานอยู่มาก เธอจึงไม่กล้าปริปากกล่าวอันใด
เมื่อเห็นว่าจ้าวเฉียนมาถึงแล้ว บรรดาเพื่อนร่วมงานต่างก็แห่เข้ามาทักทายอย่างเป็นมิตร หลังจากเขาโบกมือสนทนากับพวกเขาเหล่านั้นเป็นมารยาท หวังเฉียงก็เปิดประตูออกมาจากห้องทำงานของตน
“จ้าวเฉียน มาหาฉันที่ห้องทำงานหน่อย”
จ้าวเฉียนพยักหน้า เดินตรงเข้าไปในห้องทำงานของหวังเฉียงพร้อมเอ่ยถามขึ้นว่า
“ผู้จัดการหวัง มีอะไรเหรอ?”
“ฉันเห็นว่า เร็วๆ นี้บริษัทซิงหยวนกำลังจะประมูลเกมเทอร์มินัล เพื่อหาบริษัทคู่ค้านำไปพัฒนา นายช่วยไปประมูลเกมนี้มาให้ได้ที พอจะไหวไหม?”
จ้าวเฉียนหัวเราะเล็กน้อยและกล่าวตอบว่า
“ก็แค่เค้กชิ้นหนึ่ง จะไปสนใจทำไมกันครับ? ตอนนี้บริษัทเรามีโปรเจคชิ้นใหญ่อยู่สองงาน ถ้าจะนำอีกโปรเจคเข้ามา ผมกลัวว่าโปรเจคก่อนหน้าจะไม่เสร็จทันเวลา ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ มีหวังพวกเราต้องจ่ายค่าชดเชยแพงหูฉีแน่นอน”
หวังเฉียงที่ได้ฟังแบบนั้นก็หัวเราะขึ้นเช่นกัน และกล่าวว่า
“นายไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลย ตราบใดที่นายประมูลเกมนี้มาได้ ฉันจะหาวิธีบริหารเวลาให้ทันเอง รับรองเสร็จตรงเวลา คุณภาพตามมาตรฐาน”
ซิงหยวนเป็นบริษัทในเครือของครอบครัวจ้าวเฉียนอยู่แล้ว และการจะไปดิลเกมที่ว่ามาก็ไม่จำเป็นต้องประมูลด้วยซ้ำ แค่โทรกริ๊งเดียวก็ได้มาในครอบครอง เพียงแต่ว่า หากทำแบบนั้นแล้ว เหล่าเพื่อนร่วมงานในแผนกพัฒนาจะได้รับแรงกดดันมากเกินไป พัฒนาถึงสามโปรเจคใหญ่พร้อมกัน นี่มันงานหนักมาก และอาจกระทบถึงคุณภาพเกมมือถือที่ออกมาได้ ถึงแม้ว่าแพลตฟอร์มเทียนซูวและอู๋ซินจะสามารถยกระดับความดังไปอีกขั้นได้ แต่เกมมือถือที่ใช้ไลฟ์สตีมมันไม่ดีพอ มันก็จบเห่อยู่ดี
จ้าวเฉียนจึงเอ่ยถามออกไปว่า
“ประธานฟางทราบเรื่องนี้ไหม?”
หวังเฉียงกลัวว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธงานนี้ เขาจึงต้องใช้ฟางนี่เป็นข้ออ้างยกขึ้นมาทันที
“อืม…ประธานฟางต้องกลับไปบ้านเกิดน่ะ เลยยกความรับผิดชอบทั้งหมดให้แก่ฉัน รวมไปถึงเรื่องนี้ด้วย ไม่ต้องกังวลไป ฉันบอกว่าทำได้ก็คือทำได้”
จ้าวเฉียนพยักหน้าและยอมรับงานนี้มาทำในท้ายที่สุด
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ตามคำขอของจ้าวเฉียน หรูเมิ่งประกาศสงคราม รับคำท้าของอีกฝ่ายทันที ทั้งยังขอให้ทุกคนช่วยสนับสนุนเธออย่างสุดกำลังในเดือนนี้
ฉางเทียนและเมิ่งอู๋หมิงตอบรับเธอในทันที พร้อมเขียนบทความประกาศท้าทายเต็มอัตราศึก พวกเขายังขอให้เหล่าแฟนคลับทั้งหลาย ช่วยกันซื้อตั๋วอ่านนิยายรายเดือนให้แก่พวกเขา
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองจำต้องค้นพบว่า ตั๋วอ่านนิยายรายเดือนในคลังของเหล่าพ่อค้ากลับขายหมดเกลี้ยงไปแล้ว มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รับซื้อต่อมาอีกที หรือสต๊อกไว้ใช้เพื่อการนี้
อีกหนึ่งวันได้ผ่านพ้นไป ตั๋วอ่านนิยายรายเดือนสำหรับผลงานนิยายของสองมหาเทพแพลตตินั่ม ยอดรวมได้แค่50,000กว่าใบเท่านั้น ในขณะที่《ล้ำฟ้าย่ำสวรรค์》กลับพุ่งทะลุกว่า100,000ใบเข้าไปแล้ว
ถึงอย่างไร นี่ยังเป็นเพียงต้นเดือน ทุกอย่างยังมีโอกาสพลิกกลับ
คล้อยหลังที่เห็นแบบนี้ หยางหมิงก็รีบต่อสายตรงไปหาเหล่าพ่อค้าทั้งหมดเพื่อกวาดซื้อตั๋วทั้งหมด แต่กลับต้องผิดหวัง เพราะตั๋วในสต๊อกทุกคนถูกขายหมดไม่เหลือแล้ว
“ให้ตายเถอะ! พวกมันแอบไปขายให้คนอื่นหมดตั้งนานแล้ว! ฝ่ายฉันเองก็ออกตัวแรงขนาดนั้น….ทำยังไงดีล่ะ? หรือต้องทุ่มเงินเพื่อแลกเปลี่ยนเงินสดเป็นตั๋วรายเดือนโดยตรง?”
หยางหมิงพึมพำกับตัวเองไม่หยุดหย่อน เจืออารมณ์หงุดหงิด ดูเหมือนว่าตอนนี้จะเหลือแค่ทางเดียวเท่านั้น แต่การจะนำเงินสดไปแลกเปลี่ยนเป็นตั๋วนิยายรายเดือนโดยตรง มันมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่ามาก แถมเขาเองยังต้องสนับสนุนนิยายทีถึงสองเรื่องพร้อมกัน มันจำเป็นต้องใช้เม็ดเงินจำนวนกว่า20ล้าน เพื่อตีตื้นและขึ้นนำอีกฝ่าย แต่…นี่มันคุ้มกันไหม?
หยางหมิงไม่ยอมทุ่มเงิน20ล้านเพื่อเอาชนะ ‘พี่เฉียน’ อะไรนั้นแน่นอน ราคาสูงเกินขอบเขตขนาดนี้ เขาเองก็ไม่ไหวเช่นกัน
อีกประมาณไม่กี่วันต่อจากนี้ จะมีสต๊อกตั๋วนิยายเข้ามาใหม่ หยางหมิงจึงพยายามใช้เงินฟาดหัวเหล่าพ่อค้า โดยยินดีที่จะจ่ายเงินเป็นสองเท่าจากราคาปกติ ทั้งหมดก็เพื่อกว้านซื้อตั๋วทั้งหมดไว้ในมือ
อย่างไรก็ตาม พวกพ่อค้าต่างยึดมั่นใจสัจจะและกลัวว่าชื่อเสียงจะหม่นหมอง เรื่องการค้าขายต้องมองกันเป็นระยะยาว และไม่มีใครคิดจะทำลายชื่อเสียงตัวเองด้วยเงินก้อนเพียงเท่านี้แน่นอน
คติประจำใจของหยางหมิงคือ ไม่มีสิ่งใดในโลกที่เงินซื้อไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงใช้เงินเข้าแก้ไขปัญหา ในเมื่อสองเท่าไม่เอา เขาจึงต่อรองราคาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนราคาพุ่งทะยานสูงถึงสี่เท่า และในที่สุดพ่อค้าพวกนั้นก็ต้องยอมขายให้แก่เขา
ณ ปัจจุบันราคาเฉลี่ยต่อตั๋วอ่านนิยายรายเดือนหนึ่งใบ สูงถึง80หยวน นี่มันเกือบเทียบเท่าได้กับการใช้เงินสดไปแลกเปลี่ยนเป็นตั๋วโดยตรงแล้ว ถึงอย่างไรก็ดี มันก็ยังพอประหยัดได้ไม่น้อย และตราบเท่าที่เขาชนะ ไม่ว่าอะไรหยางหมิงก็ยอมจ่ายได้ทั้งนั้น
เหตุผลที่หยางหมิงยอมทุ่มเงินปริมาณมากขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะศักดิ์ศรีเพียงอย่างเดียว แต่เขาต้องการเลียนแบบวิธีของจ้าวเฉียน เพื่อผลักดันผลงานนิยายของทั้งสองให้ติดกระแสทั่วโลกอินเตอร์เน็ต ทั้งนี้ลิขสิทธิ์นิยายสองเรื่องนี้ก็เป็นของเฟยอวี่แล้ว ถ้ายอดขายถล่มถลาย กำไรที่ได้กลับมานับว่าคุ้มค่า
ทว่า…น่าเสียดายนัก ที่ศัตรูของเขาคือจ้าวเฉียน หาเรื่องแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตายเลย
วันสุดท้ายก่อนสิ้นเดือนนี้ ตั๋วอ่านนิยายรายเดือนทั้งหมดขายเกลี้ยง ผลงานนิยายของฉางเทียนกับเมิ่งอู๋หมิงตามเรื่อง《ล้ำฟ้าย่ำสวรรค์》อยู่แค่ไม่กี่ร้อยใบเท่านั้น
ยอดขายตั๋วอ่านนิยายในเดือนนี้พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งสองฝ่ายยอมจ่ายเงินเพื่อให้ได้ครอบครองสต๊อกตั๋วในแต่ละรอบ โดยยอมจ่ายในราคาเฉลี่ยต่อใบมากถึง120หยวน ซึ่งเกินมูลค่าจริงของตั๋วรายเดือนปกติไปมากถึง8เท่า
ทางด้านเว็บนิยายเองก็ทราบดีว่า แท้จริงแล้วนี่เป็นศึกระหว่างสองมหาเศรษฐี และกำลังติดสินบนเหล่าพ่อค้า กันไม่ให้ตั๋วอ่านตกถึงผู้บริโภครายย่อย แต่แล้วยังไงล่ะ? ในเมื่อพวกเขากินกำไรไปเต็มๆ ทำไมต้องสนด้วย? ดังนั้นจึงมองข้ามไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และไม่ยอมส่งคนไปตรวจสอบอันใด
หลังจากทั้งสองสู้กันอย่างหนักตลอดหนึ่งเดือนเต็ม ตั๋วรายเดือนนี้ก็สิ้นสุดการจำหน่ายลง ยอดตั๋วชั่วคราวที่ประเมินได้ออกมาแล้ว นิยายเรื่อง《ล้ำฟ้าย่ำสวรรค์》มียอดอยู่ที่198,678ใบ ในขณะที่นิยายของสองมหาเทพแพลตตินั่มอยู่ที่ 191,234 และ 190,234 ใบตามลำดับ
หากกันแค่เล็กน้อยแบบนี้ หยางหมิงไม่มีทางยอมโดยธรรมชาติ เขามาถึงขนาดนี้แล้ว ยังไงก็ต้องดันให้นิยายของทั้งคู่คว้าชัยไปให้จงได้ จึงใช้เงินก้อนโตแลกเปลี่ยนเป็นตั๋วจำนวน40,000ใบ และแบ่งคนละครึ่งให้แก่นิยายของทั้งสอง
เท่านี้ทุกอย่างก็จบลงเสียที หยางหมิงรู้ตัวในทันใดว่า ตอนนี้เขาชนะแล้ว จึงส่งข้อความส่วนตัวไปหาบัญชีที่ชื่อว่า ‘พี่เฉียน’
“ว่าไงไอ้หนู เป็นไงบ้าง? กูอุตส่าห์ต่อให้ สนับสนุนนิยายพร้อมกันถึงสองเรื่อง แกก็ยังแพ้อีกเหรอ? อ่อนวะ!”
จ้าวเฉียนไม่ได้ตอบข้อความกลับไปทันที แต่เขารอจนถึงเวลา11:50น. และอีกแค่10นาทีก็จะจบรอบเดือนลง จังหวะนี้แหละที่เขาพิมพ์ข้อความตอบหยางหมิงกลับไป
“คุณรู้ไหมว่า อะไรเรียกว่าตำนาน? แล้วฉันสนุกกับอะไรที่สุด?”
หลังจากหยางหมิงอ่านข้อความเหล่านั้น เขาก็พลันตื่นตกใจทันที ยามนี้ค่อยคิดไว้ว่า พี่เฉียนที่สามารถแข็งกับเขาได้อย่างสูสีจนถึงตอนนี้ ก็ต้องมีเงินถุงเงินถังเช่นกัน มันต้องใช้เงินแลกเปลี่ยนเป็นตั๋วในวินาทีสุดท้าย เพื่อแซงคว้าชัยไปแน่นอน พอคิดได้แบบนั้น ผนวกกับเวลาที่บีบคั้นเข้ามา หยางหมิงจึงรีบเติมเงินเพิ่มไปและแลกเป็นตั๋วอีกสองหมื่นใบ และมอบให้กับนิยายสองเรื่องนั้นทันที หวังเร่งตีห่างให้ไกลออกไป
เมื่อเห็นว่า นาริฬิกาใกล้จะเที่ยงคืนเต็มทน แต่จำนวนตั๋วรายเดือนของเรื่อง《ล้ำฟ้าย่ำสวรรค์》ยังคงนิ่งเท่าเดิมไม่ขยับไปไหน หรูเมิ่งก็รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก
ถ้าเธอไม่ได้ประกาศรับคำท้าของสองมหาเทพแพลตตินั่มไป เธอคงไม่ต้องมานั่งเสียใจแบบนี้ และเธอก็ไม่ต้องการมาแพ้ในวินาทีสุดท้ายด้วย
ดังนั้นเธอจึงเริ่มลังเลใจแล้วว่า ตนควรเพิ่มเงินเพื่อดันยอดตัวเองให้แซงอีกฝ่ายดีไหม แต่หากทำแบบนั้นก็อาจส่งผลกระทบไปถึงชื่อเสียงของเธอได้ในอนาคต นอกจากนั้นเองการจะเอาชนะทั้งสอง ยังต้องใช้เงินเป็นจำนวนไม่น้อยเลย
“เฮ้ออ…ช่างเถอะ คนเราจะก้าวพลาดบ้างก็ไม่เห็นแปลก?”
หรูเมิ่งพูดปลอบใจตัวเอง และตัดใจยอมแพ้ไปเสียแล้ว
คอมเม้นต์